เกาะกระแสร้อน 10 ข่าวเด่นการเมืองไทย ปี 2555
ย้อนกลับไปในแวดวงการเมืองตั้งแต่ต้นปียันปลายปี ต้องบอกว่า ปี 2555 นี้ อุณหภูมิของแวดวงการเมืองปีนี้ร้อนระอุมากกว่าทุกปี โดยประเด็นส่วนใหญ่ยังคงเป็นการงัดข้อกันระหว่าง "ฝ่ายรัฐบาล" และ "ฝ่ายค้าน" ซึ่งก็มีเรื่องราวมากมายที่เป็นกระแสร้อนให้คอการเมืองได้ติดตามกันยาว ๆ ลองไปดูกันว่า ข่าวการเมืองเรื่องไหนที่จัดให้อยู่ใน 10 เรื่องเด่นของข่าวการเมืองแห่งปี 2555 กันบ้าง
เปิดมาต้นปีก็มีประเด็นร้อนให้วิจารณ์กันแซดเสียแล้ว เมื่อในเดือนกุมภาพันธ์ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ได้บังเอิญไปพบ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่ชั้น 7 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ซึ่งเมื่อสอบถามก็ไม่มีใครบอกได้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ มาทำภารกิจอะไรทราบเพียงแต่เป็นภารกิจ "ว.5" ซึ่งเป็นรหัสทางวิทยุสื่อสารที่หมายถึง "ความลับ", "ไม่สามารถแจ้งได้" แต่มีคนตาดีเห็นนักธุรกิจชื่อดังหลายคนเข้าประชุมกับนายกรัฐมนตรีด้วย ทำให้หลายคนวิจารณ์ว่า การพูดคุยครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของบริษัทในตระกูลชินวัตรหรือไม่ แต่ก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี
ทำเอาป่วนไปทั้งสภาฯ เลยทีเดียว เพราะในขณะที่บรรดา ส.ส. ผู้ทรงเกียรติกำลังพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 18 เมษายนอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีภาพสาวสวยแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว ท่อนล่างเกือบเปลือย นั่งแยกขาอ้าซ่า โผล่ขึ้นกลางจอโปรเจ็คเตอร์กลางห้องประชุมรัฐสภา ทำเอา ส.ส. และนักข่าวสะดุ้งโหยง พร้อมสืบสาวหาที่มาของภาพนี้เป็นการด่วน แต่สุดท้ายก็จับมือใครดมไม่ได้
แต่ทว่าหลังจากข่าวนี้ไม่ทันซา จากนั้นไม่นานก็มีภาพของ นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ นั่งดูภาพโป๊ในโทรศัพท์มือถือหลุดออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งเจ้าตัวก็รีบปฏิเสธพัลวันว่า มีเพื่อนส่งภาพโป๊มาให้หลายภาพ จึงได้เปิดโทรศัพท์เพื่อจะลบภาพดังกล่าวออก แต่ก็มีสื่อมวลชนถ่ายภาพไว้ได้เสียก่อน พร้อมยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาพโป๊ที่ฉายขึ้นจอโปรเจ็คเตอร์แน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้รัฐสภาตกเป็นข่าวฉาวอยู่หลายวัน
เปิดประเด็นพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เมื่อไหร่เป็นจอดไม่ต้องแจว โดยปีที่ผ่านมา ส.ส.พรรคเพื่อไทย พยายามผลักดันเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นในปลายเดือนพฤษภาคม เมื่อ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ไม่พอใจการทำหน้าที่ประธานสภาฯ ของ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ พากันลุกจากเก้าอี้ขึ้นไปล้อมประธานสภาฯ ถึงบนบัลลังก์ และยังปาแฟ้มใส่ประธานสภาฯ ด้วย ขณะที่ นางสาวรังสิมา รอดรัศมี ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ก็เข้ามากระชากเก้าอี้ของประธานสภาฯ ออกจากบัลลังก์ ทำเอาวุ่นวายไปเกือบชั่วโมง แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็จบลงในเวลาไม่นาน ก่อนที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จะออกมาแฉคลิปวุ่น ๆ ที่ถ่ายไว้ขณะเกิดเหตุป่วนขึ้น ทำเอาคนวิจารณ์เหตุการณ์ป่วนสภาฯ กันทั่วบ้านทั่วเมือง
เพราะเข็ดขยาดกับอุทกภัยใหญ่เมื่อปี 2554 ทำให้ในปี 2555 นี้ รัฐบาลและกรุงเทพมหานครต่างกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอย เร่งหาทางป้องกันน้ำท่วมกันอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่ากรุงเทพมหานครจะรับศึกหนักเสียหน่อย เพราะปีนี้ฝนกระหน่ำกรุงอย่างหนัก พระพิรุณเทแค่ชั่วโมงเดียว ถนนในกรุงเทพฯ ก็กลายเป็นคลองไปทั้งสายเสียแล้ว ทำเอารถติดบ้าระห่ำกันทั่วบ้านทั่วเมือง
