ปิดตำนานคดีดังหลังกำนันเป๊าะถูกจับพร้อมเปิดประวัติสมชาย คุณปลื้มและตำนานเจ้าพ่อตะวันออก






          ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ ผู้บังคับการกองปราบปราม เผย รวบ "กำนันเป๊าะ" ที่มอเตอร์เวย์ หลังหนีคดี ฆ่ากำนันยูรมาหลายปี ส่งสอบสวนที่กองปราบแล้ว ด้าน นายสนธยา ลูกชาย เผย ไม่ขอใช้ตำแหน่งทางการเมืองตนเองประกันตัวนายสมชายในครั้งนี้ 

            เมื่อวานนี้ (30 มกราคม) พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผู้บังคับการกองปราบปราม นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เข้าจับกุม นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ ผู้กว้างขวางใน จ.ชลบุรี ขณะนั่งอยู่ภายในรถยี่ห้อเลกซัส สีดำ ทะเบียน ฏฏ 9519 กรุงเทพมหานคร บนถนนมอเตอร์เวย์ ย่านพัฒนาการ โดยเจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่า กำนันเป๊าะ จะผ่านมาในเส้นทางดังกล่าวเพื่อมารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โดยใช้ชื่อปลอมว่า นายกิม แซ่ตั้ง จึงนำกำลังเข้าจับกุม และควบคุมตัวมาสอบสวนตามหมายจับ ที่หน่วยคอมมานโด กองบังคับการปราบปราม ย่านโชคชัย 4 ก่อนจะแถลงข่าวต่อไป

            ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก กำนันเป๊าะ หลบหนีคดีที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุกในคดีทุจริตที่ดินเขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี และคดีจ้างวานฆ่า นายประยูร สิทธิโชติ หรือ กำนันยูร ในปี 2546 โดยคดีทุจริตที่ดินเขาไม้แก้วเริ่มขึ้นเมื่อปี 2536 เมื่อเมืองพัทยา จะจัดหาที่ดินเพื่อใช้เป็นที่กลบฝังขยะ ต่อมามีชื่อนายพีระ ศิลรัตน์ เจ้าของที่ดินจำนวน 150 ไร่ ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เสนอที่ดินจำนวน 140 ไร่ ให้เมืองพัทยาพิจารณา โดยเสนอขายในราคาไร่ละ 6 แสนบาทเศษ รวมเป็นเงิน 93 ล้านบาทเศษ ซึ่งเมืองพัทยาก็ตกลงซื้อที่ดินดังกล่าวเอาไว้และชำระเงินให้เจ้าของที่ดินไปทั้งหมด

            อย่างไรก็ตาม ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อมีการร้องเรียนว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องในการจัดซื้อเองก็รู้ดี นอกเหนือจากนั้น เมื่อมีการสอบสวนลึกลงไปอีกพบข้อมูลการทุจริตครั้งใหญ่ เพราะที่ดินแปลงนี้นายพีระเพิ่งซื้อมาจากบริษัท เค.ไอ.ที.ไอ.เมื่อปี 2535 ในราคาเพียงไร่ละ 50,000 บาทเท่านั้น ในขณะที่เมืองพัทยาอ้างว่าได้ตรวจสอบการซื้อขายที่ดินละแวกดังกล่าวแล้ว พบว่าราคาอยู่ในระดับมาตรฐานคือไร่ละ 6-7 แสนบาท แต่จากหลักฐานพบว่า การซื้อขายที่ดินที่เมืองพัทยานำมาอ้างนั้นพบว่า มีคนจ้างให้ปั่นราคาที่ดิน ส่วนภาษีและค่าใช้จ่ายในการโอนมีคนออกให้ทั้งหมด
       
            ในส่วนของกำนันเป๊าะได้เข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อชุดสืบสวนของพนักงานสอบสวนภายใต้การนำของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส สืบทราบและมีหลักฐานแน่ชัดว่า นายพีระผู้ขายที่ดินให้เมืองพัทยาเป็นเพียงคนสวนของบ้านกำนันเป๊าะ จนทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำคุกนายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ รวมเป็นเวลา 5 ปี 4 เดือน

            ในส่วนของคดีจ้างวานฆ่านายประยูร สิทธิโชติ หรือ กำนันยูร คู่แข่งร่วมเมือง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่กำนันยูรถูกสังหารเสียชีวิต แต่เป็นคดีก่อนที่กำนันยูรจะถูกสังหาร โดยตำรวจมีหลักฐานว่ามีการวางแผนและจ้างวานให้สังหารกำนันยูร แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์พิพากษาจำคุกในคดีจ้างวานฆ่าแต่ไม่สำเร็จนี้เป็นเวลา 25 ปี และเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 ศาลฎีกาได้พิพากษายืนจำคุกกำนันเป๊าะ และ ส.ท.เหี่ยว หรือนายภาสกร หอมหวล คนละ 25 ปี คดีจ้างวานฆ่ากำนันยูร ศาลสั่งออกหมายจับสองจำเลยที่ยังหลบหนีมารับโทษตามคำพิพากษา
            ทั้งนี้ หลังการเข้าจับกุม นายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เผยว่า ตนเองเพิ่งได้รับทราบข่าวบิดาถูกจับกุม พร้อมยอมรับหนักใจเป็นเรื่องปกติ เพราะเป็นพ่อลูกกัน ทั้งนี้ ยืนยันจะไม่ใช้ตำแหน่ง รัฐมนตรีแทรกแซง ส่วนการดำเนินคดีให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ทั้งกระบวนการต่อสู้คดีจากนี้ รวมถึงขั้นตอนการประกันตัว ซึ่งยังให้ความเห็นไม่ได้ โดยขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกับบิดา พร้อมกับมั่นใจว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เชื่อมโยงกับการเมือง
             ทางด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวว่า เพิ่งทราบเรื่องการจับกุมนายสมชาย คุณปลื้ม ให้เป็นไปตามหมายศาลที่จับกุม ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ซึ่งเรื่องนี้คงไม่กระทบกับตำแหน่งของนายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

สมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ (30 กันยายน พ.ศ. 2480 -) นักการเมือง นักธุรกิจ ชาวจังหวัดชลบุรี ผู้กว้างขวางในภาคตะวันออก และเคยเป็นอดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุขที่มีผลงานมากมายจนทำให้ชลบุรีเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและให้การสนับสนุนนักการเมืองจากภาคตะวันออกหลายคน เคยถูกตัดสินยึดทรัพย์ในคดีทุจริตซื้อที่ดินเขาไม้แก้ว[1][2] และจำคุก 25 ปี ในคดีจ้างวานฆ่า นายประยูร สิทธิโชติ หรือ กำนันยูร[3][4][5] แล้วหลบหนีคดี[6] ต่อมาเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 นายสมชาย คุณปลื้มได้ถูกตำรวจจับที่กรุงเทพมหานคร [7]

[แก้]ประวัติ

นายสมชาย คุณปลื้ม เป็นบุตรคนที่ 2 แต่เป็นลูกชายคนแรกของนายชาญชัย และนางท้วม คุณปลื้ม[ต้องการอ้างอิง] เกิดเมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2480 บิดาเป็นผู้ใหญ่บ้านในตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี ส่วนมารดามีอาชีพขายหมูในตลาดหนองมน กระทั่งมีโรงฆ่าสัตว์ขนาดเล็กของตนเอง
เมื่อจบชั้นประถมสี่จากโรงเรียนวัดกลางดง จึงลาออกจากโรงเรียนเป็นกระเป๋ารถเมล์สายบางแสน - ศรีราชา - ชลบุรี ก่อนจะขึ้นมาเป็นคนขับรถ ต่อมาจึงหันไปทำเรือประมง และได้พบกับชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งซึ่งมีธุรกิจค้าน้ำมันในกัมพูชาขณะมาเที่ยวบางแสน จึงได้สัมปทานจับปลาในน่านน้ำกัมพูชา[ต้องการอ้างอิง] แต่ทำเพียงไม่กี่ปีก็เลิกเพราะราคาน้ำมันแพง จึงหันไปจับธุรกิจทำบ่อลูกรังจนประสบความสำเร็จ และนำไปสู่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างก่อนจะขยายไปเป็นธุรกิจเหล้า โรงแรม พัฒนาที่ดิน จนสามารถขยายกิจการครอบคลุมเกือบทุกกิจการในท้องที่บางแสนและพัทยา[8] ทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนบุตรชายและนักการเมืองในท้องถิ่นภาคตะวันออกหลายคน

[แก้]ประวัติครอบครัว

ด้านชีวิตส่วนตัว สมรสกับนางสติล คุณปลื้ม (สกุลเดิม เท่งเจียว) มีบุตรธิดา รวม 5 คน เรียงลำดับดังนี้
  1. สนธยา คุณปลื้ม - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม, อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี, อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, ประธานสโมสรฟุตบอลศรีราชา, ประธานสโมสรฟุตบอลพัทยา ยูไนเต็ด, อุปนายกราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  2. วิทยา คุณปลื้ม - นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี, ประธานสโมสรฟุตบอลชลบุรี เอฟซี
  3. จิราภรณ์ คุณปลื้ม
  4. อิทธิพล คุณปลื้ม - นายกเมืองพัทยา
  5. ณรงค์ชัย คุณปลื้ม - นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองแสนสุข

