เพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น ลั่วเว่ยเคอะเด็กชายยอดกตัญญู


ผมว่าเดี๋ยวนี้ “มนุษย์มักเห็นแก่ความสุขของตัวเอง” ซะมากมายก่ายกอง ด้วยเพราะวัฒนธรรมเริ่มเปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยนเดี๋ยวนี้มีแต่ข่าวฆ่ากัน ไม่พ่อบ้าฆ่าลูก ไม่ก็มีข่มขืน
ผมว่าสังคมเริ่มเสื่อมถอยชนิดที่บางครั้งรู้สึกว่า เด็กรุ่นหลังจะถูกดูดซับเรื่องแบบนี้ให้มองว่า “เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ” ไปหรือเปล่า
ผมกลัวว่า ยุคสมัยที่เคยเอื้อเฟื้อกันจะกลายเป็น “ความเห็นแก่ตัวชนิดที่เกินเยียวยา” แต่อย่างน้อยบางมุมก็ยังมีผู้คนที่ยังคงนึกถึงคนอื่นบ้าง
เหมือนกรณี ด.ช.ลั่วเว่ยเคอะ วัยเพียง 13 ปี  ต้องเดินเท้ากว่า 340 กม. เพื่อไปทำงานขัดรองเท้าที่มณฑลกวางโจว เพื่อเก็บเงินเป็นค่าผ่าตัดให้กับแม่

ผมว่า เด็กบางคนในยุคปัจจุบัน แค่เดินไม่ถึง 100 เมตร เขา หรือเธอก็บ่นกันตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยนะ ผมว่า ด้วยเพราะการถูกบ่มเพาะความอดทนของเด็กบางคนน้อยลง
โดยลั่วอาศัยอยู่กับแม่และน้องสาว เพราะเสาหลักของบ้านเสียชีวิตเมื่อปีก่อน และเขามีเงินเดือนเพียงเดือนละ 1,000 หยวน ซึ่งไม่พอกับค่ารักษาตัวที่โรงพยาบาล
เขาจึงตัดสินใจไปทำงานขัดรองเท้าที่ต่างมณฑล ได้เงินวันละ 100 หยวน แต่ค่ารักษาพยาบาลสูงถึง 100,000 หยวน เนื่องจากเนื้องอกนั้นมีขนาดใหญ่
งานขัดรองเท้าที่ดูเหมือนว่าจะเป็นอาชีพต่ำต้อย และได้ค่าจ้างเพียงน้อยนิด แต่ผมว่ามันมีคุณค่าสำหรับหลายชีวิตเลยนะครับ เพราะคนเราเกิดมาไม่ได้ร้ำรวยเงินทองเหมือนเศรษฐีบางคนที่มักหย่อนเงินไร้สาระไปวัน ๆ
ผมว่า ลั่ว เป็นเด็กที่หากเลือกได้เขาคงอยากได้โอกาสที่ดี แต่ในมุมหนึ่งผมคิดว่า “ทำอะไรได้ควรจะทำไปก่อน อย่าเกี่ยงงอนถ้าสิ่งตอบแทนมันน้อยนิด”
เพราะมนุษย์บางจำพวกต้องการความสบาย อยากได้เงินทองก็โกงกินชนิดที่ไม่น่าให้อภัย คนแบบนี้ไม่ไหว ถูกบ่มเพาะจากความโลภจนเกินตัว
และผมภาวนาว่า “อย่าเกิดขึ้นกับเด็กยุคใหม่ที่เห็นคุณค่าของเงินมากกว่าการพัฒนาสามัญสำนึกที่เรียกว่าพอเพียง” ผมกลัวจริง ๆ ว่า ค่านิยมจะทำให้เยาวชนรุ่นหลังไม่อดทน ไม่ต่อสู้เพื่อตนเองและผู้อื่นอย่างถูกต้อง
ด้วยแบบอย่างที่ดีในปัจจุบันมักจะถูกฉาบไว้ด้วยความโกงกิน ผมคิดแบบนั้น….
ความรับผิดชอบต่อผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ และการแบ่งปันเอื้อเฟื้อเป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน เพราะลั่วเป็นลูกชายคนเดียว จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องดูแลแม่กับน้อง และสิ่งเดียวเขาต้องการมากที่สุดคือ “ให้แม่หายจากโรคและอยู่กับเขาและน้องสาวอย่างมีความสุข”
ล่าสุด แม่ของเด็กชายลั่ว ได้เข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกในสมองแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยมีลั่วคอยให้กำลังใจอยู่ข้างเตียง การผ่าตัดประสบความสำเร็จ แต่แพทย์บอกว่ายังไม่พ้นขีดอันตราย
เพราะเนื้องอกมีขนาดใหญ่มาก และไม่สามารถผ่าตัดออกได้ทั้งหมด แต่ก็พยายามผ่าออกให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาชีวิตและทำให้ร่างกายของเธอสามารถใช้งานได้เป็นปกติที่สุด
“รับผิดชอบต่อตนเอง และผู้อื่น” คนแบบนี้หายากนะครับ
และความดีรู้จักกตัญญูมักมักหอมหวานเมื่อถึงเวลาตอบแทน

ข่าวโดย : สด สีดา
ขอบคุณภาพและวีดีโอจากช่อง3


วิดีโอที่เกี่ยวข้อง»













สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เด็กชาย ลั่วเว่ยเคอะ วัยเพียง 13 ปี ต้องเดินเท้าไปต่างมณฑลเป็นระยะทางกว่า 340 กม. เพื่อทำงานหาเงินรักษาแม่ที่ป่วยโรคเนื้องอกในสมอง

เด็กชายลั่วนั้นอาศัยอยู่ที่เมืองเหอหยวน มณฑลกวางตุ้ง แต่ต้องเดินเท้ากว่า 340กม. ไปทำงานขัดรองเท้าที่มณฑลกวางโจว เพื่อเก็บเงินเป็นค่าผ่าตัดให้กับแม่ ทั้งนี้ พ่อของลั่วเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน ลั่วจึงอาศัยอยู่กับแม่และน้องสาว แม่ของเขามีเงินเดือนเพียงเดือนละ 1,000 หยวน ซึ่งไม่พอกับค่ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ลั่วจึงตัดสินใจไปทำงานขัดรองเท้าที่ต่างมณฑล ได้เงินวันละ 100 หยวน แต่ค่ารักษาพยาบาลซึ่งได้รับการเปิดเผยจากผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมระบบประสาทของโรงพยาบาลนั้นอยู่ที่ 100,000 หยวน เนื่องจากเนื้องอกนั้นมีขนาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม ลั่วเปิดเผยกับซีซีทีวีว่า เขาเป็นลูกชายคนเดียว จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องดูแลแม่กับน้อง และสิ่งเดียวเขาต้องการมากที่สุดคือให้แม่หายจากโรคและอยู่กับเขาและน้องสาวอย่างมีความสุข

ล่าสุด แม่ของเด็กชายลั่ว ได้เข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกในสมองแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยมีลั่วคอยให้กำลังใจอยู่ข้างเตียง การผ่าตัดประสบความสำเร็จแต่แพทย์บอกว่ายังไม่พ้นขีดอันตราย แพทย์เผยว่า เนื้องอกมีขนาดใหญ่มาก และไม่สามารถผ่าตัดออกได้ทั้งหมด แต่ก็พยายามผ่าออกให้ได้มากที่สุด เพื่อรักษาชีวิตและทำให้ร่างกายของเธอสามารถใช้งานได้เป็นปกติที่สุด
 

credit : Mthainews 







อยากจะขอชื่มชมจากใจจริงๆครับ