จูลี่ ฟอร์สเบิร์ก สาวลูกครึ่งตามหาแม่กับวินาทีที่รอคอยในรายการตีสิบ

มีใครหลายคนบนโลกที่จำต้องพลัดพรากกับครอบครัวตั้งแต่ยังวัยเด็ก... บางคนไม่มีโอกาสแม้แต่เห็นหน้า บางคนไม่มีโอกาสแม้แต่จะโอบกอดรับไออุ่นจากคนในครอบครัว เฉกเช่นเรื่องราวของ จูลี่ ฟอร์สเบิร์ก ลูกครึ่งสาวสวย ไทย-ฟินแลนด์ วัย 27 ปีคนนี้ ที่เธอพร่ำภาวนามาตลอดชีวิต และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้พบแม่เพียงสักครั้ง...




         
           โดยเมื่อวานนี้ (15 มกราคม) รายการตีสิบ ได้พาคุณหน่อย หรือ ปาริชาติ ปาลิยะวรรณ แอร์โฮสเตสสายการบินเอ็มเจ็ท ลูกสาวของนางเปียทิพย์ คุ้มวงษ์ อดีตดาราดาวค้างฟ้า ซึ่งเป็นคนสานฝันของจูลี่ให้เป็นจริง มาเปิดเผยถึงเรื่องราวสุดตื้นตันดังกล่าว



           ทั้งนี้ คุณหน่อย เผยว่า ตนเจอกับจูลี่ครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ซึ่งตนพาคุณไฮเนกี้ เจ้านายของตนไปยังโรงแรมอนันตา อิสเทิร์น แมนโกรฟส์ ในกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อไปพักผ่อน แต่เมื่อเดินเข้าไปยังโรงแรม ก็พบหญิงสาวหน้าตาสะสวยมาต้อนรับ พอเขาเห็นพาสปอร์ตของตนเป็นคนไทย ก็ยกมือขึ้นไหว้สวัสดี ซึ่งตนรู้สึกว่าเขาไหว้สวยมาก แต่ก็ไม่คิดว่าเขาเป็นคนไทย คิดว่าเขาเป็นคนฟิลิปปินส์มากกว่า 

           "พอเขาเห็นหน่อย เขาก็ถามว่าคนไทยเหรอ เขาก็เป็นคนไทยเหมือนกันนะแต่เป็นลูกครึ่ง ไทย-ฟินแลนด์ หน่อยก็เลยบอกว่า งั้นพูดไทยกัน แต่เขาพูดไม่ได้ เขาบอกหน่อยว่า ไม่ได้อยู่เมืองไทย ไม่เคยไปเลย เพราะแม่ทิ้งเขาไปตั้งแต่ 1 เดือน พอหน่อยได้ฟังแบบนั้น ก็สงสารเขามาก เพราะเขาเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา และบอกกับหน่อยว่า เขามีความหวังว่าสักวันที่จะได้เห็นหน้าแม่" 

           เมื่อคุณหน่อยได้ยินจูลี่พูดเช่นนั้น ก็รู้สึกเห็นใจ เลยถามต่อว่าแล้วคุณพ่อล่ะ มีข้อมูลบ้างหรือไม่ ด้านจูลี่ตอบกลับมาว่า คุณพ่อเพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดไปเมื่อปีที่แล้ว... ตอนนี้ไม่เหลือใคร เหลือเพียงใบเกิด ชื่อของคุณแม่ และข้อมูลที่ได้จากพ่อนิดหน่อย เธอเลยให้จูลี่ส่งข้อมูลมาทางอีเมล และรับปากว่า...จะไปยัง "นครพนม" จังหวัดที่ระบุว่าจูลี่เกิดที่นั่นให้ได้ 

           สำหรับใบเกิดดังกล่าวมีเพียงชื่อ "ปราณี นิกุล" เกิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2506 มีบ้านอยู่ที่ หมู่บ้านคำสว่าง จ.นครพนม และชื่อโรงพยาบาลที่จูลี่เกิด ซึ่งตอนนั้นคุณหน่อยก็ทำได้เพียงแค่รับปากเท่านั้น จนกระทั่งพาเจ้านายไปที่โรงแรมที่จูลี่ทำงานอีกครั้ง พอพบหน้าจูลี่เธอก็เลยให้สัญญากับตัวเองว่า พักร้อนสิ้นปีนี้ เธอจะเดินทางไป จ.นครพนม เพื่อตามหาแม่ของจูลี่ให้พบ ทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยไปจังหวัดนั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว 