ตำนานเจ้าพ่อตะวันออก

ถามว่า ปัจจุบันยังมีเจ้าพ่ออิทธิพล (มือปืน) อยู่อีกหรือไม่ หรือไปอยู่ตามศาลเจ้าพ่อกันหมดแล้ว (ไม่ใช่ศาลยุติธรรมนะครับ) เพราะสมัยก่อน มีเจ้าพ่อเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เอาเป็นว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ไปไหนมาไหน มีมือปืนเดินห้อมล้อม ตัวเจ้าพ่อจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องพกปืนให้หนักเอว แต่ใช้สายตาบ้าง นิ้วบ้าง แค่นี้เป้าหมายก็ตายแล้ว ต่อมากิจการเจ้าพ่อถูกปราบปราม ไม่ใช่จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่มาจากคนในวงการเดียวกัน ที่ต้องการก้าวขึ้นมาแทนที่ เหมือนในหนังละครับ นาน ๆ เข้า พวกเจ้าพ่อ ก็เปลี่ยนสถานะเข้ามาเล่นการเมืองบ้าง ล้างมือให้บุตรหลานทำแทนบ้าง บ้านเมืองเจริญมากขึ้น พวกเจ้าพ่อก็เหมือนผี ก็ต้องหายเข้าป่าไป ไม่สามารถอยู่ในป่าคอนกรีตได้ สมัยผมยังเป็นเด็ก พบว่านอกจากแถว จว.เพชรบุรีแล้ว ที่มีมือปืนจำนวนมาก ทางภาคตะวันออกก็ไม่แพ้กัน มีการยิงถล่มกันด้วยระเบิด อาวุธสงคราม ตายไปก็มาก ปัจจุบันไม่อยู่ในคราบเจ้าพ่อ หรือนักเลงแล้ว ลองมาศึกษาบทความนี้ดู
เปิดตำนานเจ้าพ่อ-มือปืนฝั่งทะเลตะวันออก
เป็นความจริงในทางธรรมชาติ ที่ใดมีแหล่งผลประโยชน์มากมายมหาศาล ย่อมเต็มไปด้วยการกอบโกย ช่วงชิงเพื่อที่จะได้เป็นเจ้าของครอบครองกิจการ
ในการช่วงชิง เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนปรารถนา ที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไป จะให้ประสบผลสำเร็จ ก็ประกอบด้วยอำนาจ บารมีการเงิน และพวกพ้อง สมุนที่ล้อมหน้าล้อมหลัง มีมือปืนคู่กายคู่ใจ  เคียงข้างเป็นเงาตามตัว คอยระแวดระวังภัยให้
การช่วงชิงกัน  ในสนามของชีวิต จึงมีทั้งฝ่ายได้ และฝ่ายเสีย ซึ่งบางครั้ง หรือส่วนมาก ก็เดิมพันกันด้วย เลือด น้ำตาความสูญเสีย และความตาย เต็มไปด้วยการล้างแค้นกัน  ประเภทเลือดล้างเลือด
เมื่อผ่านฉาก  ของการต่อสู้ล้มล้างไปแล้ว  ฝ่ายที่ประสบชัยชนะ ก็ผงาดขึ้นมา  ได้รับฉายาว่า “เจ้าพ่อ”  “มาเฟีย” หริออย่าง ที่ต่างประเทศมักจะเรียกว่า  เป็นพวกก็อดฟาเธ่อร์  ที่แวดล้อมด้วยสมุนซ้ายขวา มาด้วยบารมี  และอำนาจนอกระบบ
การหักเหลี่ยมเฉือนคม ในยุทธจักรมาเฟีย  เจ้าพ่อที่เคยอื้อฉาว  ในอดีตเมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีมาแล้ว คือวิถีทางของ “เจ้าพ่อตะวันออก” ผู้ทรงอิทธิพลเหนือพื้นที่หลายจังหวัดแบบสยายปีกครอบคลุมหลายพื้นที่  โดยมีสายโยงใย  ตาข่ายแบบใยแมงมุม และมีศูนย์อำนาจ  อยู่ที่จังหวัดชลบุรี
เมื่อหัวขบวนของมาเฟีย ถูกล้างผลาญเด็ดหัวจากคู่แข่ง  สมุนมือขวา  หรือสมุนมือซ้าย ที่เคยเคียงข้างกายก็ผงาด  ขึ้นมาแทนที่  มีการเปิดศึกล้างเลือด แก้แค้นกันไปมา  ประเภทแค้นต้องชำระ ประเภท ๑๐ ปีล้างแค้นก็ไม่มีสาย
การล้มล้างกันของขบวนการมาเฟีย  เจ้าพ่อฝั่งทะเลตะวันออก ที่ผ่านมาและเป็นตำนานสืบทอดประวัติศาสตร์ของความรุนแรง  นอกกฎหมาย ประเภทที่เรียกว่า “เอ๊าท์ลอว์เกิดจากความขัดแย้ง  ทางธุรกิจการค้า การมุ่งยึดครอง  แหล่งผลประโยชน์  ในทางธรรมชาติ เช่น ที่ดินหิน  แหล่งแร่ รวมทั้งธุรกิจ  การประมูลก่อสร้าง  มูลค่าร้อยล้านพันล้าน
แหล่งผลประโยชน์   ที่ต้องช่วงชิงกันเหล่านี้  จึงเป็นที่มา ของผู้มีอิทธิพลก๊กต่างๆ หลายก๊กด้วยกันที่มีพฤติกรรม  ห้าวโหดอำมหิต ประเภทใครดีใครอยู่  ประเภทที่ฆ่าฝ่ายอื่น  เพื่อที่ฝ่ายตนจะได้มีชีวิตอยู่ และครอบครองความเป็นใหญ่  สยายปีกความเป็น มาเฟีย
ความเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย  นอกเหนือจากจะมีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง  มีมือปืนคอยคุ้มกันหรือรับบัญชาเพื่อกำจัดฝ่ายตรงกันข้ามแล้ว  ยังมีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เช่น กำนัน  ผู้ใหญ่บ้าน  นักการเมืองท้องถิ่น  ผู้นำชุมชน   เป็นสมัครพรรคพวกด้วย
ที่เหนือกว่านั้นคือ  นักการเมืองระดับชาติ  และพรรคการเมือง หนุนอิทธิพลอยู่ข้างหลัง  เมื่อใช้กลุ่มเจ้าพ่อ  มาเฟีย  เป็นหัวคะแนนในการเลือกตั้ง  ครั้นประสบความสำเร็จในทางการเมือง ก็เข้าลักษณะบุญคุณต้องทดแทน  หนุนแก๊งมาเฟีย เจ้าพ่อ ช่วยเพิ่มบารมีให้สูงขึ้น
แหล่งผลประโยชน์คือต้นเหตุ
แหล่งผลประโยชน์ ทรัพยากรธรรมชาติ  ที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นป่าไม้  เหมืองแร่  ที่ดิน ล้วนเป็นทรัพยากร ที่เป็นแหล่งกำเนิด  ของกลุ่มอิทธิพล  ที่หวังจะเข้าครอบครองแล้วเกิดการช่วงชิง  ระหว่างกลุ่มอิทธิพล  ที่เลี้ยงมือปืนไว้ เพื่อให้ความคุ้มครองอิทธิพลกลุ่มต่างๆ  จึงเป็นที่มา  ของการก่ออาชญากรรม ล้มล้างอำนาจ  อิทธิพลซึ่งกันและกัน  จึงเป็นที่มา ของตำนานเลือด มือปืน และการโค่นล้ม กำจัดกัน  ของกลุ่มต่างๆ ด้านชายทะเลตะวันออก  จังหวัดชลบุรี ที่เคยเขย่าขวัญ ของคนในสังคม มาเป็นเวลานานหลายสิบปี
แต่แล้วทุกอย่างที่เกิดขึ้น  ก็เป็นไปตามหลักสัจธรรมของธรรมชาติที่ว่า ทุกอย่างทั้งในด้านดีและด้านร้าย  มีการเกิดการดำรงอยู่  เติบโตรุ่งเรือง แล้วก็เสื่อมสลาย  ไปตามกาลเวลา
ความเสื่อมโทรม การล่มสลายของสรรพสิ่ง  เป็นไปตามกาลเวลา   และผลสนองตอบทางด้านพฤติกรรม ที่บุคคลก่อขึ้นในด้านของความเลวร้าย   ก็ประสบความหายนะ   และล่มสลายได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นทางด้านทรัพย์สิน  อิทธิพล   ความยิ่งใหญ่ในด้าน นอกลู่นอกทาง หรืออำนาจ  ก็มิได้ละเว้น  แม้จะมีการเลี้ยงมือปืนไว้รอบกาย  เพื่อเสริมบารมี อำนาจ อิทธิพล ก็หาช่วยอะไรได้ไม่
เมื่อถึงคราวต้องวิบัติ
เลือดและชีวิตเป็นเดิมพัน

