ก้าวแรกของการลงทุนแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคนช้าและบางคนเร็ว
แต่สุดท้าย คือ มีเป้าหมายเดียวกันที่ต้องการประสบความสำเร็จในแวดวงตลาดทุน
และวันนี้ Management's Lifestyle จะพาไปร่วมพูดคุยกับนักลงทุนเลือดใหม่ไฟแรง
อายุเพียง 24 ปี กับ ’สถาพร งามเรืองพงศ์’ หรือ ‘ฮง’ กับแนวทางวิเคราะห์
Fund Flow หนทางสู่ชัยชนะ
‘ฮง’ เด็กหนุ่มวัย 24 ปี ผู้ที่เคยมีความฝันอยากเป็นนักธุรกิจพัฒนาโครงการ
อสังหาริมทรัพย์ ทำบ้านเดี่ยว-คอนโด แต่ด้วยเสน่ห์ของวงการตลาดหุ้นที่เย้ายวนด้วย
ผลตอบแทน ทำให้เขาเบนเข็มเข้าสู่ถนนแห่งการลงทุน ฮง เริ่มลงทุนเมื่อปี 2547
ตอนเรียนปี 1 ที่ม.กรุงเทพ ด้วยอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น หลังจากเพื่อนได้เล่า
ประสบการณ์ในตลาดทุนที่ประสบความสำเร็จได้กำไรมาค่อนข้างมาก โดยเพื่อนของ
เขา ได้ลงทุนในปี 2546 ในกลุ่มสื่อสารอย่าง SHIN-ADVANC ซึ่งตอนนั้นตลาดหุ้น
ไทยอยู่ในภาวะกระทิงดุ แต่ก้าวแรกของการลงทุนของ ฮง กลับไม่ประสบความ
สำเร็จอย่างที่วาดฝันไว้ กลายเป็นแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ เพราะยังศึกษาตลาดไม่ดี
พอและขาดประสบการณ์ ทำให้ปีนั้นเขาขาดทุน 10%
สำหรับเงินลงทุนก้อนแรกของ ฮง เริ่มที่ 100,000 บาท จากเงินสะสมของ
ตัวเอง ความล้มเหลวในปีแรกของการลงทุนที่ขาดทุน 10% เพราะการลงทุนที่อิง
หนังสือพิมพ์ โดยจะดูเฉพาะที่นักวิเคราะห์เชียร์ และจากการผิดพลาดในการลงทุน
ครั้งนี้ ทำให้เขากลับมาคิดทบทวนใหม่ และได้รู้ว่าหุ้นที่นักวิเคราะห์เชียร์เป็นหุ้นที่
ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้ว
'เพื่อนบอกว่าเล่นหุ้นแล้วง่าย แต่จริงๆ มันไม่ง่าย คือ เวลาเราเข้ามาใน
ตลาดหุ้นใหม่ๆ แล้วได้กำไร มักจะคิดไปเองว่าเก่ง แต่ความเป็นจริงแล้วภายใต้
ตลาดฯ ขาขึ้น หุ้นส่วนใหญ่มันขึ้นหมด แต่เราไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่มีการบริหาร
ความเสี่ยงว่า เวลาราคาหุ้นขึ้นเราจะต้องตั้งจุดรักษากำไรไว้เท่าไหร่ ถ้าเกิดว่าราคา
หุ้นตัวนี้ประกาศงบออกมา แล้วไม่เป็นอย่างที่คิด ควรขายหุ้นออกไปเท่าไหร่ ตอนเข้า
มาใหม่ๆ เราอาจไม่คิดเรื่องนี้เลย อาจจะลุยอย่างเดียว แบบบู้ล้างผลาญ ทำให้ไม่
ประสบความสำเร็จ'
เขาเล่าว่า หลังจากที่เริ่มเข้ามาคลุกคลีในตลาดหุ้นมากขึ้น มีความรู้สึกว่า
เป็นวงการที่มีเสน่ห์ คือ มีความเป็นเป็นอิสระในตัวเอง ถ้าเราคิดว่าภาพเศรษฐกิจไม่
ดี เราสามารถขายหุ้นทิ้งได้หมด ไม่เหมือนการทำธุรกิจที่เราไม่สามารถขายธุรกิจของ
เราได้ง่ายๆ แม้ว่าเราจะรู้ว่า เศรษฐกิจมันจะเป็นขาลง สมัยเรียนเวลาว่างหลังจากการ
เรียน ก็จะพยายามไขว่คว้าหาความรู้เรื่องการลงทุนเพิ่มเติม ทั้งอ่าน Research ไป
งานสัมมนาต่างๆ รวมถึง SET IN THE CITY-Money Expo
'ลงทุนมาเกือบ 5 ปีแล้ว ซึ่งตอนนี้เงินลงทุนหลักล้านบาท และคิดว่าอีกสี่
ห้าปีจะระดับสิบล้านบาท โดยคิดอย่าง Conservative เพราะว่าปีนี้หุ้นดี ทำให้ได้
กำไร 105% ปีก่อนขาดทุน 15% ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้ระดับถึง 100% ซึ่งจุดที่ประสบ
ความสำเร็จในแง่ของนักลงทุน อยากได้เงินปันผลปีละประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งตรง