  
           คุณหน่อย เล่าให้ฟังต่อว่า วันที่เธอเดินทางไปจังหวัดนครพนมนั้น เธอได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและให้ข้อมูลในเรื่องนี้เอาไว้บ้าง และก็โชคดีมาก ๆ ที่ตำรวจให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ในเบื้องต้นตำรวจบอกว่า มีคนชื่อปราณี นิกุล เยอะมาก และได้สอบถามรายละเอียดอีกนิด ๆ หน่อย ๆ เธอเลยระบุว่า เคยมีสามีเป็นคนต่างชาติ และเคยมีลูกด้วยกัน เพียงเท่านี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็บอกว่า มีคนรู้จักคนชื่อปราณีคนนี้ เลยนัดวันเวลามาให้เจอที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน พร้อมกันนั้นเธอก็ได้อีเมลหาจูลี่ ให้ส่งภาพตอนเด็กเท่าที่มีอยู่มาให้ด้วย 

           เมื่อถึงวันนัด คุณหน่อยก็ได้เดินทางไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน และในขณะที่เธอสอบถามผู้ใหญ่บ้านก็รู้สึกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปเดินมา คล้ายคนอยากจะถามอะไรสักอย่าง ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็คือคนที่ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าชื่อ "ปราณี นิกุล" นั่นเอง และทันทีที่คุณหน่อยทราบว่า ผู้หญิงคนนั้นคือแม่ของจูลี่ ก็เดินเข้าไปหาพร้อมบอกว่ามีเรื่องของลูกสาวจะเล่าให้ฟัง พอคุณหน่อยพูดเพียงเท่านั้น คุณปราณีถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ตลอดเวลา...

           ส่วนทางด้านของจูลี่ที่เพิ่งเดินทางมาถึงประเทศไทย ก็เผยว่า... เธอเริ่มตามหาแม่แบบจริง ๆ จัง ๆ มาตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่เธอก็ทำอะไรมากไม่ได้ ทำได้เพียงอธิษฐานเท่านั้น เธอเคยฝันถึงแม่ ฝันว่ามีแม่อยู่ข้าง ๆ แต่ไม่เห็นหน้าเห็นเพียงแค่ผมด้านหลังเท่านั้น ส่วนชีวิตในวัยเด็กของเธอ ญาติที่ฟิลิปปินส์ก็ไม่ค่อยสนใจ ส่วนแม่เลี้ยงก็ไม่ชอบเธอสักเท่าไร แถมตอนเด็ก ๆ ยังเคยโดนล้อว่าไม่มีแม่ตลอดเวลา และจุดนี้นี่เอง... ที่เป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้เธอตามหาแม่

           "หนูเขียนจดหมายหาแม่ หนูเห็นในใบเกิดหนู เห็นชื่อที่อยู่แม่ หนูรู้แค่ว่า ถ้าเขียนที่อยู่ของแม่ แล้วไปหยอดที่ตู้จดหมาย จดหมายก็จะส่งไปหาแม่ แต่ก็เท่านั้น จดหมายหนูถูกแม่เลี้ยงนำไปทิ้งขยะ... และถึงแม้ว่าจดหมายจะถูกทิ้งไปแล้ว แต่ความฝันของหนูยังอยู่"  จูลี่ กล่าวพร้อมน้ำตา
 
           จูลี่ เผยต่อว่า เธอเชื่อมาเสมอว่าสักวันเธอจะเจอแม่... เธอคิดว่าสักวันพระเจ้าคงปรานีกับเธอ เธอเฝ้าภาวนามาตลอด และก็เหมือนอะไรมาดลจิตดลใจเธอ ให้เธอย้ายมาทำงานที่โรงแรมอนันตรา เธอทำงานที่นี่ได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น เจ้านายก็ให้เธอมาดูแลแขกวีไอพี ซึ่งเป็นเจ้านายของคุณหน่อย จนทำให้เธอได้พบคุณหน่อยในที่สุด 


           สาวสวยลูกครึ่ง ยังกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เธอก็ได้ประกาศตามหาคุณแม่ด้วยการโพสต์ข้อความทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเธอระบุข้อความว่า มีใครรู้จักคนที่ชื่อ "ปราณี นิกุล" หรือไม่ ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของเธอเอง พร้อมมีข้อความระบุเป็นภาษาไทยว่า "ชีวิตของเธอเกือบจะสมบูรณ์ทุกอย่าง ขาดก็เพียงแต่เธอไม่มีแม่อยู่เคียงข้าง และไม่ว่าแม่จะเป็นใคร แม่จะอยู่ที่ไหน แม่จะเป็นแม่ของเธอตลอดไป หากเป็นไปได้ เธออยากจะกราบแม่บังเกิดเกล้าที่เธอรอมาทั้งชีวิต" ซึ่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตอันนี้ ก็มีคนไทยตอบกลับมาว่าจะช่วยตามหาให้ แต่โชคไม่ดีที่เธอมีลูกเลยไม่มีเวลาช่วยตามหา  

