แสตมป์ อภิวัชร์กับเส้นทางความฝันในรายการทูไนท์โชว์(Tonight Show)

แสตมป์ อภิวัชร์ กับเส้นทางชีวิตที่เป็นเหมือนบทพิสูจน์ของความสามารถ สู่เป้าหมายของความฝัน ที่เป็นยิ่งกว่ากำไรของชีวิต แม้ต้องออกจากวงการก็รู้สึกเหมือนได้กำไร

          ในนาทีนี้ เรียกได้ว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักชายหนุ่มมากความสามารถ เจ้าของเพลงดัง "โอม จง เงย" อีกแล้ว สำหรับ แสตมป์ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข นักร้องเสียงเพราะ นักดนตรี และนักแต่งเพลงที่อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์บทเพลงดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง น้ำตา ของเบิร์ด ธงไชย รวมถึงเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง ฝัน หวาน อาย จูบ ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา เขาก็ได้ไปปรากฏตัวในรายการ The Voice Thailand ในฐานะคอมเมนท์เตเตอร์ และโค้ช ร่วมกับเหล่าศิลปินรุ่นพี่สุดเก๋า แต่หนุ่มแสตมป์คนนี้ไม่ได้มีดีเพียงแค่ความสามารถเท่านั้น เขายังเป็น 1 ในนักคิดที่มีแนวคิดดี ๆ สำหรับการทำงานในฐานะคนเบื้องหน้าของวงการบันเทิงอีกด้วย ซึ่งตัวตนอีกด้านหนึ่งของเขาจะเป็นอย่างไรนั้น คงจะต้องตามไปชมเรื่องราวของ แสตมป์ ในรายการทูไนท์ โชว์ (11 มีนาคม) กันเลย



แสตมป์ อภิวัชร์

          เมื่อย้อนถามถึง เพลง "ความคิด" เพลงแจ้งเกิดของ แสตมป์ ที่โด่งดังและได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยเนื้อหาของบทเพลงที่เรียกได้ว่าจับใจคนฟังอย่างที่สุดนั้น หนุ่มแสตมป์ก็ เผยว่า จริง ๆ แล้วตอนที่แต่งเพลง ตัวเองก็ไม่ได้คิดเลยแม้แต่นิดเดียวว่ามันจะดัง เพราะเป็นเพลงที่แต่งในช่วงที่ยังฝึกการแต่งเพลงอยู่ อีกทั้งเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่แต่งให้เพื่อน แต่เนื่องจากรู้สึกชอบเพลงนี้มาก ๆ จึงได้ขอเพื่อนมาร้องเอง ส่วนเพลง "น้ำตา" ของ เบิร์ด ธงไชย นั้น แสตมป์ก็บอกตรง ๆ อีกเช่นกันว่าสำหรับเพลงนี้นั้น เขาไม่แม้แต่จะคาดหวังว่า พี่เบิร์ด จะยอมร้องเพลงที่เขาแต่งด้วยซ้ำ เพราะตัวเองยังไม่ดัง และยิ่งไม่คาดคิดว่าเพลง น้ำตา จะได้รับรางวัล สีสันอวอร์ด มาเป็นรางวัลแรกในชีวิตอีกด้วยอีกด้วย  

          สำหรับเพลง "โอม จง เงย" นั้นเป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นในปีที่แล้ว โดยจุดเริ่มต้นของเพลง ๆ นี้ มาจากตอนที่แสตมป์ขึ้นรถไฟฟ้า แล้วพบว่าคนที่อยู่ในนั้นทั้งโบกี้ ต่างคนต่างก็ก้มหน้ามองโทรศัพท์ ไม่มีใครมองมาที่แสตมป์เลย เขาจึงอยากแต่งเพลงเพื่อแซวพฤติกรรมเหล่านั้น มาผสมกันกับมุกตลกในการ์ตูนขายหัวเราะ ที่หมอผีมักจะชอบพูดว่า "โอม จง ลง" นั่นเอง

