15 แผ่นดินไหวที่โลกจดจำ
1. มิสซูรี (Missouri) : 16 ธันวาคม พ.ศ.2354 (ค.ศ.1811)
รอยเลื่อนนิวแมดริด (New Madrid fault) อยู่ใกล้กับเขตติดต่อของรัฐมิสซูรี เคนทักกี อาร์คันซอ และเทนเนสซี ได้ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.0 ริกเตอร์หรือมากกว่านั้น โดยแรงสั่นสะเทือนทำให้ระฆังของโบสถ์ในบอสตันที่อยู่ห่างออกไปถึง 2,400 กิโลเมตรแกว่งและส่งเสียงดังนอกจากนี้ ยังส่งผลทำให้สภาพภูมิศาสตร์ของพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน คือ พื้นดินถูกยกขึ้นจนแม่น้ำมิสซิสซิปปีไหลย้อนขึ้นทางต้นน้ำ โชคดีที่บริเวณนั้นมีประชากรเบาบาง จึงมีคนเสียชีวิตเพียงรายเดียว และทรัพย์สินเสียหายอีกเล็กน้อย
2. ซานฟรานซิสโก (San Francisco): 18 เมษายน พ.ศ.2449 (ค.ศ.1906)
แผ่นดินไหวขนาด 7.8 ริกเตอร์จากการขยับตัวของรอยเลื่อนซานแอนเดรียส (San Andres fault) ได้ถล่มโครงสร้างอาคารบ้านเรือนในเขตพื้นทีเบย์แอเรีย (Bay Area) ระบบท่อน้ำถูกทำลาย และรางรถไฟฟ้าบิดงอจนกลายเป็นแค่เศษเหล็ก แต่สาเหตุหลักของความเสียหายจำนวน 524 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และผู้คนเสียชีวิตถึง 3,000 รายนั้น เป็นผลมาจากเพลิงไหม้ที่เกิดตามมา และลุกลามไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการขาดน้ำสำหรับดับไฟ ประชาชนที่อาศัยห่างออกมาถึงรัฐโอเรกอนและทางตะวันตกของรัฐเนวาดา ยังรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนได้เป็นเวลาเกือบ 1 นาที
3. ตอนใต้ของรัสเซีย (Southern USSR) : 5 ตุลาคม พ.ศ.2491 (ค.ศ.1948)
แผ่นดินไหวขนาด 7.3 ริกเตอร์ เกิดขึ้นที่เมืองอาชคาบัด ประเทศเติร์กเมนิสถาน ทำให้ประชาชนจำนวน 110,000 คน ซึ่งถือเป็นประชากรที่มากกว่าสองในสามในขณะนั้นเสียชีวิต นอกจากแรงสั่นสะเทือนจะทำให้โครงสร้างเกือบทั้งเมืองกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว ยังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้เอเชียกลางอีกด้วย ในปีพ.ศ.2545 รัฐบาลเติร์กเมนิสถานได้ประกาศระลึกถึงเหตุการณ์ โดยกล่าวไว้อาลัยถึงประธานาธิบดี ซูปามูรัด ไนยาซอฟและครอบครัว ที่ได้สังเวยชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้น
4. ชิลีตอนใต้ (Southern Chile) : 22 พฤษภาคม พ.ศ.2503 (ค.ศ.1960)
แผ่นดินไหวครั้งนี้มีความรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ถึง 9.5 ริกเตอร์ ซึ่งความจริงแล้วมันเป็นชุดของแผ่นดินไหวที่เกิดต่อเนื่องกันหลายชั่งโมง คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นตามมาได้กวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างบนชายฝั่งชิลีก่อนที่จะเคลื่อนตัวข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปบดขยี้ฮาวายต่อ แผ่นดินถล่ม น้ำท่วมและการระเบิดของภูเขาไฟ Puyehue ในชิลีได้เกิดตามมาอีกหลังจากเกิดแผ่นดินไหวได้เพียง 2 วัน จากรายงานพบว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 5,700 ราย ทรัพย์สินเสียหายมูลค่า 675 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ทั้งในชิลี อะแลสกา ฮาวาย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์
ในบางครั้งตัวแผ่นดินไหวเองไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายเสมอไป แต่อาจเป็นผลที่เกิดขึ้นตามมาดังเช่น คลื่นสึนามิ เป็นต้น ที่ก่อให้เกิดความเสียดายอย่างมหาศาล ดังตัวอย่างต่อไปจากนี้
5. อะแลสกา (Alaska) : 28 มีนาคม พ.ศ.2507 (ค.ศ.1964)