           และแล้วเวลาเธอรอมาทั้งชีวิตก็มาถึงพร้อม ๆ กับของขวัญวันคริสต์มาส ซึ่งจูลี่เล่าให้ฟังว่า ในคืนวันคริสต์มาส คุณหน่อยโทรมาเธอแล้วบอกว่ามีของขวัญคริสต์มาสจะมอบให้นะ... เธอนึกในใจว่าต้องเป็นเรื่องแม่แน่นอน และก็เป็นเรื่องจริง เมื่อคุณหน่อยบอกว่า เธอมีเซอร์ไพรส์ คุณแม่ของเธอนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว อยากคุยไหม ซึ่งจูลี่ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา ส่วนด้านคุณปราณีก็ร้องไห้ และพร่ำบอกคำว่า "คิดถึงลูก" ไม่หยุดเหมือนกัน พร้อมกับบอกว่า... "แม่สัญญาว่าเราจะได้เจอกัน แม่รอลูกมานานแล้ว แม่ดีใจมากที่ได้เจอลูก ถ้าลูกว่างมาเจอแม่เร็ว ๆ นะ แม่จะรอลูก จะรอตลอดไป"

 
           จากวันนั้นที่จูลี่คุยกับแม่จนถึงวันนี้ ก็ประมาณ 20 วัน ซึ่งจูลี่พยายามเคลียร์งานเพื่อบินมายังเมืองไทย และต้องการพบแม่ให้เร็วที่สุด โดยที่ตั้งใจไว้ว่า หากอัดรายการตีสิบเสร็จ ก็จะบินไปที่ จ.นครพนม เลย ส่วนด้านคุณแม่ก็รู้เพียงแค่ว่ามาอัดรายการตีสิบ และจะรอพบลูกในวันพรุ่งนี้เท่านั้น แต่แล้ว... ทางรายการก็ย่นระยะเวลาให้ทั้งคู่ได้เจอกันเร็วขึ้น เมื่อพิธีกรได้พาตัวคุณปราณีมายังรายการ โดยทั้งคู่ไม่รู้ว่าจะได้พบกัน และวินาทีที่พิธีกรบอกว่า มีเซอร์ไพรส์มาให้จูลี่ด้วย สิ้นเสียงพิธีกร จูลี่ก็ร้องไห้ตัวโยน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเธอรู้ว่าแม่กำลังจะเดินมายังเวที เธอก็วิ่งลงไปรับพร้อมอ้าแขนโอบกอด และกล่าวคำว่าคิดถึงตลอดเวลา... 

           หลังจากที่ทั้งคู่ได้พบหน้ากันครั้งแรก คุณปราณีก็ได้นำอัลบั้มรูปเก่า ๆ มาให้จูลี่ดู พร้อมทั้งขอบคุณคุณหน่อยไม่ขาดปาก โดยบอกว่าหากไม่มีคุณหน่อย ก็คงไม่มีวันที่จะได้เจอลูก ส่วนด้านจูลี่ก็ได้ฝึกภาษาไทย เตรียมมาพูดกับแม่คำแรกว่า "ฉันคิดถึงแม่มาก ๆ " 

           "หนูเชื่อในพระเจ้าเสมอ หนูภาวนามาตลอดว่า หนูอยากตื่นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วได้เจอแม่ และวันนี้หนูก็ได้เจอแล้ว พระเจ้าทรงเมตตาหนู ทำให้หนูได้เจอคุณหน่อย ความฝันของหนูเป็นจริงแล้ว" 

          ส่วนทางด้านคุณปราณี ก็เล่าเรื่องราวครอบครัวให้ฟังว่า เธอกับสามีแยกทางกันเมื่อจูลี่อายุเกือบ 3 ปี แต่สามีหอบลูกไปด้วย ซึ่งเธอก็ได้ไปตามที่กรุงเทพฯ แต่ก็ไม่พบ และเธอก็ไปตามยังสถานทูตต่าง ๆ ทั้งฟินแลนด์ และฟิลิปปินส์ แต่ก็ไม่พบข้อมูลแต่อย่างใด... นอกจากนี้ คุณปราณียังระบุว่า เธอคิดถึงจูลี่ตลอดเวลา และเมื่อมีข่าวแผ่นดินไหว หรือข่าวไม่ดีอะไรในประเทศฟิลิปปินส์ ก็อดจะเป็นห่วงลูกไม่ได้...

           สุดท้ายนี้ คุณหน่อยก็ได้กล่าวถึงภารกิจในครั้งนี้ว่า เธอไม่ได้ต้องการที่จะเป็นข่าว เธอเชื่อว่าใครหลาย ๆ คนถ้าเป็นเธอก็คงจะทำเช่นกัน เธอเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น เธอรักแม่ และเธอก็รู้ว่าแม่รักเธอมาก สำหรับกรณีจูลี่เหมือนน้องเขาเคว้งเพราะคุณพ่อก็เสียไปแล้ว และก็ไม่เคยเจอคุณแม่เลย ซึ่งถ้าเธอเป็นจูลี่คงจะต้องทำทุกอย่างเพื่อได้เจอกับแม่ของเธอเหมือนกัน... 








เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Socialvio