แสตมป์ อภิวัชร์


          จากนั้น แสตมป์ ก็ได้เล่าเรื่องราวในวัยเด็กของ ด.ช.แสตมป์ ให้ฟัง โดยเขาบอกว่าตัวเองนั้นเป็นเด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ เป็นคนเฉย ๆ ขี้แย แถมยังโดนเพื่อน ๆ ไถเงินอีกต่างหาก ซึ่งแม้เรื่องถูกไถเงินนั้นจะเป็นเรื่องของการรังแกที่เด็กหลายคนจะรู้สึกย่ำแย่ แต่สำหรับ ด.ช.แสตมป์นั้น เขากลับรู้สึกเฉย ๆ ทั้งยังเตรียมแลกเงินไว้รอเด็ก ๆ ที่มาไถเงินอีกต่างหาก 

          "ระหว่างทางเด็กคนอื่น ๆ ก็จะมารอดักไถ่เงิน วันละ 50 บาททุกวัน ซึ่งเป็นอะไรที่มากสำหรับสมัยนั้น ตัวเราที่ได้ค่าขนม 100 บาท ก็จะแลกเงินรอไว้เลย เพราะไม่อยากส่งแบงก์ 50 บาท ให้ แต่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บใจอะไรนะ รู้สึกดีด้วยว่าไม่โดนเรียกแพงกว่านั้น เรียนมา 6 ปี โดนมันทุกวัน ผลัดกันมา ใช้รูปแบบต่างกันไป ก็เลยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรแล้ว" แสตมป์ เล่า

          ทั้งนี้ ในวัยเด็กนั้น แสตมป์ยอมรับว่าเขาไม่มีความฝันว่าอยากจะเป็นอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งที่ได้ฟังเพลงที่มีจังหวะหนักหน่วง ซึ่งเป็นเพลงในวัยที่โตกว่าตัวเอง จึงเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และเพลง ๆ นั้นก็ได้ทำให้เด็กชายธรรมดาคนหนึ่ง ได้รู้สึกว่าโลกนี้มันพิเศษขึ้น มีอะไรน่าสนใจขึ้น และยิ่งเมื่อได้ชมมิวสิกวิดีโอของเพลงดังกล่าวก็รู้สึกว่ามือกีตาร์นั้นเท่มาก จึงขอแม่ให้ซื้อกีตาร์ให้ แม่จึงยื่นเงื่อนไขว่า จะซื้อกีตาร์ให้หากสามารถสอบได้เกรด 3.00 ขึ้นไป ซึ่งแม้ว่าในตอนนั้นแสตมป์จะทำคะแนนไม่ได้ตามที่แม่ได้ตั้งเงื่อนไขไว้ แต่สุดท้ายแม่ของเขาก็ซื้อกีตาร์ให้ เพราะเห็นถึงความตั้งใจ 

          นอกจากนี้ แสตมป์ยังได้เผยแง่มุมของความรักสำหรับเขาด้วยว่า สำหรับเขาแล้ว ความรักมันก็คือความรัก ที่ความคิดของเขาจะเปลี่ยนไปแล้วแต่ช่วงเวลา แต่สำหรับในตอนนี้ เขามองว่าความรักนั้นมันคือความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น เป็นเหมือนความผูกพันมากมาย แต่หากถามเขาว่าเป็นคนโรแมนติกไหม ก็ขอบอกตามตรงว่าเขาเป็นคนที่โรแมนติกแค่ในเพลงเท่านั้น นาน ๆ ทีถึงจะซื้อดอกไม้ให้แฟน จะซื้อช็อกโกแลตก็ซื้อมากินเอง และส่วนตัวก็ไม่ใช่คนขี้หึง แต่คนที่ขี้หึงจะเป็นแฟน เพราะตอนนี้ตัวเขาออกมาอยู่ในเบื้องหน้าแล้ว ไม่ได้ทำงานอยู่เบื้องหลังเพียงอย่างเดียวแบบที่่ผ่านมา
          สำหรับ แสตมป์ นั้น เขานับถือ พี่บอย โกสิยพงษ์ เป็นเหมือนทั้งพี่ชายและอาจารย์ ในตอนที่ แสตมป์ เริ่มอยากเป็นนักแต่งเพลงนั้น ก็จะแอบแฝงตัวเข้าไปทำงานใกล้ ๆ พี่บอย เพื่อไปดูว่าเขาทำงานอย่างไร คิดทำนอง เนื้อร้อง และจับทั้ง 2 อย่างมารวมเข้าด้วยกันอย่างไร ซึ่งในช่วงเวลาที่หลายคนยังดูถูกเขาอยู่นั้น พี่บอย เป็นเพียงคนเดียวที่เชื่อมั่นว่า ถ้าเขาตั้งใจเขาจะต้องทำได้แน่นอน และหากจะเรียกว่าโอกาสของ แสตมป์ เกิดขึ้นจาก พี่บอย ก็ไม่ผิดนัก เพราะพี่บอยก็คือคนที่นำเอาผลงานของ แสตมป์ ไปนำเสนอยังลูกค้ารายต่าง ๆ แต่ท้ายที่สุดเมื่อไม่มีใครยอมรับผลงานของ แสตมป์ พี่บอย จึงให้ แสตมป์ ได้มาร้องเพลงของ พี่บอย เอง