ระหว่างนั้น ก็ยังมีข่าวว่า "พายุแกมี" เตรียมถล่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไล่มาจนถึงภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร ทำให้ นายปลอดประสพ สุรัสวดี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เตรียมมาตรการรับมือเร่งด่วน พร้อมกับประกาศว่า หากประชาชนไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกจากบ้าน เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้เต็มที่ ทำเอาคนวิจารณ์ยับว่ากลัวเกินเหตุ
ขณะเดียวกันก็ยังมีประเด็นที่เจ้าหน้าที่ไปรื้อถุงทรายของ กทม. ออกจาก ถ.ศรีนครินทร์ ทำเอา กทม. กับ กบอ. งัดข้อกันอยู่นาน จนพายุแกมีผ่านพ้นไป โดยที่ไม่ได้สำแดงฤทธิ์เดชอะไรมากนัก แต่เรื่องราวถุงทรายอุดท่อกลับบานปลายหนักกว่า สุดท้าย หลังจากทั้งสองฝ่ายหันหน้ามาจับเข่าคุยกัน ก็สรุปได้ว่า การใช้ถุงทรายอุดท่อเป็นเทคนิคบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ที่ต่ำกว่าท่อจริง เป็นอีกเรื่องที่เคลียร์จบลงด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อ
ประเด็นทางเศรษฐกิจที่ฮอตฮิตที่สุดในรอบปีนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องโครงการรับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ของรัฐบาลที่เกิดข้อถกเถียงกันอย่างไม่จบสิ้น โดยฝ่ายรัฐบาลก็ยืนยันเสียงแข็งว่า โครงการจำนำข้าวนั้นสร้างประโยชน์ให้กับเกษตรกรอย่างแท้จริง แม้จะทำให้ประเทศไทยตกบัลลังก์แชมป์ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลกไป พร้อมกับยอมรับว่าเกิดการทุจริตแบบเบี้ยบ้ายรายทางไปบ้าง แต่รัฐบาลก็ยืนยันจะเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป เพราะเชื่อมั่นว่าจะช่วยให้ชาวนากระดูกสันหลังของชาติลืมตาอ้าปากได้
ขณะที่ฝ่ายค้าน ภาคเอกชน และนักวิชาการจากหลายสำนัก นำโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ต่างก็ออกมาแท็กทีมทักท้วงโครงการนี้ ไปจนถึงการฟ้องศาลปกครอง เพราะมองว่าจะทำให้ประเทศชาติ "เจ๊ง" หลายแสนล้าน และเสี่ยงจะเกิดวิกฤติหนี้เหมือนกับประเทศกรีซ เนื่องจากรัฐบาลรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าท้องตลาด ส่งผลให้ไทยส่งออกข้าวได้ลำบากขึ้น และขณะนี้ก็มีปัญหาเรื่องไม่มีโกดังเก็บข้าวในสต๊อกแล้ว อีกทั้งสุ่มเสี่ยงที่คุณภาพข้าวไทยจะตกต่ำลงในอนาคต เพราะเกษตรกรต่างเร่งปลูกข้าวเพื่อจะได้นำไปจำนำ
อย่างไรก็ตาม ภายหลังรัฐบาลก็ออกมาชี้แจงว่า ไทยได้ทำสัญญาซื้อข้าวขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี กับหลายประเทศแล้ว เพื่อระบายข้าวออกจากสต๊อก แต่เมื่อถูกซักมาก ๆ เข้า รัฐบาลกลับโบ้ยว่าไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ก่อนที่ยักษ์ใหญ่ของเอเชีย อย่าง จีน ที่รัฐบาลอ้างว่าได้ทำสัญญาจีทูจีซื้อขายข้าวกับไทยจะออกมาปฏิเสธข่าว ทำเอาสังคมเคลือบแคลงสงสัยว่า ความจริงคืออะไรกันแน่ และยิ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคประชาธิปัตย์ได้แฉกระบวนการทุจริตของโครงการจำนำข้าวให้เห็นเป็นฉาก ๆ ก็ยิ่งทำให้คนในสังคมต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาล
นโยบายแจกเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ทั่วประเทศ หรือ "One Tablet Pc per Child" เป็นอีกนโยบายเด็ดที่รัฐบาลประกาศไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และแน่นอนว่าเมื่อรัฐบาลผลักดันนโยบายนี้ให้เป็นวาระเร่งด่วนย่อมต้องทำให้เกิดเสียงชื่นชมผสมกับเสียงวิพากษ์หนาหูตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะคนส่วนหนึ่งยังถกเถียงกันว่า แท็บเล็ตเครื่องนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อการศึกษาจริงหรือไม่ หรือจะยิ่งทำให้เด็กติดเกม เข้าถึงอินเทอร์เน็ตกันง่ายขึ้นขณะที่คนอีกส่วนมองว่า แท็บเล็ตมีประโยชน์มากกว่าเสีย เพราะจะช่วยปฏิบัติระบบการศึกษาของเด็กไทยได้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ากว่าที่โครงการนี้จะเห็นเป็นรูปเป็นร่างก็เกิดปัญหาขลุกขลักอยู่ไม่น้อย ไล่มาตั้งแต่ขั้นตอนการสรรหาบริษัทผู้ผลิต การลงนามจัดซื้อ การส่งมอบเครื่อง ที่กว่าจะผ่านไปได้ติดปัญหาทั้งเรื่องเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อ ขาดเอกสารรับรองการแพร่รังสี ซอฟท์แวร์ไม่รองรับแอนดรอยด์ เนื้อหาการสอนที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี ฯลฯ แต่ในที่สุดเด็กนักเรียนชั้น ป.1 ก็ได้รับแจกแท็บเล็ตสมใจ แม้ว่าหลังจากรับเครื่องไปแล้วยังเกิดปัญหาในเรื่องคุณภาพของเครื่อง ไร้ระบบตัดไฟเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มแล้ว ก็ต้องดูกันไปยาว ๆ ว่าทิศทางการศึกษาไทยในยุคไอทีจะไปทางไหน