ตำนานวิถีทางดังกล่าว เคยเกิดขึ้นมานานแล้วเมื่อหลายปีก่อน   แล้วในที่สุด ต่างฝ่ายต่างประสบความวิบัติ   พบกับความหายนะ  ประสบกับความเสื่อมสลาย โดยไม่อาจจะคาดได้ว่า  จะมีการก่อตัวขึ้นมาใหม่  อีกหรือไม่
หรือว่าตำนานเจ้าพ่อ  มาเฟีย  มือปืนฝั่งทะเลตะวันออก  ที่ล้างเลือดกัน เอาชีวิตเป็นเดิมพัน  ประเภทเลือดล้างด้วยเลือ  จะเหลืออยู่เพียงตำนานแห่งประวัติศาสตร์
ตำนานเลือดล้างเลือด ของกลุ่มอิทธิพล  มาเฟีย  ก๊อดฟาเธ่อร์  แห่งฝั่งทะเลตะวันออก  ที่ครองพื้นที่ สืบทอดอิทธิพลกันมานาน  เปิดฉากความเดือดเกินพิกัด
เมื่อตอนเช้าวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๒๔
มันเป็นรุ่งอรุณ  แห่งการหยิบยื่นความตาย ให้แก่เสี่ยผู้ยิ่งใหญ่  และมากด้วยบารมีอิทธิพล  ที่คนทั่วไปครั่นคร้าม แม้แต่ได้ยินชื่อ
รุ่งอรุณแห่งความอำมหิต
นั่นคือ “เสี่ยจิว” หรือ นายจุมพล  สุขภารังษี  ผู้เรืองอำนาจ  ในวงการเจ้าพ่อฝั่งทะเลตะวันออก
ท่ามกลางความสดใส  ของอากาศแห่งรุ่งอรุณของวันดังกล่าว กลับครอบคลุมด้วยรังสีอำมหิต  เกินกว่าที่ผู้คนจะคาดหมายโดยมัจจุราชได้หยิบยื่นความตายให้ แก่เขา
ตอนเช้าของวันดังกล่าว เสี่ยคนดัง  ที่ทรงอิทธิพล  พร้อมกับสมุนคู่ใจ  และคนขับรถรวม  ๓  คน ได้ยกขบวนเดินทางไปดูที่ดิน  ในตำบลหนองไม้แดง  อำเภอเมืองชลบุรี เพื่อขยายธุรกิจการค้า  สร้างศูนย์การค้าแห่งใหม่  เพื่อตรวจสภาพพื้นที่  ตามแบบแปลนที่ได้ออกแบบ
แผนพิฆาตที่ลึกซึ้ง
เสร็จสิ้นจากภารกิจแล้ว  เสี่ยคนดังพร้อมกับลูกน้อง ก็พากันเดินทางกลับ โดยผ่านเส้นทางบายพาส เลี่ยงเมืองชลบุรี โดยมิได้เฉลียวใจว่า มัจจุราชจะกระชากวิญญาณ ของเสี่ยอิทธิพล  กับลูกน้องออกจากร่าง
ขณะที่รถแล่นพุ่งไป ตามเส้นทางได้ไม่นาน เหตุระทึกขวัญ ประหนึ่งมัจจุราชกวักมือเรียก ก็พลันอุบัติขึ้น เมื่อมีรถกระบะเล็ก ๒ คัน ที่บรรทุกชายฉกรรจ์ร่วม ๑๐ คน พุ่งตัวเข้ามาประชิดรถของเสี่ยจิว อย่างไม่คาดฝันมาก่อนว่า ได้วิ่งไล่ตามเส้นทางมา เรื่อย หรือรถของกลุ่มขบวนการล่าสังหาร  จะมีการสื่อสาร  ทางเครื่องมือสื่อสารทันสมัย แจ้งให้ทราบเส้นทาง ที่รถเสี่ยจิวผ่าน รถกระบะ ๒ คันนั้น จึงไปดักซุ่มตามเสนทาง  เมื่อรถของเสี่ยอิทธิพลแล่นผ่าน  จึงเร่งเครื่องไล่หลัง แล้วพุ่งเข้าประกบ  ในรัศมี
ที่ระยะการยิงหวังผล
เมื่อได้จังหวะ คนในรถกระบะ  จึงระดมกราดกระสุน  จากอาวุธสงครามใส่รถเบ๊นส์ของเสี่ยจิว โดยยิงถล่มอย่างหูดับตับไหม้  ใส่รถเบ๊นส์ที่มีเสี่ยจิว นั่งอยู่ นับร้อยนัด แรกๆทำท่าว่าดวงของเสี่ยอิทธิพลกับลูกน้อง ยังไม่ถึงฆาต  เพราะกระสุนปืนจาก อาวุธสงคราม  ไม่สามารถพุ่งทะลุทะลวง  กระจกกันกระสุนเข้าไปในรถได้
ในวินาทีวิกฤติ   ระหว่างความเป็นความตาย ที่ดำเนินไปด้วยความระทึกขวัญอย่างสุดขีดนั่นเอง   คนขับรถของเสี่ยจิว จึงเปิดกระจกรถเบ๊นส์คันนั้นลง เพื่อยิงตอบโต้มือปืน
นั่นอาจจะเป็นการตัดสินใจ  ที่ผิดพลาดก็ได้  ในสถานการณ์ที่คับขัน เพราะเป็นการเปิดช่องทาง ให้คนร้ายที่เป็นมือปืนรถกระบะ โยนระเบิดเข้าใส่รถ ตรงช่องกระจกที่เปิดออก เสียงดังสนั่นหวั่นไหว  อานุภาพของแรงระเบิด เป็นเหตุให้ตัวถังของรถ พังพินาศ
โอกาสนั้นเอง  ทีมมือปืนลึกลับ นักล่าสังหาร  จึงยิงปืนกราดซ้ำเข้าไป  อย่างหูดับตับไหม้   จนทำให้คนในรถ ตายทั้งคันรวมทั้งเสี่ยจิวด้วย
ร่ำลือกันแซดในยุคนั้นว่า การใช้มือปืนล่าสังหาร  เจ้าพ่อตะวันออก “เสี่ยจิว” ผู้ทรงอิทธิพล และเป็นเจ้าของกิจการค้า ทั้งในกฎหมาย  และนอกกฎหมาย เป็นการวางแผนเด็ดหัวเจ้าพ่อ  ของกลุ่มคนมีสีในพื้นที่ ประเภท “สีเขียว” ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว  ก็ยังคงเป็นปมปริศนาที่มืดมนอยู่ จนกระทั่งปัจจุบัน
เหตุจากขุมทรัพย์มรณะ
แต่อย่างไรก็ตาม  การตายของเสี่ยจิวกับสมุน ก็ต้องฟันธงลงไปว่า ต้องมีสาเหตุที่มา  ด้วยหลักการที่ว่า  ผลที่เกิดขึ้นย่อม มาจากเหตุ
จึงได้มีการคาดการณ์   ในคดีโหดอำมหิตนี้ว่า  เหตุมาจากการขัดผลประโยชน์ ธุรกิจแร่พลวง   มูลค่ามหาศาล  ในพื้นที่ตำบลบ่อทอง  อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี  ที่เสี่ยจิว เป็นพ่อค้ารายใหญ่  และรุกยึดสัมปทานไว้ในมือ มีเรือขนถ่ายส่วนตัวขนส่งออกทางทะเลไปถึงสิงคโปร์
การอยู่ในกองลาภอันมหาศาล  บ่อแร่พลวง ของเสี่ยจิว   ทำให้คนมีสีกลุ่มนั้น ต้องการที่จะมีเอี่ยวด้วย   จึงมีการติดต่อ เรื่องผลประโยชน์ เหมือนจะเป็นการมุ่งลบลายเสือ  เพื่อให้มีผลประโยชน์ร่วม
กรณีการเหยียบถ้ำเสือ   เพื่อลบลายเสือ   โดยกลุ่มคนมีสี ต่อรองกับเสี่ยจิวในครั้งนั้น   สร้างความไม่พอใจ   สร้างความ เดือดแค้น ให้เสี่ยจิวเป็นอย่างมาก และประกาศความแข็งกร้าว  ไม่สยบต่ออำนาจอิทธิพล ของคนมีสีในพื้นที่กลุ่มนั้น โดยไม่ยอมแบ่งผลประโยชน์ให้ ขณะที่คนมีสีกลุ่มนั้น  ก็ไม่พอใจกับการแข็งข้อของเสี่ยจิว ถึงกับประกาศตนเป็นปฏิปักษ์   ซึ่งเสี่ย จิวก็รู้อยู่แก่ใจว่า ตนอยู่ท่ามกลางภัยอันตราย  จากกลุ่มมาเฟียคนมีสี  และระมัดระวังตัวอย่างไม่ประมาท
การจุดประกายความแค้น  เพระไม่สมประโยชน์ของมาเฟียคนมีสี ใช้วิธีการลิดกิ่งไม้ที่แวดล้อมอยู่ ก่อนที่จะโค่นต้นไม้ใหญ่ให้พังครืนลงมา
นั่นคือตามล่า  เด็ดหัวสมุนเสี่ยจิว  เป็นรายๆไป อันการตัดกำลังให้อ่อนลง  แล้วนำไปสู่การโค่นล้ม ต้นไม้ใหญ่  คือการล้มเสี่ยจิว  โดยการหยิบยื่นความตายให้  ทำให้สมุนที่มีอยู่ขาดร่มไม้ใบหนาปกป้อง แล้วขบวนการมาเฟีย ในสายของเสี่ยจิว ก็อ่อนแรงลง  เมื่อขาดหัวขบวนคนสำคัญ ที่ตายเพราะฝีมือคนมีสี  อย่างที่ร่ำลือกัน
ผู้สืบทอดมรดกเจ้าพ่อ
แม้จะหมดยุคของเสี่ยจิว แต่เนื่องด้วยขบวนการดังกล่าว มีการก่อตัว สยายปีกมานาน และมีสมุนแวดล้อมหลายระดับ เมื่อสิ้นเสี่ยจิว ก็ได้มีทายาทคนใหม่ สืบสานตำนานผู้มีอิทธิพล ผงาดขึ้นมาแทนที่ เป็นที่รู้จักกันในแวดวงยุทธจักรนักเลง เจ้าพ่อมาเฟียในเวลาต่อมา
ในนาม กำนันเป๊าะ หรือ นายสมชาย คุณปลื้ม ที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวตายตัวแทน เพราะเป็นลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งของ เสี่ยจิว
เขามีบุคลิกที่เป็นคนใจนักเลง ใจถึง กล้าได้กล้าเสีย พร้อมด้วยพระเดช พระคุณ การผงาดขึ้นมาในยุทธจักรเจ้าพ่อ ฝั่งทะเลตะวันออก จึงทอรัศมีเจิดจ้า มีสมุนและผู้คนทั่วไป ยำเกรง และสวามิภักดิ์ เป็นจำนวนมาก เพื่อเสริมบารมีกำนันเป๊าะ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หลังการ “เก็บ” เสี่ยจิว กับลูกน้อง ๓ คน โดยกลุ่มมือปืนรถกระบะ เมื่อเช้าวันที่ ๒๕มิถุนายน ๒๕๒๔ แค่ ๘ ปีเท่านั้น เจ้าพ่อวงการนักเลง – มือปืนฝั่งทะเลตะวันออก ในนาม “กำนันเป๊าะ” นายสมชาย คุณปม ก็ผงาดขึ้นมา ในระดับแนวหน้า ท่ามกลางกลุ่มเสือสิงห์ กระทิงดุ ก๊กอื่น ที่ผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่ง ในอาณาจักรเจ้าพ่อ
วัฏจักรของการฆ่าคู่แข่ง
ดาวดวงใหม่ กำนันเป๊าะ โดยสมชาย คุณปลื้ม ในฐานะของกำนัน ก็มีบารมีสูงส่ง เป็นที่เกรงขาม เป็นที่เคารพนบนอบ ของคนทั่วไปอยู่แล้ว เมื่อเขาสืบทอดบารมีจากเสี่ยจิว ยิ่งทำให้เพิ่มพูนบารมีและอิทธิพลกว้างขวางยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งอิทธิพลอำนาจบารมีของกำนันเป๊าะ เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา การพาตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง ตัดสินในปัญหาต่าง ๆ จึงตกอยู่ในสภาพ ที่เรียกว่า ต้นชี้ตายปลายชี้เป็น บนเส้นทางของเจ้าพ่อ ผู้มีอิทธิพล โดยมีแหล่งผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติ ให้บุคคลหลายหมู่เหล่าแสวงหา การผงาดขึ้นมาของกำนันเป๊าะ หรือนายสมชาย คุณปลื้มก็ย่อมจะมีคู่แข่งเป็นธรรมดา โดยอยู่คนละขั้ว ที่มีบทบาทท้าทายขั้วอำนาจเก่า คือกลุ่มของเสี่ยฮวด หรือ นายพิพัฒน์ โรจน์วานิชชากร ที่พยายามประกาศตัวเป็นเอกเทศ ไม่สยบบารมีของกำนันเป๊าะ และยังเดินเกมส์ เหมือนคู่แข่ง ทางด้านธุรกิจ ทั้งในและนอกระบบ กลายเป็นไม้เบื่อ ไม้เมากับกำนันเป๊าะ ซึ่งต่อมามีสถานภาพเป็นนายกเทศมนตรีตำบลแสนสุข อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ความปีนเกลียวกัน อันเนื่องมาจากเส้นทาง เจ้าพ่ออิทธิพล เขม็งเกลียวความขัดแย้งสูงขึ้น เป็นลำดับจนแบ่งเป็นค่ายปรปักษ์ซึ่งกันและกัน ผลสุดท้าย ก็ลงเอยด้วยการแผ่รังสีอำมหิตเพื่อการทำลายล้าง ตัดเส้นทางที่เป็นขวากหนาม เป็นก้างขวางคอออกไปทางออกในเรื่องดังกล่าว ก็ต้องตัดสินด้วยการฆ่า เผลอเมื่อไหร่ ก็ต้องตกเป็นเบี้ยล่างเมื่อนั้นแต่ละฝ่าย จึงต้องระวังตัวแลเพื่อไม่ให้เพลี่ยงพล้ำ เพราะหากเพลี่ยงพล้ำเมื่อไหร่ ก็หมายถึงการปิดฉากชีวิตลงด้วยความตาย
ยุทธจักร เจ้าพ่อ นักเลงมือปืน ส่วนมากจึงมักจะลงเอยในลักษณะนั้น เช่นเดียวกับจุดจบ ของเสี่ยฮวด หรือนายพิพัฒน์โรจน์วานิชชากร ผู้วัดรอยเท้าของกลุ่มอิทธิพลอำนาจเก่า
 