แผ่นดินไหวกู๊ดฟรายเดย์ (Good Friday Earthquake) นับเป็นการสั่นสะเทือนที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา แผ่นดินไหวนานกว่า 3 นาทีวัดได้ 9.2 ริกเตอร์ในพื้นที่ปรินซ์ วิลเลี่ยม ซาวด์ (Prince William Sound) แม้ว่าจะมีการเสียชีวิตเพียง 15 รายจากแผ่นดินไหว แต่คลื่นสึนามิที่สูงร่วม 60 เมตรที่บริเวณปากทางน้ำวาลเดซ (Valdez inlet) ได้คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 110 ราย และสร้างความเสียหายจำนวน 311 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ โดยเมืองแองเคอเรจ (Anchorage) เป็นพื้นที่ที่เสียหายมากที่สุด
6. เปรู (Peru) : 31 พฤษภาคม พ.ศ.2513 (ค.ศ.1970)
แผ่นดินไหวขนาด 7.9 ริกเตอร์เกิดขึ้นบริเวณชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้ ทำให้ทรัพย์สินเสียหายกว่า 500 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และ ชาวเปรูเสียชีวิต 66,000 ราย ซึ่งส่วนมาเป็นผลมาจากตึกถล่ม นักธรณีวิทยากล่าวว่าแผ่นเปลือกโลกอเมริกาใต้ยังคงเคลื่อนที่ไปทางตะวันตกสู่แผ่นมหาสมุทรแปซิฟิก ดังนั้น แผ่นดินไหวรุนแรงตามแนวชายฝั่งจึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก
7. จีน (China) : 27 กรกฎาคม พ.ศ.2519 (ค.ศ.1976)
แผ่นดินไหวขนาด 7.5 ริกเตอร์นี้ เป็นหนึ่งในแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดตามแนวของวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ซึ่งเป็นขอบที่มีการไหวสะเทือนเกิดขึ้นมากที่สุดของมหาสมุทรแปซิฟิก แผ่นดินไหวสร้างความเสียหายให้กับเมืองตังชาน และเมืองทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของจีนที่มีผู้อยู่อาศัยถึง 1 ล้านคน ทางการจีนแจ้งว่ามียอดผู้เสียชีวิตประมาณ 250,000 ราย แต่บางแหล่งข่าวประเมินว่าตัวเลขน่าจะสูงถึง 655,000 ราย
8. แคลิฟอร์เนียตอนกลาง (Central California) : 18 ตุลาคม พ.ศ.2532 (ค.ศ.1989)
แผ่นดินไหวขนาด 6.9 ริกเตอร์ เกิดขึ้นบริเวณสวนสาธารณะแคนเดิลสติก (Candlestick Park) ในซานฟรานซิสโก ในขณะที่กำลังมีการแข่งขันเบสบอล 1989 World Series ในเกมที่สาม ทำให้ได้ชื่อว่า World Series Quake หรือ Quake of 89 มีผู้เสียชีวิต 63 ราย และทรัพย์สินเสียหายประมาณ 6 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าเป็นแผ่นดินไหวครั้งที่สร้างความเสียหายมากสุดที่เคยเกิดขึ้นในบริเวณเบย์แอเรีย (Bay Area) นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2449 หลังจากแผ่นดินไหวอัล มิคาเอล ผู้รายงานข่าวของ เอบีซี ที่อยู่ในสนามเบสบอลได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอมมี จากการรายงานสดสถานการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนั้น
9. แคลิฟอร์เนียตอนใต้ (Southern California) : 17 มกราคม พ.ศ.2537 (ค.ศ.1994)
แผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริกเตอร์ ในนอร์ทตริจด์ (Northridge) ทำให้มีผู้เสียชีวิต 60 ราย และความเสียหายมูลค่าประมาณ 44 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ แรงสั่นสะเทือนทำลายอาคารมากกว่า 40,000 หลังในเมืองเศรษฐกิจที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น ได้แก่ ลอสแองเจอลิส ออเรนจ์ เว็นทูรา และซาน เบอร์นาดิโน ถือว่าเป็นโชคดีที่แผ่นดินไหวที่รู้สึกได้ไกลถึงรัฐยูทาห์ และตอนเหนือของเม็กซิโกนี้เกิดในเวลาเช้ามืด ซึ่งผู้คนยังไม่พลุกพล่านบนท้องถนน ตึกที่ทำงาน และอาคารจอดรถ ที่มีการถล่มเป็นส่วนใหญ่
10. ญี่ปุ่น (Japan) : 17 มกราคม พ.ศ.2538 (ค.ศ.1995)