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต
อีกหนึ่งประเด็นที่ฟากรัฐบาล โดยกระทรวงกลาโหมเดินเครื่องอย่างเต็มสูบก็คือ การถอดยศทางทหารของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเรียกเบี้ยหวัดคืน หลังจากคณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องดังกล่าวของกระทรวงกลาโหม มีความเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ กระทำผิดวินัยด้วยการแสดงเอกสารเท็จ เพื่อขึ้นเป็นทหารกองประจำการ ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2531 ทำให้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เจ้ากระทรวงกลาโหม สั่งการให้เร่งรัดประเด็นนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และก็ได้เซ็นคำสั่งให้มีการถอดยศ ร.ต.อภิสิทธิ์ แล้ว
แน่นอนว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็โต้กลับทันควัน ว่า การที่รัฐบาลทำเช่นนี้เป็นการจงใจดิสเครดิตทางการเมืองมากกว่า พร้อมกับส่งไม้ต่อให้ศาลปกครองให้พิจารณา เพราะเห็นว่าคำสั่งถอดยศของ รมว.กลาโหม ที่ออกมาเป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง และขัดต่อกฎหมาย ขณะเดียวกันก็เปรียบเปรยกับคดีถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ยังดองอยู่ในโหลว่ายังไม่เห็นดำเนินการอะไร
แฟนหมัดมวยที่กดรีโมทไปยังสถานีโทรทัศน์ NBT หรือช่อง 11 เพื่อรอชมการถ่ายทอดสดศึกมวยไทย วอริเออร์ส ปีที่ 2 เทิดไท้องค์ราชัน ณ มาเก๊า ในคืนวันที่ 9 ธันวาคม คงงงไปตาม ๆ กัน เมื่อจู่ ๆ ประธานที่ขึ้นมากล่าวเปิดงานกลายเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ที่น่างุนงงไปกว่านั้นก็คือ สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว ดูไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับการชกมวยเทิดพระเกียรติเท่าไหร่นัก เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีได้พูดแก้ต่างให้ตัวเองเกี่ยวกับคลิปเสียงที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ นำมาเปิดบนเวทีการชุมนุมแล้วอ้างว่าเป็นเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยชี้แจงว่า ที่ต้องขอพูดในวันนี้ก็เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสชี้แจงตอบโต้ พล.อ.บุญเลิศ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ต้องหาที่หลบหนีการจับกุมกลับปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะผ่านทีวีของรัฐบาล ก็ทำเอาฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงกับเต้น! จี้ให้ช่อง NBT และผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมไปทั้ง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ลูกพี่ลูกน้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดศึกชกมวยครั้งนี้ชี้แจงและแสดงความรับผิดชอบโดยด่วน สอดคล้องกับโพลสำรวจความคิดเห็นของหลายสำนักที่มองว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออก NBT ครั้งนี้ ไม่เหมาะสม เพราะใช้สื่อของรัฐไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองเสียมากกว่า
เดินสายร่ายเหตุการณ์สลายม็อบปี 53 บนเวทีผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์มาตลอดทั้งปี แต่ในที่สุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ก็ปล่อยหมัดเช็กบิล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี และ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาและเล็งเห็นผล ในคดีที่นายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เสียชีวิต หลังศาลระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