ถล่มกันด้วยอาวุธสงคราม
ตอนสายของวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๓๒ ซึ่งเป็นวันไหว้รำลึกถึงบรรพบุรุษ ของชาวจีนเชื้อสายไทย ที่เรียกกันว่า “วันเช็งเม้งเสี่ยฮวดพร้อมกับลูกน้องคนสนิท ได้เดินทางโดยรถยนต์ ไปบนเส้นทางถนนสายเศรษฐกิจ-บ้านบึง ถึงช่วง กม. ๔.๕ พื้นที่ตำบลบ้านสวนอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี โดยไม่ได้หวาดระแวงหรือคาดคิดมาก่อนว่า จะเป็นการเดินทาง เข้าสู่เส้นทางที่มัจจุราช กวักมือเรียกรออยู่ ทันใดนั้นเอง ก็ถูกกลุ่มมือปืน ยิงถล่มด้วยอาวุธสงคราม ทั้งปืนอาก้าและเอ็ม ๑๖ จนคนในรถตายหมู่ทั้งคันรถ ทางด้านพนักงานสอบสวน เพื่อคลายปมสังหารอย่างเหี้ยมโหดครั้งนี้ ได้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ รวบรวมหลักฐาน และสอบปากคำพยาน ที่อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ สรุปผล ประเด็นการสังหารเบื้องต้น พบเหตุเสี่ยฮวดและลูกน้องถูกสังหาร เกิดจากปมประเด็น อันเป็นชนวนเหตุ หลายด้าน อาทิ ความขัดแย้งส่วนตัว การซื้อที่ดิน ในท้องที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เพื่อทำโครงการ “ศรีราชามหานครแหล่งศูนย์การค้าแหล่งใหญ่ นอกจากนั้นยังมีปมประเด็น การขัดแย้งกับนายตำรวจ ในจังหวัดชลบุรี สมทบเข้าไปด้วย มหกรรมการฆ่า ตัดเส้นทางผู้มีอิทธิพลที่ผงาดขึ้นมาแทนที่อิทธิพลเก่าในครั้งนั้น เมื่อรวบรวมหลักฐานและพยาน บางส่วนได้แล้ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ ๑๐ คน และมีการซัดทอดว่า นายปรีชา สถาวร หรือ เจ้าของสมญานามแดง สิงห์ป่าซุง” เป็นคนลงมือกราดกระสุนสังหาร แต่เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ หลังจาก “แดง สิงห์ป่าซุง” ถูกจับกุมและสอบปากคำแล้ว หลักฐานไม่เพียงพอ เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงกันไว้เป็นพยาน แผนการฆ่าตัดตอน
แล้วในที่สุด เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ นายปรีชา สถาวร หรือแดง สิงห์ป่าซุง ถูกยิงกราดด้วยอาวุธสงคราม ตายเหมือนเป็นการฆ่าตัดตอนพยานเพื่อปิดคดี ส่วนผู้ต้องหานอกนั้น ศาลสั่งยกฟ้องเพราะพยานหลักฐาน มีไม่เพียงพอ ที่จะเอาผิดได้ การตายปริศนา แบบลึกลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อนปมของเสี่ยฮวด และแดง สิงห์ป่าซุง แม้จะต่างกรรมต่างวาระ ก็มี ข้อสันนิษฐาน เช่นเดียวกับ เหตุการณ์ยิงถล่มเสี่ยจิว นั่นคือ เป็นฝีมือของ “คนมีสี” การขยายผลสู่การจับกุมผู้บงการ ใน แต่ละคดีจึงเจอทางตันอันเป็นการปิดคดีโดย ปริยาย คลื่นลมมหากาฬ มหกรรมการฆ่า ประเภทชีวิตแลกด้วยชีวิต เลือดล้างด้วยเลือด ณอาณาจักรชายทะเลฝั่งตะวันออก ทำท่าจะสงบลง แต่ก็ผิดคาด... ยุทธจักรของเจ้าพ่อ และมือปืน ต้องมีอันเดือดพล่าน เหนือขีดจำกัดต่อไปอีก หลังจากแต่ละฝ่าย หยุดการเคลื่อน ไหวชั่วคราว เป็นการพักยก เพราะต่างฝ่ายต่างสูญเสียไปมากแล้ว