แสตมป์ อภิวัชร์

          จนกระทั่งได้มาแจ้งเกิดในเพลง "ความคิด" ซึ่งเป็นเพลงในอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรก ก็เริ่มมีคนมาจ้างไปร้องเพลงตามที่ต่าง ๆ ก็เริ่มได้ร้องเพลงเป็นอาชีพ แม้แรก ๆ จะรู้สึกเกร็ง แต่ แสตมป์ ก็มีความสุข และภาคภูมิใจ ที่ร้องเพลงของตัวเอง ถึงจะไม่มีใครฟังก็ตาม เพราะอย่างน้อยก็ยังมีตัวของเราที่ฟังอยู่ และหลังจากนั้น แสตมป์ ก็ถือว่าทุก ๆ เวทีที่เขาได้ขึ้นแสดงนั้นมันเป็นเหมือนกับกำไรของชีวิต เขาขึ้นเวทีทุกครั้งด้วยความคิดว่าการแสดงนั้นอาจจะเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายของเขา เวทีอื่นคือกำไร ที่ทำให้แม้จะต้องออกจากวงการไปก็ยังรู้สึกว่าตัวเองได้กำไรมาแล้ว

          ทั้งนี้ แสตมป์ ยังมองว่า ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นนักร้อง และนักแต่งเพลงได้ ทั้งยังฝากถึงทุก ๆ คนด้วยว่า ชีวิตของคนเรานั้นไม่ได้เป็นเหมือนกับเส้นตรง เราวางแผนชีวิตไม่ได้ แต่เรากำหนดเป้าหมายของชีวิตได้ ซึ่งแม้ว่าระหว่างการเดินทางไปยังเป้าหมายมันอาจจะมีการเลี้ยว ซิกแซกไปที่อื่นบ้าง แต่เมื่อมาถึงจุดหมายแล้ว เส้นทางเหล่านั้นก็คือสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใคร จุดหมายคือสิ่งที่สำคัญที่สุด 
          สุดท้ายนี้ หนุ่มแสตมป์ยังเผยอีกว่า เขามีแผนจะทำแผ่นเสียงออกมา ซึ่งจะประกอบไปด้วย 11 เพลงที่เขาคิดว่าดีที่สุดในชีวิตของเขา ในอนาคตอีกด้วย ...เอ้า แฟนคลับทั้งหลายเตรียมตัวจับจองกันได้เลยจ้ะ




คลืป แสตมป์ อภิวัชร์ กับเส้นทางความฝัน ใน ทูไนท์โชว์ โพสต์โดยคุณ ThaiTVshows สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม 1/3




คลืป แสตมป์ อภิวัชร์ กับเส้นทางความฝัน ใน ทูไนท์โชว์ โพสต์โดยคุณ  ThaiTVshows สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม 2/3




คลืป แสตมป์ อภิวัชร์ กับเส้นทางความฝัน ใน ทูไนท์โชว์ โพสต์โดยคุณ  ThaiTVshows สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม 3/3