เมื่อเป็นแบบนี้ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จึงออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงกับข้อหานี้ เพราะคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเรื่องต้องเป็นแบบนี้แน่ ทั้งคู่จึงประกาศจะขอต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุด และยืนยันฟังชัดว่าไม่หนีอย่างเด็ดขาด โดยอ้างว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเกมการเมืองของฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการบีบให้พวกเขายอมรับกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งจะมีผลทำให้คนแดนไกลได้พ้นผิดกลับมายังประเทศไทย ก็ต้องคอยดูต่อไปว่าหมัดที่กะให้น็อกชุดนี้จะสามารถน็อกใครกลางอากาศได้หรือไม่
เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดเมื่อมีการสัมภาษณ์ ทำให้ชื่อ "สมจิตต์ นวเครือสุนทร" ผู้สื่อข่าวสายการเมืองของช่อง 7 เป็นของแสลงของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไปอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งคู่ก็มีการปะทะคารมกันอยู่เป็นพัก ๆ เมื่อ "สมจิตต์" ถามคำถามจี้ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งบางครั้งทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่พอใจ เพราะมองว่าคำถามเหล่านั้นเสี้ยมจนเกินไป และดูไม่เป็นกลาง
กระทั่งในที่สุด ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ร.ต.อ.เฉลิม ก็ปรี๊ดแตกออกสื่อจนได้ เมื่อ สมจิตต์ นวเครือสุนทร สาดคำถามเกี่ยวกับเรื่องมาตรการที่รัฐบาลใช้ดูแลรักษาความปลอดภัยในการชุมนุมของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่ดูแล้วช่างแตกต่างกับการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม สวนกลับว่า สมจิตต์ ฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ จนนักข่าวสาวเหล็กสวนกลับว่าคำพูดนี้ถือว่าหมิ่นประมาทได้ แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ก็ท้าให้ไปฟ้องได้เลย สมจิตต์ จึงแก้เกมโดยตะโกนถามรองนายกฯ ไปว่า " ...ถ้าการที่ท่านกล่าวหาหนูว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การหมิ่นประมาท แล้วถ้าหนูเรียกท่านว่าขี้ข้าทักษิณ จะเป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่" ซึ่งเมื่อ ร.ต.อ.เฉลิม ตอบกลับมาว่า "อย่างนี้หมิ่นประมาท" นักข่าวช่อง 7 จึงย้อนทันที "ถ้าอย่างนั้นท่านก็สามารถใช้สิทธิแจ้งความที่ สน.ดุสิต ได้เหมือนกับที่แนะนำให้หนูไปทำ"
และหลังจากเกิดเรื่องนี้ไม่กี่วัน ร.ต.อ.เฉลิม ก็ประกาศออกสื่อว่า จะไม่ให้สัมภาษณ์ สมจิตต์ นวเครือสุนทร อีกต่อไป ทำให้ สมจิตต์ ต้องออกมาโพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงว่า การที่ ร.ต.อ.เฉลิม แบนเธอถือว่าไม่เป็นธรรม และยืนยันว่าเธอกำลังทำหน้าที่สื่อมวลชนของตัวเอง และวอน ร.ต.อ.เฉลิม อย่าผลักไสเธอให้เป็นศัตรู
และนี่ก็คือ 10 ข่าวเด่นที่เป็นประเด็นร้อนแรงแห่งแวดวงการเมืองประจำปี 2555 ก็หวังว่าในปีหน้าฟ้าใหม่ พ.ศ. 2556 ฝ่ายการเมืองแต่ละขั้วจะหันมาสาดยิ้มอย่างจริงใจให้กันแทนการสาดโคลน และสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นอย่างเห็นเป็นรูปธรรมเสียที เพราะประชาชนกว่า 60 ล้านคนที่เป็นเจ้าของประเทศตัวจริงตั้งหน้าตั้งตารอให้วันนั้นเกิดขึ้นมานานมากแล้ว
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra , Instagram raphatsit19, Twitter @Raphatsit_19 , คุณ Zipper Alien สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม , รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ , สำนักข่าวสปริงนิวส์ , ครอบครัวข่าว 3 , ไทยโพสต์
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra , Instagram raphatsit19, Twitter @Raphatsit_19 , คุณ Zipper Alien สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม , รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ , สำนักข่าวสปริงนิวส์ , ครอบครัวข่าว 3 , ไทยโพสต์
Post a Comment