องศาเดือดฆ่ามือขวากำนันดัง
องศาเดือดร้อนแรง อุบัติขึ้นอีกรอบ เมื่อมือขวาของกำนันเป๊าะ นายกำพล คุปตวานิชเจริญ หรือเสี่ยเก๊า ถูกมือปืน ยิงถล่มเสียชีวิต คดีล้างผลาญชีวิตกันครั้งนี้ ยังมีเบาะแส จากการสืบสวนสอบสวน เพื่อคลายปมฆ่าเสี่ยเก๊า สืบทราบมาว่า มีซัดทอด ถึงจอมบงการ ที่อยู่เบื้องหลัง ครั้นรู้ว่าภัยจะมาถึงตัว จึงได้ชิงมอบตัวต่อ พล.ต.ท.ธนู หอมหวน นายตำรวจมือปราบ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในสมัยนั้น และต่อมารูปคดีได้ขยายผลออกไปว่า นายประมวล นาสวนชัย เจ้าของสมญานาม “ไอ้ตาแดง” และ จสต.สมชาย อินสาหร่าย กับคนซึ่งชิงมอบตัว ร่วมกันลงมือสังหารเสี่ยเก๊า และระบุซัดทอดว่ามี จ.ส.ต.สมัย หรือเอก วงศ์ไชย เป็นผู้ติดต่อจ้างวาน นายสมบูรณ์ หรือเอี่ยม ม็อบ ที่ชิงมอบตัว เพื่อให้รอดพ้นจากการตามฆ่าปิดปาก ให้การอันเป็นประโยชน์ต่อรูป คดีว่าสาเหตุที่มีการจ้างวาน ให้เด็ดชีพเสี่ยเก๊า สมุนมือขวาของกำนันเป๊าะ เกิดจากความขัดแย้งในด้านผลประโยชน์ การซื้อที่ดินทำเลทอง ที่บริเวณหาดทรายทอง ตำบลนาจอมเทียน อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ ๔ ไร่ ๑ งานซึ่งกำนันเป๊าะครอบครอง ต่อจาก นายสุรชัย สุขนิรันดร์ โดยมีนายตำรวจระดับ นายพล หมายตาจะจับจอง เพื่อเป็นเจ้าของเช่นกัน คือการลูบคมหักเหลี่ยมโหด
การที่เสี่ยเก๊า มือขวาของกำนันเป๊าะ ถูกฆ่าทำให้เขาเสียใจมาก เพราะเหมือถูกตัดขาตัดแขน ผู้รักษาผลประโยชน์ ที่กำนันเป๊าะมอบหมายให้ดูแล เช่น กิจการเอเย่นต์สุราต่างประเทศ หัวคะแนนในพื้นที่ และกิจการด้านอื่น ๆ อีกหลายอย่างด้วยกัน
จากการล่าสังหารเสี่ยเก๊า เหมือนเป็นการหักเหลี่ยมลูบคมกำนันเป๊าะ เจ้าพ่อฝั่งทะเลตะวันออก จึงเกิดข่าวลือแพร่ สะพัดว่าเมื่อลิดกิ่งได้แล้ว ที่จะหักโค่นลำต้นต่อไปให้ล้มครืนลง เหยื่อรายต่อไป คือการเด็ดหัวกำนันเป๊าะ เพื่อเป็นการฆ่าล้างบางปิดฉากการเป็นจอมอิทธิพลของเขา แต่สิงห์เจ้าถ้ำ จอมลายครามอย่างกำนันเป๊าะ ผู้ยืนผงาดอย่างสิงห์ลำพอง มีหรือจะยอมสิ้นลาย ให้มันผู้ใดมาหักเหลี่ยม เฉือนคมได้โดยง่าย กระแสข่าวที่แพร่ออกมานั้น แว่วเข้าหูของเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะความกว้างขวาง ในวงการนักเลง ตลอดจน ข้าราชการที่เป็นหูเป็นตาราวกับตาสับปะรด
ซ้อนแผนล้างบางคู่อริ
แผนสังหารกำนันเป๊าะ ของคู่อริ จึงเป็นที่ล่วงรู้ของเขา ทำให้ระมัดระวังตัวมากขึ้น และงดแผนการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการบางอย่าง ซึ่งในโอกาสเดียวกัน ก็ดำเนินการแบบแผนซ้อนแผน นั่นคือ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๗ เขาสะกิดให้ตำรวจ ตรวจค้นสำนักงาน บริษัท เอ.ซีซีเคียวริตี้การ์ด กรุ๊ป จำกัด ที่ตั้งอยู่หมู่ที่ ๖ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี อันเป็นสำนักงานของ จ.ส.ต.สมัย หรือ เอก วงศ์ไชย ผู้ต้องหา ที่ติดต่อจ้างวานให้ฆ่าเสี่ยเก๊า ผลของการตรวจค้น พบหลักฐานสำคัญ คือปืนโตกาเลฟออซซี่ ชนิดเดียวกับที่ใช้เป็นทูตมรณะ สังหารเสี่ยเก๊า ซุกซ่อนอยู่ นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังพบอาวุธสงครามชนิดอื่นซุกซ่อนอยู่เช่น ปืนเอ็ม ๗๒ สำหรับยิงรถถัง ปืนอาก้า เอ็ม ๖๗ ระเบิดลูกเกลี้ยง รวมแล้ว ๓๐ กว่ารายการ เป็นคลังอาวุธย่อยๆ ซุกซ่อนอยูในถังน้ำมันขนาดใหญ่ ที่ฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งอาวุธร้ายแรงที่ตำรวจตรวจค้นยึดได้ เป็นที่สงสัยว่า จะนำมาใช้สังหารกำนันชื่อดัง แต่เจ้าตัวสืบรู้เสยก่อน จึงแจ้งให้ตำรวจเข้าตรวจค้น และยึดไว้ได้ ก่อนจะเกิดวงจรมหาภัยในพื้นที่ ถ้ำสิงห์แดนเสือ เมืองชลบุรี อาณาจักรมือปืน และผู้มีอิทธิพล ฝั่งทะเลตะวันออกในยุคนั้น ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทำหน้าที่อย่างหนัก ในการพิฆาตกัน ของกลุ่มอิทธิพลกลุ่มต่างๆ ได้สืบสวนสอบสวน เพื่อโยงใยไปสู่ คนที่ร่วมมือสังหารเสี่ยเก๊า จับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติมได้อีก คือ ส.ต.อ.วิชัย สาวงศ์นาม อดีตตำรวจนครราชสีมา ที่ถูกไล่ออกจากราชการ แล้วหันเหชีวิต มาสู่วงการมือปืนและเจ้าพ่อ และนายปราการ วงศ์ไชย น้อง ชายของ จ.ส.ต.สมัย กระนั้นก็ตาม วงจรแห่งเลือด น้ำตา ความตาย จากการฟาดฟัน ห้ำหั่น ฆ่ากันเพราะเรื่องผลประโยชน์ อันมหาศาลในพื้นที่ก็คงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยมีชีวิตของแต่ละฝ่าย เป็นเครื่องสังเวย ฆ่าทิ้งทวนเย้ยฟ้าท้าดิน
ที่เขย่าขวัญ สั่นสะเทือนสังคมอย่างรุนแรง ด้วยการฆ่ากันอย่างอุกอาจ ดักยิงถล่มกลางถนน และบุกฆ่าใน งาน งานแต่งงาน ตอนกลางวันแสกๆ อย่างเย้ยฟ้าท้าดิน เหยื่อของความโดอำมหิตเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นคนที่มีเกียรติ และมีฐานะทางสังคม อาทิ พ.ต.ท.ไชยันต์ วิชัยดิษฐ์ และกำนันยูร นายประยูร สิทธิโชค ซึ่งทางการสืบสวนสอบสวน คลายปมสังหาร ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พุ่งเป้าไปที่ กำนันเป๊าะ ขณะเดียวกัน ในแง่ของกฎหมายบ้านเมือง ก็ยังคงดำรงความศักดิ์สิทธิ์ เป็นเหตุให้กำนันเป๊าะ หรือนายสมชาย คุณปลื้มต้องเผชิญกับมรสุมชีวิต ที่โหมกระหน่ำเข้าใส่อย่างรุนแรง ในคดีทุจริตที่ดินเขาไม้แก้ว และเกี่ยวข้องกับคดี สังหารกำนันยูร นายประยูร สิทธิโชค ซึ่งก่อนศาลสถิตยุติธรรม จะพิพากษาตัดสิน กำนันเป๊าะก็กลายเป็นนกรู้ เพราะ ความที่เป็นผู้กว้างขวาง พอที่จะล่วงรู้ได้ว่า ถึงคราวต้องติดตาข่ายของขบวนการศาลสถิตยุติธรรม ทางออกของชีวิต คือเร้นกายหนีออกจากพื้นที่ เพื่อหลบหนีโทษทัณฑ์ ไปกบดานอยู่นอกราชอาณาจักรไทย แผ่นดินฝั่งทะเลตะวันออก ที่เคยระอุด้วยเลือด ความตาย และมากด้วยเ จ้าพ่อ มาเฟียอิทธิพลจึงตกอยู่ในความปรกติพักหนึ่ง หลังจากเจ้าพ่อคนสำคัญ ได้เร้นกายหลบหนีจากการพิพากษาตัดสินลงโทษของศาล
ส่วนเหล่าสมุนและมือปืน ที่เคยแวดล้อมรับใช้ เมื่อสิ้นหัวขบวนแล้ว ก็ตกอยู่ในสภาพ แตกสานซ่านเซ็น เก็บตัวเงียบ และหลบหนีกระจัดกระจาย ไปคนละทิศละทาง เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไป อำนาจในระบบ อบต. และ อบจ. เข้ามามีบทบาทในการบริหารท้องถิ่น อำนาจอิทธิพล ภายใต้หมาย และการบริหาร จึงตกอยู่ในมือของคนกลุ่มดังกล่าว แม้กระทั่งการรับเหมาในโครงการที่มีเม็ดเงินมหาศาลของท้องถิ่น ก็อยู่ในการบริหารของกลุ่มบุคคลเหล่านั้น การที่จะมีมือใหม่หัดขับ ผงาดขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อคนใหม่ เพื่อเจริญรอยต่อจากกำนันเป๊าะ ก็คงจะไม่ใช่เรื่อง ที่เป็น ได้ง่ายๆเมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไป สิ่งแวดล้อมหลายอย่างก็เปลี่ยนไปด้วย หรือว่าเรื่องของเจ้าพ่อ มือปืนฝั่งทะเลตะวันออก ที่โชกชุมด้วยเลือดและความตาย จะปิดฉากลง ตลอดกาล เหลือไว้เพียงตำนานเลือดให้กล่าวถึง
chonburivoice
หากย้อนอดีตราวปี 2510 เป็นต้นมาได้มีการเปรียบเทียบว่า "ชลบุรี"ว่าเป็น" เมืองอิทธิพลแดนเถื่อน
การฆ่ากันด้วยอาวุธสงคราม ถือเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากหาซื้อได้ง่ายยิ่งกว่าไปซื้อขนมตามร้านค้า เนื่องจากสภาพของ จ.ชลบุรี มีอาณาเขตติดต่อกับแนวชายแดนทางด้านทิศตะวันออก
อาวุธสงครามนานาชนิดทะลักเข้ามาด้วยราคาถูกแสนถูก อาทิ อาก้า เอ็ม 16 รวมทั้งลูกระเบิดมือ สนนราคาเพียง2,000-2,500 บาท ก็ได้ปืนเอ็ม16 หรืออาก้ามาครอบครองแล้ว ในย่านห่างไกลความเจริญ ตามป่าเขาลำเนาไพร โดยเฉพาะ "หลงจู๊" ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง แทบจะมีทุกหลักคาเรือน
การครองตัวเพื่อความอยู่รอดของเหล่าหลงจู๊เหล่านั้น จะต้องสร้างอิทธิพล ด้วยการเลี้ยงลูกน้องไว้คอยดูแลเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ รวมทั้งคุ้มครองป้องกันตนเอง หรือเรียกง่ายๆว่า "มือปืน" เนื่องจากผลประโยชน์อาจจะกระทบกระทั่งจากฝ่ายตรงข้ามได้ง่าย และหากขยายผลออกไปก็จะกลายเป็นความขัดแย้ง การที่จะอยู่รอดในยุทธจักรผู้มีอิทธิพลได้ จะต้องหูตากว้างไกล ประสานมิตรมากกว่าศัตรู การครองตัวต้องระมัดระวังตลอดเวลา หากพลาดเพียงก้าวเดียว ชีวิตอาจสู่ยมโลกได้อย่างง่ายดาย
หากพลิกตำนานของต้นตระกูล โหด เลว ดี จะพบว่า ส่วนใหญ่จะเกิดจากอาถรรพ์ "แร่พลวง" ซึ่งอยู่ในพื้นที่ ต.บ่อทอง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี (ในสมัยนั้น ต.บ่อทองขึ้นกับ อ.พนัสนิคม) การฆ่ากันตายคล้ายดังผักปลา เกิดจากการแย่งชิงผลประโยชน์ในพื้นที่ ต.บ่อทองกันอย่างมาก หากไม่พอใจก็ใช้อาวุธปืนยิงกันให้ดับดิ้น แล้วถีบลงหลุมแร่ ทำการฝังกลบให้เรียบร้อย
ในปี 2512 จากการตรวจสอบของกรมทรัพยากรธรณีพบว่ามีสายแร่พลวง ซึ่งเป็นสายแร่ขนาดใหญ่ มีพื้นที่ติดกันหลายจังหวัดคือ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และฉะเชิงเทรา จึงทำให้ผู้มีอิทธิพลในสมัยนั้นได้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์กันอย่างมากมาย พร้อมกับเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะๆ ชีวิตผู้คนที่ล้มหายตายจากลงเป็นจำนวนมาก
ประเดิมศพแรกคือ นายประจักษ์ สุรกิจบวร กำนันตำบลบ่อทอง อดีตพ่อค้าสังเวยด้วยคมกระสุนปืนจากการขัดแย้งผลประโยชน์ในพื้นที่แร่พลวง หลังจากนั้นได้มีนายกวย พันธุ์สนิท นายสุชาติ สุขพันธุ์ถาวร หรือผู้ใหญ่ย้ง ได้เข้ามากว้านซื้อที่ดินในพื้นที่ ต.บ่อทอง เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากแร่พลวง พร้อมกับการก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าพ่อบ่อทองของ นายเกียง จึงประเสริฐ หรือหลงจู๊เกียง ซึ่งทำธุรกิจจำนวนมากมาย ทั้งโรงสี โรงเรื่อย ในขณะนั้นมีความสนิทสนมกับจอมพลประภาส จารุเสถียร การสร้างอิทธิพลจึงทำได้ง่าย ประกอบกับในสมัยนั้นจะเป็นเจ้าพ่อหรือผู้มีอิทธิพล ต้องพึ่งบารมีทางด้านสายทหาร ถึงจะก้าวมาเป็นใหญ่ได้
ช่วงนั้น เสี่ยจิว หรือ นายจุมพล สุขภารังษี คนดังในตัวเมืองชลบุรี ได้เริ่มเข้าไปมีบทบาทในการทำเหมืองแร่พลวง และเริ่มกว้างซื้อที่ดินด้วยเช่นกัน โดยมีนายปาน บุตรชายเสี่ยจิวเข้าไปคุมกิจการ พร้อมกับมีเรื่องระหองระแหงในกลุ่มของหลงจู๊เกียงมาตลอด จนถึงขั้นต้องเคลียร์กัน หลงจู๊เกียงจึงหลีกทางให้ เพื่อความสงบสุขในพื้นที่ ต.บ่อทอง
ต่อมาไม่นาน หลงจู๊เกียง ไม่สามารถเบ่งบารมีได้เต็มที่ เนื่องจากประสบอุบัติเหตุ ขณะขับรถเบ็นซ์มาตามถนนสายเก่าชลบุรี-กรุงเทพฯ ช่วงบางปู เพื่อกลับ จ.ชลบุรีคนขับหลับใน โดยหลงจู๊เกียงได้นั่งด้านหน้าซ้ายพุ่งชนรถจี๊บ 6 ล้อที่จอดอยู่ข้างทาง เสียชีวิตที่โรงพยาบาล และทิ้งทายาทไว้ 2 คนคือ นายประเสริฐ จึงประเสริฐ และนายนคร จึงประเสริฐ
หลังจากนั้นนายนคร ได้ลาออกจากปลัดอำเภอแม่ฮ่องสอน แล้วลงมาดูแลกิจการของพ่อเกือบทั้งหมด และได้แรงสนับสนุนจากกลุ่มมือปืนในซุ้มป่าแดง และทุ่งเหียง ในการสร้างอำนาจบารมี พร้อมทั้งจับมือกับนายสุชาติ สุขพันธุ์ถาวร นายเฉลิมชัย เจริญสุข หรือเอี๊ยก นายแสวง จันทรวงษ์ หรือเสือแหวง สานต่อการทำแร่พลวง ด้วยการเร่งของสัมปทานกับกลุ่มประชาชนในพื้นที่ ด้วยการขอตั้งเป็นบริษัทสหบ่อทองพัฒนา จำกัด
แล้วเหตุการณ์ไม่คาดขวัญก็เกิดเมื่อ ปลัดนคร ได้เดินทางมาติดต่อราชการที่ศาลากลางจังหวัดชลบุรี ขณะนั้น นายสมพร ธนสถิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กำลังประชุมรักษาความสงบเรียบร้อยของจังหวัด ช่วงใกล้เที่ยงปลัดนครเดินมาที่หลังศาลากลางจังหวัดชลบุรี ได้มีคนร้ายเข้าประกบประชิดตัว พร้อมทั้งใช้อาวุธปืนยิงเข้าใต้ตาซ้ายล้มทั้งยืน เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที พร้อมทั้งข่าวคราวแพร่กระจายถึงความโหดเหี้ยมของมือปืน ที่ลงมืออุกอาจทั้งที่เป็นสถานที่ราชการ กระแสข่าวระบุว่า ชัยดำ มีส่วนรู้เห็นในการลงมือของคนร้ายในครั้งนี้ จึงทำให้ คนในตระกูลจึงประเสริฐขัดแย้งกับเสี่ยจิวอย่างรุนแรง ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของกลุ่มมือปืนในซุ้มป่าแดง ที่ต้องการล้างแค้นให้กับลูกพี่ก็กระพือความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