แผ่นดินไหวขนาด 6.9 ริกเตอร์ในโกเบ คร่าชีวิตผู้คนกว่า 5,000 รายและสร้างความเสียหายมากกว่า 100 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่ามีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ เนื่องจากอาคารมากกว่า 200,000 แห่งที่ถล่มและเสียหายนั้นอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าครองชีพสูง นอกจากนี้ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่งที่แผ่นดินไหวในโกเบครั้งนี้ (ชาวญี่ปุ่นรู้จักทั่วไปในชื่อ แผ่นดินไหวฮานชิน) เกิดขึ้นพร้อมกับการครบรอบหนึ่งปีของแผ่นดินไหวในนอร์ทตริจด์พอดี
11. อินโดนีเซีย (Indonesia) : 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004)
(ภาพ: telegraph.co.uk)
แผ่นดินไหวขนาดใหญ่นี้เกิดขึ้นทางฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตราวัดความรุนแรงได้ 9.1 ริกเตอร์และคลื่นสึนามิที่เกิดตามมาก็ได้คร่าชีวิตผู้คนใน 12 ประเทศอย่างน้อย 230,000 ราย (อาจสูงถึง 290,000 ราย) ซึ่งเป็นชาวอินโดนีเซียประมาณ 168,000 คน นักวิทยาศาสตร์อ้างว่าการสั่นสะเทือนครั้งนี้ รุนแรงถึงขนาดทำให้การหมุนของโลกเบนออกจากแกนเดิมเกือบหนึ่งนิ้วเลยทีเดียว เหตุการณ์แผ่นดิน-ไหวในครั้งนี้ จะเป็นที่จดจำไปอีกนานเท่านาน เพราะคลื่นสึนามิ ได้นำความวิบัติไปสู่ทุกประเทศรอบมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงประเทศไทยด้วย จากเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีการตื่นตัวเกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิกันอย่างกว้างขวาง และทำให้คนไทยได้รู้จักบทบาทของนักธรณีวิทยามากขึ้น
12. ปากีสถาน (Pakistan) : 8 ตุลาคม พ.ศ.2548 (ค.ศ.2005)
แผ่นดินไหวขนาด 7.6 ริกเตอร์สามารถรู้สึกได้เกือบทั่วทั้งปากีสถานและตอนเหนือของอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 80,000 ราย และบาดเจ็บเกือบ 70,000 คน อาคารบ้านเรือนถูกทำลายกว่าพันหลัง ดินถล่ม หินถล่ม และอาคารที่พังเสียหายเป็นสาเหตุให้ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัย และพื้นที่บางแห่งถูกตัดขาดจากการช่วยเหลือหลายวัน
13. มณฑลเสฉวน ประเทศจีน : 13 พฤษภาคม พ.ศ.2551 (ค.ศ.2008)
ในขณะที่ประเทศจีนกำลังเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ของปีพ.ศ.2551 ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.9 ริกเตอร์ ทางตะวันออกของมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ศูนย์กลางอยู่ที่ความลึก 19 กิโลเมตรจากผิวดิน และมีแผ่นดินไหวตามขนาด 5.0-6.0 ริกเตอร์ ตามมาอีกหลายครั้ง สิ่งก่อสร้างพังทลายหลายแห่ง มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 50,000 ราย ความเสียหายประมาณ 115 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ สำหรับประเทศไทยรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนโดยเฉพาะอาคารสูง สาเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดจากการขยับตัวแบบย้อนกลับ (Reverse Fault) ของรอยเลื่อน ลองเมนฉาน (Longmenshan) ซึ่งวางตัวในแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ จากการขยับตัวครั้งนี้ส่งผลทำเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นผิวภูมิประเทศสูงกว่า 3 เมตร และเพิ่มความเค้น (stress) ให้กับส่วนปลายทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ของรอยเลื่อน ที่ซึ่งอาจจะปลดปล่อยพลังงานได้อีกในอนาคต
14 สาธารณรัฐเฮติ (Republic of Haiti) : 12 มกราคม พ.ศ.2553 (ค.ศ.2010)
ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2553 ได้เพียงไม่นาน ก็เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงขึ้นที่สาธารณรัฐเฮติ ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเกาะฮิสปันโยลา ในทะเลแคริบเบียน ส่วนหนึ่งของทวีปอเมริกา เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 12 มกราคม ตามเวลาท้องถิ่น วัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 7.0 ริกเตอร์ โดยมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมืองหลวงของเฮติ ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 16 กิโลเมตร และลึกลงไปใต้ดินราว 10 กิโลเมตร
แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ส่งผลให้ทำเนียบประธานาธิบดี ที่ทำการกระทรวงต่าง ๆ ตลอดจนที่ทำการขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในกรุงปอร์โตแปรงซ์ พังถล่มรวมทั้งอาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหายจำนวนมาก และยังไม่ทราบชะตากรรมของเจ้าหน้าที่ ที่เชื่อว่าติดอยู่ภายใต้ซากอาคารเหล่านี้ โดยคาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน และอาจจะมีผู้เสียชีวิตมากถึงแสนคน
ทั้งนี้แผ่นดินไหวครั้งนี้ ถือเป็นแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 200 กว่าปีของเฮติ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2313 และยังเกิดแผ่นดินไหวตามขนาด 5.1-5.9 ตามมาอีกหลายครั้ง
15 ญี่ปุ่น (Japan) : 11 มีนาคม 2011
วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14:46 (ท้องถิ่น) เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 9.0 ริกเตอร์ โดยมีศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่นอกชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรโอชิกะ โทโฮะกุ ลึกลงไปใต้พื้นดิน 32 กิโลเมตร จากแรงสั่นสะเทือนที่วัดได้ นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงเป็นอันดับสี่ของโลกเท่าที่มีการบันทึกได้ตั้งแต่ พ.ศ. 2443
โดยเหตุแผ่นดินไหวดังกล่าวได้เคลื่อนเกาะฮอนชูไปทางตะวันออก 2.4 เมตร และเคลื่อนแกนหมุนของโลกไปเกือบ 10 เซนติเมตร ตามข้อมูลของสถาบันธรณีฟิสิกส์และวิทยาภูเขาไฟแห่งชาติของอิตาลี แผ่นดินไหวดังกล่าวได้ย้ายตำแหน่งแกนโลกไป 25 เซนติเมตรการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกเล็กน้อยหลายอย่าง รวมไปถึงความยาวของวันและความเอียงของโลก อัตราเร็วในการหมุนรอบตัวเองของโลกเพิ่มมากขึ้น ทำให้วันหนึ่งสั้นลง 1.8 ไมโครวินาทีเนื่องจากการกระจายมวลของโลกใหม่
แผ่นดินไหวดังกล่าวทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงตามแนวชายฝั่งแปซิฟิกของหมู่เกาะตอนเหนือของญี่ปุ่น
เหตุการณ์นี้ทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ 1 และ 2 ถูกคลื่นสึนามิซัดข้ามกำแพงและทำลายระบบกำเนิดไฟฟ้าดีเซลสำรอง จึงเกิดปัญหาในการลดความร้อน และทำให้เกิดระเบิด 2 ครั้งที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ 1 และทำให้กัมมันตภาพรังสีในบริเวณรอบข้างมีระดับสูงขึ้น ประชาชนกว่า 200,000 คนในบริเวณใกล้เคียงต้องอพยพหนี
จากเหตุการณ์นี้ ธนาคารโลกประมาณการความเสียหายระหว่าง 122,000 ถึง 235,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่ามูลค่าความเสียหายจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิอาจมีมูลค่าสูงถึง 309,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งทำให้มันเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายมากที่สุดเท่าที่มีการบันทึกมา จากเหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวีตไม่ต่ำกว่า 9,408 ราย สูญหาย 14,716 คน ได้รับบาดเจ็บ 2,746 คน นอกจากนี้ยังมีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยอีกจำนวนมาก
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก GeoThai.net ,กระปุกดอทคอม
Post a Comment