หลังจากการเสียชีวิตของปลัดนคร กระแสการแย่งชิงพื้นที่ เพื่อเข้าไปทำผลประโยชน์เกี่ยวกับแร่พลวงก็ระอุขึ้นอีก มีการยิงกันตายเป็นว่าเล่นระหว่าง 2 กลุ่มที่มีความขัดแย้ง สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านอย่างมากมาย หลังจากนั้นนายประเสริฐ จึงประเสริฐ ได้ถูกมือปืนดังถล่มกลางดึกที่บริเวณหน้าศูนย์การค้าการุณย์นิเวศ ต.ห้วยกะปิ อ.เมืองชลบุรี ขณะกลับจากการเที่ยวบาร์โรมิโอ ในช่วง 100วันของศพปลัดนคร พร้อมกระแสข่าว ชัยขาว และ ชัยดำ เป็นผู้รู้เห็นเช่นเดิม
ทางด้านตัวเมืองชลบุรีก็เริ่มมีความรุนแรงในเรื่องการขัดแย้งในผลประโยชน์ คดีเขย่าขวัญคนเมืองชลจึงเริ่มขึ้น เมื่อนายเจตน์ ศรีรุ่งสุขจินดา หรือเสี่ยง้ำ หัวคะแนนใหญ่ของ พล.ต.ศิริ สิริโยธิน ถูกกลุ่มคนร้ายถล่มด้วยอาวุธนานาชนิดทั้ง อาก้า เอ็ม16 ขณะนั่งนักรับโทรศัพท์อยู่ที่คิวรถคอนซูล (ซึ่งเป็นรถเก๋งวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-ชลบุรี) ในเขตตัวเมืองชลบุรี โดยขาดสมุนคู่ใจดูแล เนื่องจากไปเที่ยวงานประจำปีที่วัดเนินสุทธาวาสพรุนไปทั้งร่างเสียชีวิตคาที ส่วนนายเต็กเซ็ง แซ่จึง พ่อตาเสี่ยง้ำขาขาด ท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งเมืองชล
หลังจากนั้น พ.ต.ต.อนันต์ เสนาขันธ์ เจ้าของหนังสือพิมพ์ "ชนวน" ได้เดินทางมาอภิปรายเพื่อแฉอิทธิพลใน จ.ชลบุรี รวมทั้งการทุจริตคอรัปชั่นครั้งแรกที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี ส่งผลให้ถูกกลุ่มต่อต้านรุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ แต่ พ.ต.ต.อนันต์ ไม่ย่อท้อพยายามเปิดการอภิปรายอีกครั้งที่เทศบาลเมืองชลบุรี ไม่ประสบผลสำเร็จเช่นเคย โดน "อึ" ขว้างจึงได้ล้มเลิกการอภิปรายไป
ย้อนเข้าเขตพื้นที่บ่อทอง การลักลอบขุดแร่เถื่อนเริ่มมีการขยายตัว พร้อมทั้งสร้างอิทธิพลมีการเข่นฆ่ากันตายเป็นเบือ หลังจากนั้นทางกรมทรัพยากรธรณี จึงได้เปิดโอกาสให้ประชาชนยื่นขอสัมปทานเหมืองแร่ มีผู้สนใจเข้าร่วมประมาณ 29 ราย อาทิ บริษัทเขาชะอางค์ช่วยคนยาก จำกัด ของ นางชุติมาวรรณ ภรรยาของนายทรงชัย เบญจศิริวรรณ หรือเท่งซ้ง เจ้าพ่อวงการค้าไม้ (ต่อมาถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตที่เวทีมวยราชดำเนิน) บริษัทเหมืองชล จำกัด ของนายประโยชน์ เนื่องจำนงค์ คนดังบ้านบึง (อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม) นอกจากนี้ทางด้านประชาชนในบ่อทอง เริ่มเรียกร้องพร้อมทั้งเดินขบวนให้ทางภาครัฐ อนุมัติให้บริษัท สหบ่อทองพัฒนา จำกัด ได้รับการอนุมัติสัมปทาน แต่นายสมหวัง จูตะกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีในสมัยนั้นได้มาระงับเหตุ พร้อมทั้งสลายตัวการชุมนุมของประชาชนได้ แต่ปัญหาการลักลอบขุนแร่พลวงก็ทวีความรุนแรง ในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ จึงได้ให้ พลตรีสุดสาย หัสดิน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการอนุญาโตตุลาการพิจารณากรณีข้อพิพาทเหมืองแร่ทั่วประเทศ เดินทางมาที่กิ่ง อ.บ่อทอง ช่วงนั้นนายประกิต อุตตะโมต เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี
พลตรีสุดสายได้พยายามตีสนิทกับคณะกรรมการบริหารของ บริษัท สหบ่อทองพัฒนา จำกัด พร้อมทั้งพักพิงที่บ้านของผู้ใหญ่ย้ง หรือนายสุชาติ สุขพันธุ์ถาวร ในที่สุดผลการพิจารณา บริษัท สหบ่อทองพัฒนา จำกัด เป็นผู้รับสัมปทาน สำหรับผู้บริหารประกอบไปด้วย นายสุชาติ สุขพันธุ์ถาวร กรรมการผู้จัดการ นายเฉลิมชัย เจริญสุข (ผู้ใหญ่เอี๊ยก) กำนันหลี ประสมทรัพย์ นายประสิทธิ์ กาญจนบัตร นายเชาว์ บุญรอด ผลการประกอบการปรากฏว่าประสบความล้มเหลว เพราะต่างฝ่ายต่างกอบโกยผลประโยชน์ให้กับตนเอง
แววแห่งการนองเลือดเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีการลักลอบค้าแร่พลวงเถื่อนเกิดขึ้น ทำให้คณะกรรมการของบริษัท สหบ่อทองพัฒนา จำกัด เริ่มเกิดรอยร้าว ส่งผลให้ นายเฉลิมชัย เจริญสุข (ผู้ใหญ่เอี๊ยก) ถูกลุ่มคนร้ายถล่มด้วยอาวุธนานาชนิดที่บริเวณถนนทางเข้ากิ่ง อ.บ่อทองในสมัยนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องหนีไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ทำให้มือปืนเริ่มมีความเคลื่อนไหวใน กิ่ง อ.บ่อทองกันอย่างคึกคัก ทางกองบังคับการตำรวจภูธรเขต 2ต้องส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจลงมาระงับเหตุ พร้อมทั้งตรวจค้นยึดอาวุธและกระสุนได้จำนวนมากมาย
หลังจากนั้นเสี่ยจิว หรือนายจุมพล สุขภารังษี ได้เริ่มเข้าไปมีบทบาท โดยประสานงานกับนายสุชาติ สุขพันธุ์ถาวร เพื่อเตรียมยื่นเรื่องขอสัมปทานบัตรต่อจาก บริษัท สหบ่อทองพัฒนา จำกัด ซึ่งกำลังจะหมดอายุ และยืดอายุสัมปทานการทำเหมืองแร่ โดยมี นายเฉลิมชัย เจริญสุข นายเชาว์ บุญรอด นายประสิทธิ์ กาญจนบัตร และนายบรรทม เจริญสุข ช่วยกันประสานงานจนประสบความสำเร็จในการต่อสัมปทานในราคา 10 ล้านบาท
ต่อมา นายเชาว์ บุญรอด ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตที่หน้าบริษัท สหบ่อทองพัฒนา จำกัด หลังจากนั้นมาไม่นาน นายประสิทธิ์ กาญจนบัตร ขณะนั้นได้สัมปทานจำหน่ายสุราในพื้นที่ อ.พนัสนิคม ได้พยายามประกาศตัวเพื่อลงสมัคร ส.ส. ปรากฏว่าถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตไปอีก ท่ามกลางความไม่พอใจของเสี่ยจิว
นายบรรทม เจริญสุข ถูกคนร้ายยิงได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน
ทางด้านนายสุชาติ สุขพันธุ์ถาวร ในช่วงปี 2524 ก่อนทำบุญขึ้นบ้านใหม่ 7 วัน ได้ถูกคนร้ายยิงด้วยอาวุธสงครามถนนสายบ่อทอง-หนองเกตุ แต่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมมาด้วยจึงปลอดภัย และในปีเดียวกันนั้นเองช่วงปลายปี กลุ่มคนร้ายประมาณ10 คน ใช้รถบรรทุกพาหนะพร้อมอาวุธสงครามครบมือทั้ง ปืนเอ็ม 16 อาก้า จรวจต่อสู้รถถัง รวมทั้งปืนเอ็ม 79 บุกห้างหุ้นส่วนเจริญวัฒนา เอเย่นต์สุราและเบียร์ เลขที่ 460/19 ตลาดกิ่ง อ.บ่อทอง ขณะที่กำนันย้งกำลังทำงานที่โต๊ะบัญชี กลุ่มคนร้ายได้ยิงจรวดตู่สู้รถถังใส่โต๊ะบัญชี เผอิญกำนันย้งได้ทำบังเกอร์หลบภัยไว้ใต้โต๊ะ จึงรอดจากอาวุธสงครามนานาชนิดที่ยิงถล่ม และในปี 2531 ถูกคนร้ายดักยิงด้วยอาวุธสงครามขณะเปิดประตูบ้าน เสียลูกอัณฑะไป 1 ข้าง
ย้อนกลับมาใน อ.เมืองชลบุรี ได้เกิดเหตุการณ์ช็อกความรู้สึกของคนทั้ง จ.ชลบุรี เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 25มิถุนายน 2524เมื่อกลุ่มมือปืนใช้อาวุธสงครามนานาชนิดถล่ม นายจุมพล สุขภารังษี เสียชีวิตในรถเบ็นซ์สีเขียว280 เอส หมายเลขทะเบียน8888 ชลบุรี ขณะกลับจากดูที่ดินบริเวณถนนบายพาส ต.หนองไม้แดง อ.เมืองชลบุรี เพื่อสร้างศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ เพื่อรองรับนักการเมืองทั่วประเทศ พร้อมกับนายเฉลิม ฉันทภักดี คนขับ นายสมศักดิ์ มิตรเกตุ คนสนิท ที่ถนนสายบายพาส ขณะจะเดินทางกลับบ้านพัก โดยตำรวจมุ่งประเด็นการค้าแร่พลวง และการขัดแย้งการค้าหมูเถื่อนใน อ.เมืองชลบุรี ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการการแย้งกันอย่างรุนแรงทำให้เจ้าของเขียงหมู รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องถูกยิงกันแทบไม่เว้นสัปดาห์
พร้อมทั้งการประกาศล้างแค้นของนายปาน บุตรชาย
หลังจากนั้นความโดดเด่นของกำนันเป๊าะ และเสี่ยฮวด นักธุรกิจชื่อดังใน อ.บ้านบึง เริ่มแข่งรัศมี เพื่อจะก้าวมาเป็นผู้มีอิทธิพลใน จ.ชลบุรี
19 กุมภาพันธ์ 2527 นายปาน สุขภารังษี ได้ขับรถเบ็นซ์คันที่เสี่ยจิวถูกยิงเสียชีวิตมุ่งหน้าไปทางพัทยา ถูกคนร้ายใช้อาวุธนานาชนิดปะกบยิงจนนายปานเสียชีวิต ส่วนนางปัทมา ภรรยาและลูกๆได้รับบาดเจ็บสาหัส
สภาพของเมืองชลบุรีชลบุรีคล้ายกับว่าสงบนิ่ง แต่ว่าสถานการณ์ภายในกลับเริ่มทวีความรุนแรง เนื่องจากเสี่ยฮวดเริ่มเข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจ พร้อมทั้งมีการขัดแย้งตลอดเวลา จึงทำให้เสี่ยฮวดรู้ตัวว่ามีคนจะลอบทำร้าย จึงได้ระวังตัวตลอดเวลา แต่แล้วก็ไปไม่รอด
ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนจ้า วันที่ 5 เมษายน 2532 ช่วงเทศกาลเช็งเม้ง เสียงปืนนานาชนิดแผดเสียงขึ้นนับไม่ถ้วนจากมือปืนล่าสังหารนับสิบคนที่รายล้อมรถเบ็นซ์สีครีม รุ่น 300 อี ทะเบียน 8ฉ-1034 กทม. ที่บริเวณถนนสายเศรษฐกิจ (ชลบุรี-บ้านบึง) กม.ที่ 3 ต.หนองรี อ.เมือง จ.ชลบุรี
ภายหลังจากเสียงปืนสงบ กลิ่นควันปืนจางหาย ภายในรถพบร่างของนายพิพัฒน์ โรจนวนิชชากร หรือเสี่ยฮวด อายุ 50 ปี คนดัง อ.บ้านบึง และเป็นผู้กว้างขวางในภาคตะวันออก ซึ่งกุมธุรกิจนับพันล้านในขณะนั้น ถูกกระสุนปืนเข้าที่บริเวณลำตัว และใบหน้าหลายแห่ง นอนเสียชีวิตภายในที่นั่งหลังรถด้านซ้ายพร้อมกับ ร.ต.อ.อุทัย ปักษานนท์ อายุ 37 ปี รอง สว.สภ.อ.ปลวดแดง จ.ระยอง นายตำรวจคุ้มกัน และนายธงชัย หรือไฮ้ คนขับรถ ขณะกลับจากคาราวะสุสานบรรพบุรุษ ที่สุสานหงษ์ซัว ต.หนองรี อ.เมืองชลบุรี
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจพบปลอกกระสุนปืนอาก้า และปืนเอ็ม 16 จำนวนกว่า 50 นัดตกในที่เกิดเหตุ สร้างความตกตะลึงให้กับวงการนักเลง เนื่องจากเสี่ยฮวดได้พยายามไต่เต้าขึ้นมาดำรงตำแหน่ง เจ้าพ่อภาคตะวันออกในขณะเกิดช่องว่าง ขาดผู้นำทางวงการนักเลง
ในสมัยนั้น พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ ตั้งทีมสอบสวนเฉพาะกิจขึ้นเพื่อคลีคลายคดี ซึ่งประกอบไปด้วย พล.ต.ต.ธรรมนิตย์ ปิตะนีละบุตร ผกก.ภ.2 พ.ต.อ.พงศ์สันต์ วัชราธร ผกก.ชลบุรี พ.ต.ท.ราเมศร์ สุริยะโชติ สวญ.สภ.อ.ชลบุรี และ พ.ต.อ.มนตรี ผดุงสิทธิ์ ผกก.4 ป.
ในชั้นสอบสวนเบื้องต้นพบว่า เสี่ยฮวด เคยเป็นนายทุนในการทำแร่พลวง ที่ อ.บ่อทอง การประมูลซื้อขายที่ดินในพื้นที่ภาคตะวันออกหลายสิบล้านบาท รวมทั้งการกว้านซื้อที่ดินทำให้ขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จ.ชลบุรี จุดสำคัญคือโครงการสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่ "ศรีราชาคอมเพล็กซ์" ปัจจุบันคือ ศูนย์การค้าโรบินสัน ศรีราชา และการขัดแย้งกับนายตำรวจในขณะนั้น
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกขอหมายจับ นายปรีชา สถาวร หรือแดง สิงห์ป่าซุง และนายเอนก หรือเด๋อ ไม่ทราบนามสกุล หลังจากนั้นจึงเข้ามอบตัวที่กองบัญชาการศึกษา ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ พร้อมทั้งขอสู้คดีว่าไม่ได้ร่วมสังหารเสี่ยฮวด แต่มีการซัดทอดว่า ในการวางแผนสังหารนั้นมีนายตำรวจร่วมอยู่ด้วย
หลังจากนั้นจึงมีหมายจับของตำรวจ 10 คน ประกอบไปด้วย ร.ต.อ.ไชยันต์ วิชัยดิษฐ หน.นปพ.กก.ภ.ชลบุรี ร.ต.อ.จักรกริช ทรงศิริ หน.สภ.ต.บ้านขอด อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ส.ต.ต.สมยศ ชุ่มเต ส.ต.ต.สุพจน์ วงศ์จำปา ส.ต.ต.เอก ธนะธีระพงษ์ นายสุพจน์ ธนาวรรณ นายดำ อ่างศิลา นายยุทธ บางแสน นายห้าง และไม่ทราบชื่ออีก1 คน นอกจากนี้ยังมีสิบโทสมเกียรติ หรือโน้ต น้อยเล็ก ถูกตั้งข้อหาร่วมลงมือสังหารเสี่ยฮวดด้วย ซึ่งต่อมาถูกลวงไปฆ่าทิ้งที่ จ.สระบุรี
โดยมีการระบุในการสอบสวนว่า ร.ต.อ.ไชยันต์ ทำหน้าที่ดูต้นทางที่สุสานหงษ์ซัว ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆได้มีการตระเตรียมในเรื่องอาวุธพร้อมทั้งลงมือสังหาร
ซึ่งต่อมาอัยการจังหวัดชลบุรีได้ส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด 7 คน แต่ศาลชั้นต้นได้มีการยกฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด โดยไม่มีการอุทธรณ์แต่อย่างใด สร้างความฮือฮาในหมู่นักเลงเป็นอย่างมาก
จึงทำให้ผู้ต้องหาทั้งหมดพ้นมลทิน ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถกลับเข้ามารับราชการ รวมทั้ง ร.ต.อ.ไชยันต ซึ่งได้ไต่ตำแหน่งในชีวิตราชการตำรวจมาจนกระทั่งได้ตำแหน่งสุดท้ายเป็น พ.ต.ท.ไชยันต์ วิชัยดิษฐ รอง ผกก.5 บก.อก.ภ.2ก่อนได้ถูกนายโยธิน สิทธิโชติ และนายเลิศชาย การะกิจ หรือผู้ใหญ่อ้นใช้ปืนขนาด 11มม.สาดเข้าประตูข้างรถจนถึงกระจกด้านหน้าทั้งหมด 5 นัด มีเพียงนัดเดียวเท่านั้นที่เจาะเข้าต้นแขนขวาทะลุปอดฝังใน ปลิดชีวิต พ.ต.ท.ไชยันต์ โดยไม่สามารถเยียวยาได้ ขณะติดตามลูกชายคือ นายฐานพัฒน วิชัยดิษฐ์ ที่ออกไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับกลุ่มวัยรุ่น ที่บริเวณถนนลงชายหาดบางแสน เยื้องกับผับเบอร์ด็อก เทศบาลเมืองแสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2545
ส่วนทางด้านแดง สิงห์ป่าซุง หรือ นายปรีชา สถาวร มือปืนระดับพระกาฬของภาคตะวันออก ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งในการฆ่าเสี่ยฮวด ก็ถูกกลุ่มคนร้ายดักยิงด้วยอาวุธสงครามพรุนทั้งร่างขณะนั่งรถกระบะโตโยต้า สีเปลือกมังคุด หมายเลขทะเบียน บ-7870 อุบลราชธานี เสียชีวิตพร้อมกับพวกอีก 2 คนคือ นายปรีชา รอดดี อายุ33 ปี นายปรีชา โชติรัตน์ ที่บริเวณถนนสายลูกรังพนัสนิคม-ทุ่งเหียง หมู่ที่ 3 ต.หมอนนาง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2533 พร้อมทิ้งศพปริศนาของนายนิคม ชาญวิทย์ธรรม สารวัตรกำนันหมอนนาง อ.พนัสนิคม ถูกฝังอยู่ที่สุสานเม่งเอ็ง หมู่ 4ต.หมอนนาง ซึ่งถูกยิงที่หน้าอกด้านซ้าย ด้วยปืนขนาด 9 มม. จำนวน2 นัด เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าอาจจะถูกกลุ่มของแดง สิงห์ป่าซุง ยิงต่อสู้แล้วเสียชีวิต หรือไม่ก็ถูกฆ่าปิดปาก
ความขัดแย้งใน จ.ชลบุรี เริ่มมีความรุนแรงอีกครั้งเมื่อกลุ่มมือปืนได้ใช้อาวุธปืนยิง นายสังคม พิณรังสฤษดิ์ สมาชิกสภาเทศบาลตำบลบ้านบึง คนสนิทของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เสียชีวิตพร้อมกับพวกอีก 2 คนคือนายชาญชัย สาคร นายบรรเจิด แววรวีวงศ์ ส่วนนายพิชัย พิรัตติกุลชัย ได้รับบาดเจ็บกลางดึกวันที่ 26 มิถุนายน2535 โดยตำรวจได้พุ่งเป้าไปที่นายสุชัย ธนาวรรณ (ชัยขาว) อดีตมือขวาของเสี่ยจิว นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านบึง ที่มีความขัดแย้งในเรื่องการเมืองท้องถิ่น
สมัยนั้น พ.ต.อ.วีระ อนันตกูล เป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรชลบุรี ได้ลั่นวาจาจะต้องคลี่คลายคดีนี้ภายใน 1 เดือน
แล้วประกาศิตก็เป็นจริง เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2535 ท่ามกลางฝนโปรยปรายลงมาบางๆ ขณะนี้นายสุชัย ธนาวรรณ ได้ขับรถเก๋งฮอนด้า พรีลูด สีบรอนซ์ตะกั่ว ทะเบียนป้ายแดง ก-9898 กทม. ขณะติดไฟแดงถนนสายเศรษฐกิจ หมู่ที่ 6 ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี กลุ่มคนร้ายได้ใช้รถกระบะสีเทาดำ โดยมือสังหารได้นั่งอยู่กระบะหลังรถได้ใช้อาวุธสงครามนานาชนิดถล่มจนศีรษะหายไปแถบหนึ่ง เสียชีวิตคารถเก๋งคันดังกล่าว
เหตุการณ์ใน จ.ชลบุรี ได้เงียบสงบมาจนกระทั่งปี 36 คนร้าย 2 คนใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะใช้ปืนโตกาแล็บดักยิงนายกำพล คุปตะวณิชย์เจริญ หรือเสี่ยเก๊า คนดังเมืองพัทยาและคนสนิทของนายสมชาย คุณปลื้ม ขณะออกกำลังในช่วงเช้าเสียชีวิต โดยตำรวจได้มุ่งประเด็นการขัดแย้งที่ดินหาดทรายทอง อ.สัตหีบ พร้อมทั้งได้จับกุมนายประมวล นาสวนไชย หรือไอ้ตาแดง ซึ่งเป็นมือขวาของจ่าสิบตำรวจสมัย วงศ์ชัย คนลงมือ และนายสมบูรณ์ มีอบ คนขี่รถจักรยานยนต์ ต่อมา จ่าสิบตำรวจสมัยได้ถูกกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธสงครามถล่มเสียชีวิตในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา หลังจากที่เดินทางมาเป็นพยานเกี่ยวกับคดีกล่าว ที่ศาลจังหวัดชลบุรี
ผ่านมาอีก 2 ปี เมื่อเช้าวันที่ 5 ตุลาคม 2538 ในช่วงที่บรรยากาศกำลังมือครึ้ม นายสุชาติ สุขพันธุ์ถาวร หรือกำนันย้ง นายกสมาคมเพื่อเกษตรกรภาคตะวันออก ได้เดินทางไปดูการประมูลงานที่บ้านทับสูง หมู่ที่ 6 ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี ด้วยรถอีซูซุกระบะแวน สีเลือดหมู หมายเลขทะเบียน ย-3486 ชลบุรีไปเพียงลำพังได้ถูกคนร้ายดักถล่มด้วยอาวุธสงครามเอ็ม 16และลูกซอง จนสิ้นใจคารถรถกระบะคันดังกล่าว พร้อมทิ้งข้อสงสัยในกรณีดับนายสุรพล พรวัฒนา เจ้าพ่อแร่พลวง ที่กำลังจะเดินทางเข้าไปทำเหมืองแร่ หลังจากถูกปล่อยทิ้งไว้นาน ถูกยิงเสียชีวิตในตลาดบ่อทอง พร้อมด้วยลูกน้องคนสนิท และเด็กกระเป๋ารถรวมทั้งสิ้น 4 คน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เจ้าพ่อบ่อทอง ถูกยิงเสียชีวิต
วันที่ 13 กันยายน 2544 ได้มีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 4 คน ใช้รถเก๋งสีดำ ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนและยี่ห้อ มาจอดที่บริเวณหน้าบ้านฟาร์มกุ้ง 1/4 ซอย 2 หมู่ที่ 3 ถ.เทศบาลพัฒนา ต.เหมือง อ.เมือง จ.ชลบุรี หลังจากนั้นคนร้าย 2คน ได้เดินลงจากรถ โดยมีคนร้ายถือปืนเอ็ม 16 ยืนคุ้มกัน 1 คน ส่วนอีกคนหนึ่งได้เดินมาหานายนุช บุญทนาวงศ์ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2ต.เหมือง อ.เมือง จ.ชลบุรี 1 ใน 10ผู้มีอิทธิพลที่กระทรวงมหาดไทยขนานนามให้ คนขับรถของนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ ซึ่งกำลังนั่งดื่มสุรากับเพื่อนบ้านที่บริเวณโต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านหลังดังกล่าว พร้อมใช้อาวุธปืน 11มม.ยิงเข้าที่บริเวณท้ายทอยทะลุหน้าผาก 1 นัด และบริเวณหน้าอก 2 นัด และตามลำตัวอีก 3 นัด ล้มคว่ำเสียชีวิตทันที หลังจากนั้นคนร้ายได้หลบหนีไป ปัจจุบันยังหาตัวคนร้ายไม่ได้
นายวิสุทธิ์ ทองระอา หรือ ทิศแอ๋ คนสนิทของกำนันเป๊าะ เสียชีวิตด้วยมะเร็งในลำไส้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2547
นี่คือเส้นทางคนดังในพื้นที่ จ.ชลบุรี หรือที่มีผู้ขนานนามว่า "ผู้มีอิทธิพล"
29 พ.ย.2554 แนวหน้า
ศาลสั่งปรับลูกสาวกำนันเป๊าะ 15 ล้าน ในฐานะนายประกัน ไม่พาพ่อมาฟังคำพิพากษา
ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีจ้างวานฆ่า ที่อัยการฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทก์ฟ้องนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ อายุ 73 ปี อดีตนายกเทศมนตรี ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี และนายภาสกร หอมหวลหรือ สท.เหี่ยว อายุ 44 ปี สมาชิสภาเทศบาลเมืองแสนสุข ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการใช้ จ้าง วาน ให้ฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 8ก.ค.46 ระบุความผิดสรุปว่า
เมื่อระหว่างเดือน ต.ค.– 9 มี.ค.46 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกัน ใช้จ้างวานให้ นายธนาวุฒิ หรือติ เกิดเกียรติกุล กับพวก ฆ่านายประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูร กำนัน ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ในราคาล้านบาท โดย นายธนาวุฒิ กับพวก ตกลงรับจะไปฆ่า นายประยูร และได้วางแผนดักฆ่าหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนเมื่อวันที่ มี.ค.46 นายประยูร ได้ถูกคนร้ายที่ยังไม่ปรากฏชัดว่าเป็นใคร ยิงเสียชีวิต ต่อมาวันที่17 และ 24 เม.ย.46จำเลยที่ 1-2 ได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งให้การปฏิเสธ เหตุเกิดที่ ต.แสนสุข – ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี และที่อื่นเกี่ยวกันพัน
คดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.47 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 25 ปี โดยให้นับโทษจำเลยที่ ต่อจากโทษคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินสาธารณะ ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี เพื่อสร้างบ่อกำจัดขยะอีก ปี เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ไว้ 30 ปี เดือน
ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง อ้างว่า ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องและไม่เคยมีเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อน อีกทั้งกลุ่มมือปืนซึ่งเป็นพยานโจทก์ ยังถูกตำรวจกองปราบปรามทำร้ายร่างกายเพื่อให้การปรักปรำจำเลยที่เนื่องจาก พล.ต.ต.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบช.ก.(ขณะนั้น) ต้องการสร้างชื่อเสียง เพื่อให้ได้รับแต่งตั้งเป็น ผบช.ก. กระทั่งวันที่12 ต.ค.48 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืน จำเลยทั้งสองยื่นฎีกา ขอให้ศาลฎีกา พิพากษายกฟ้องด้วย
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลา น.ส.จิราภรณ์ คุณปลื้ม บุตรสาว ในฐานะนายประกันของนายสมชาย จำเลยที่ ได้ยื่นคำร้องพร้อมแสดงใบรับรองแพทย์ รพ.พญาไท ระหว่างวันที่ 22 ก.พ.–21 มี.ค.49 รวม ฉบับว่า จำเลยที่ มีอาการป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดเลือดตีบ ต้องพักรักษาอาการไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ จึงขอเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปก่อน ส่วนนางบังอร หอมหวล นายประกัน และเป็นภรรยาของ นายภาสกร จำเลยที่ ได้ยื่นคำร้องพร้อมแสดงหนังสือคำสั่งราชการให้ นายภาสกร จำเลยที่ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองแสนสุข ให้ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่ จ.ปทุมธานี ระหว่างวันที่ 25 พ.ย.-ธ.ค. นี้ จึงไม่อาจเดินทางมาศาลได้
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีของนายสมชาย จำเลยที่ นั้น มีใบรับรองแพทย์มาแสดงเพียง ฉบับเมื่อ ปี 49 เท่านั้นและก็ไม่มีในรายงานว่า จำเลยที่มีอาการป่วยร้ายแรงมากน้อย แน่ชัดเพียงใดหรือไม่อย่างไร นายประกัน มีหน้าที่ต้องพาจำเลยที่ มาฟังคำพิพากษาตามที่ศาลนัด แต่เมื่อไม่สามารถพามาได้ การกระทำดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นผิดสัญญาประกัน จึงมีคำสั่งให้ปรับนายประกันเต็มตามจำนวน
ส่วนกรณีของจำเลยที่ มีหนังสือราชการของเทศบาลเมืองแสนสุขลงวันที่ 24 พ.ย. มาแสดงประกอบ น่าเชื่อว่า จำเลยที่ ไม่สามารถเดินทางมาศาลได้จริง เห็นสมควรเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นวันที่ 24 ม.ค. ศกหน้า เวลา09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ น.ส.จิราภรณ์ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นพันธบัตร เงินสด โฉนดที่ ดิน มูลค่า 15 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราว นายสมชาย ระหว่างฎีกา โดยทั้งนี้ เมื่อวันที่เม.ย.49 ศาลจังหวัดชลบุรีได้นัด นายสมชาย ให้มาฟังคำพิพากษา ศาลฎีกาคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินสาธารณะทำบ่อขยะที่ ต.เขาไม้แก้ว อ.เมืองชลบุรี จำนวน 140 ไร่ ราคา93.52 ล้านบาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค พิพากษายืนให้จำคุก นายสมชายเป็นเวลา 5 ปี 4เดือน แต่ นายสมชาย ไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลจังหวัดชลบุรีเชื่อว่า นายสมชาย มีพฤติการณ์หลบหนี จึงให้ออกหมายจับ ปรับนายประกันไปแล้ว
24 มกราคม 2555
ออกหมายจับ กำนันเป๊าะ-ส.ท.เหี่ยว ให้มาฟังคำตัดสินคดีจ้างวานฆ่ากำนันยูร นัดอ่านคำพิพากษา วันที่ 12 มี.ค.55 เวลา 09.00 น. 
ที่ห้องพิจารณา 801 ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 24 ม.ค. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ อายุ 73 ปี อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี และ นายภาสกร หอมหวล หรือ ส.ท.เหี่ยว อายุ 44 ปี สมาชิกสภาเทศบาลเมืองแสนสุข ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการใช้ จ้างวาน ให้ฆ่าผู้อื่น โดยไตร่ตรองไว้ก่อน

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่าง ต.ค. 45-9 มี.ค. 46 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันใช้จ้างวานนายธนาวุฒิ หรือติ เกิดเกียรติกุล กับพวกฆ่านายประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูร กำนันตำบลเสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี โดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ในราคา 3 ล้านบาท โดยนายธนาวุฒิ กับพวกตกลงรับจะไปฆ่านายประยูรและได้วางแผนดักฆ่าหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ กระทั่งวันที่ 9 มี.ค.46 นายประยูรถูกคนร้ายที่ยังไม่ปรากฏชัดว่าเป็นใคร ยิงเสียชีวิต ต่อมาวันที่ 17 และ 24 เม.ย. 46 จำเลยที่ 1-2 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน พร้อมให้การปฏิเสธ เหตุเกิดที่ ต.แสนสุข และ ต.เสม็ด อ.เมือง จ.ชลบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน
 

คดีนี้ศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.47 ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 25 ปี โดยให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษคดีหมายเลขแดงที่ 843/48 ของศาลจังหวัดชลบุรี ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินสาธารณะ ต.เขาไม้แก้ว จ.ชลบุรี เพื่อสร้างบ่อกำจัดขยะอีก 5 ปี 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 30 ปี 4 เดือน ต่อมาวันที่ 12 ต.ค. 48 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองยื่นฎีกา แต่เมื่อถึงเวลานัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันนี้ ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้ไปศาลตามที่นัดหมายแต่อย่างใด โดยไม่มีการมอบหมายให้บุคคลใดมาแถลงศาลถึงสาเหตุที่ไม่มาตามนัด
 

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1-2 ทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ไม่มาศาล โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง พฤติการณ์มีเหตุอันเชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะหลบหนี จึงให้ออกหมายจับจำเลยทั้งสองคนมาเพื่อฟังคำพิพากษา นัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 12 มี.ค. 55 เวลา 09.00 น. และสั่งปรับนายประกันของจำเลยทั้งสองคนที่ไม่สามารถส่งตัวจำเลยทั้งสองได้ตามนัด

Credit : กระปุกดอทคอม,Youtube.com,dsiacademy.go.th

 


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ครอบครัวข่าว 3

เรียบเรียง : Ruengdd.com