นี้เราถือว่าเรา Success แล้ว'
หลังจากที่เรียนรู้ และสั่งสมประสบการณ์มาสักระยะหนึ่ง ทำให้มุมมองการ
ลงทุนของเขา มีมุมมองที่เปลี่ยนไป โดยเน้นลงทุนหุ้นปัจจัยพื้นฐาน โดยดู Fund
Flow ของต่างประเทศเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาลงทุน เพราะเชื่อว่าสิ่งที่
กำหนดราคาหุ้นไม่ได้มีแค่ปัจจัยพื้นฐาน แต่ขึ้นอยู่กับกระแสเงินที่มีการโยกเข้ามา
ด้วยที่จะมีผลต่อราคาหุ้น
แนวคิดเรื่อง Fund Flow จะเป็นการวิเคราะห์แนวทางการไหลของเงิน ตั้ง
สมมติว่า ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น แสดงว่ามีเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตร ก็จะ
เป็นแนวโน้มที่ดีของหุ้น ซึ่งในปีที่แล้วเขาขายหุ้นที่ดัชนีฯ 590 จุด เพราะตัว LIBOR
อัตราการกู้ยืมระหว่างธนาคารพุ่งขึ้น แสดงว่าคนไม่กล้าปล่อยกู้ ก็เลยคิดว่าจะมีปัญหา
เงินตรึงตัว แล้วจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยทำให้ปรับตัวลดลง
'ผมคิดว่า ราคาหุ้นมันเป็นการเล่นกับพื้นฐานธุรกิจ กระแสเงินและความ
คาดหวังของผู้คน ผมเลยคิดว่าวิชา Fund Flow, Finance, จิตวิทยา เป็นส่วนหลักที่
ผมใช้ลงทุน ซึ่งการตลาดจะเป็นเรื่องการลงทุนระยะยาว ผมคิดว่า คนที่ใช้การตลาด
ในการเล่นหุ้นจะเป็นการลงทุนระยะยาวมากกว่า'
เขาบอกว่า กลุ่มที่ชอบพิเศษ คือ กลุ่มอสังหาฯ เพราะต้นปีนี้หุ้นอสังหาฯ
ให้เงินปันผลมากกว่า 10% หลายตัว และราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าซาก ซึ่งมันไม่เคย
เกิดขึ้นในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ยังชอบกลุ่มพลังงาน ปลายปีก่อนหุ้นโรงกลั่นมีเรื่อง
Stock Loss จากราคาน้ำมันดิบมาก แต่ต้นปีราคาน้ำมันเริ่มขึ้นมา ก็เลยเข้าไปซื้อหุ้น
โรงกลั่น เพราะคิดว่ากำไรจะพลิกกลับได้
'ผมได้เงินจากครอบครัวที่ให้มาเพิ่มอีก 500,000 บาท เพื่อมาลงทุน หุ้นที่
ซื้อตั้งแต่ต้นปี คือ TOP-CPF และก็ให้ Capital Gain มหาศาล ถือเป็นหุ้นที่ภูมิใจที่
สุด และสาเหตุที่เลือกซื้อ เพราะปีที่แล้ว TOP มีกำไรต่ำมาก จากราคาน้ำมัน Q4/52
ปรับลดลงเยอะ และราคาน้ำมันก็ผกผันกับเงินดอลลาร์ ซึ่งเราดูว่าเงินดอลลาร์มีแนว
โน้มอ่อนตัว ราคาน้ำมันเลยน่าจะขึ้น จึงคาดว่ากำไรของบริษัทน่าจะพลิกกลับมาดีขึ้น
อย่างมาก
เขาเล่าว่า ช่วงแรกของการลงทุนก็ลงทุนตามสไตล์ของตัวเอง แต่หลังจาก
นั้นก็ได้มีโอกาสรู้จักคุณนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ (สุมาอี้) ซึ่งนับถือเขาเป็นอาจารย์
โดยกลยุทธ์ของสุมาอี้ คือ จะเน้นลงทุนหุ้นเติบโต ประมาณ 4 - 5 ตัว ตัวละ 20 -
25% ของพอร์ต และไม่สนใจการแกว่งตัวของราคาหุ้นระยะสั้น เพราะหุ้นที่เติบโต
ระยะสั้นราคาหุ้นจะผันผวน แต่ระยะยาวถ้ามีการกระจายความเสี่ยงหุ้นทั้งพอร์ตจะเติบ
โต หลักการลงทุนที่ได้รับมาจากเขา ผมชอบอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ 1. มุมมองใดๆ
จะยังไม่มีค่า ถ้ามุมมองในตลาดไม่เห็นด้วยกับคุณ และ 2. ถ้าคิดว่ามีสัญญาณร้าย
อย่าเถียง อย่าถาม ให้หนีไว้ก่อน
อีกคนที่นับถือ คือ คุณวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล บล.ทิสโก้ เพราะเขาเคยทำ
งานกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ แล้วเขาจะมีมุมมองเรื่อง Fund Flow ค่อนข้างดี ซึ่งหนังสือ
ที่เขาเขียนเป็นหนังสือในดวงใจของผม คือ มันนี่เกม นอกจากนี้ผมติดตามเวลาที่
เขียน Research หรือเวลาที่เขามีอบรมหรือสัมมนาผมก็จะตามไปฟัง
'การเล่นหุ้นของลูกศิษย์กับอาจารย์จะไม่ค่อยเหมือนกัน โดยอาจารย์จะ
เน้นเติบโตต่อเนื่อง แต่ผมจะเล่นหุ้นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์กำไรไว้ต่ำกว่า
ที่ผมคิด แต่พองบการเงินออกแล้วมีการปรับประมาณการกำไรขึ้น ช่วงที่ปรับ
ประมาณการราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งผมจะไม่ได้สนใจคุณภาพธุรกิจมาก แต่
ผมจะสนใจว่าต้นทุนหุ้นที่ผมถืออยู่ คือ คนควรจะคาดหวังมันต่ำ ผมถึงจะมี
Downside น้อย และ Upside เยอะ'
ฮง ให้มุมมองจากนี้ถึงสิ้นปีว่า Fund Flow น่าจะเริ่มชะลอ เพราะผลตอบ
แทนของตลาดหุ้นเทียบกับผลตอบแทนของพันธบัตร ตอนนี้อยู่ในระดับที่ไม่จูงใจให้
โยกย้ายเม็ดเงินเข้ามา เพราะมันเริ่มน้อย คิดว่าจะมีการขายหุ้นปรับพอร์ตแล้วไปซื้อ
พันธบัตร ส่วนทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปีหน้า น่าจะเล่นยาก เพราะว่าไตรมาส 1 –
2 Book Value ของ SET อยู่ที่ 1 เท่า ซึ่งถูกเท่ากับสมัยต้มยำกุ้ง
แต่ตอนนี้ Book Value เกือบ 2 เท่า และปีหน้าอัตราดอกเบี้ยน่าจะขาขึ้น
เพราะเงินเฟ้อเริ่มกลับมา ซึ่งดอกเบี้ยแต่ละที่ต่ำมาก ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้น ปกติ P/E
ของตลาดหุ้นจะลดลง เพราะมีเงินส่วนหนึ่งออกจากตลาดหุ้น และการอัดฉีดเงิน
ของอเมริกาปีหน้าก็น่าจะหมด ทำให้สภาพคล่องน้อยลง และปีหน้ามีความเสี่ยงว่าจีดี
พีจะกลับไปถดถอยอีก คือ ปกติเวลาเกิดวิกฤตรอบก่อนจะติดลบ 3 – 4 ไตรมาส
แล้วกลับมาเป็นบวก และจะกลับไปติดลบใหม่อีกครั้ง เรียกว่า Double Dip ซึ่งช่วงที่
บวกเพราะกระตุ้นด้วยการอัดฉีดเงิน แต่พอกระตุ้นเยอะแล้วกระสุนหมด กำลังซื้อของ
คนยังไม่กลับมา จีดีพีก็จะติดลบใหม่ ซึ่งมองว่าเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำหรับปีหน้า
สำหรับปรัชญาในการลงทุนของผมนั้นมองว่า 1. หุ้นทุกตัวจะมีวันของมัน 2.
ธุรกิจที่ไม่ดีอาจเป็นการลงทุนที่ดี 3. มุมมองใดๆ จะไม่มีค่าถ้าตลาดไม่เห็นด้วย 4. ถ้า
เห็นสัญญาณอันตรายให้หนีทันที 5. ก่อนเข้าซื้อหุ้นต้องตอบให้ได้ว่าคนในตลาดฯ
คาดหวังสูงหรือต่ำ ถ้าคนในตลาดคาดหวังสูงจะลงทุนไม่เต็มที่ และอยากแนะนำนัก
ลงทุนมือใหม่ว่าถ้าพอร์ต 1 ล้านบาท ในช่วง 1- 2 ปีให้ลงทุน แค่ 1 แสนบาทก่อน
และอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน และอบรมเรื่องหุ้น การประเมินมูลค่าหุ้น
จากนั้น จึงค่อยลงทุนเต็มวงเงิน เพราะหากขาดทุนเงินที่ได้คืนมาอาจใช้เวลานาน
สำหรับ ฮง นอกเหนือจากบทบาทนักลงทุนแล้ว เขายังทำหน้าที่ดูแลบริหาร
งานที่บ้าน ซึ่งทำโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูป โดยทำมากว่า 10 ปี ภายใต้แบรนด์ของตัว
เองชื่อ BASINI และ NASA จับกลุ่มลูกค้าเป็นเสื้อผ้าผู้ชาย เสื้อยืดโปโล โดย
จำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ธุรกิจครอบครัวของฮงยังมีธุรกิจขายต้นไม้
ลีลาวดี ชื่อสวน ลีลาภิรมย์ อยู่ ซอยเทียนทะเล บางขุนเทียน อีกด้วย ใครสนใจหรือ
อยากเจอเจ้าตัวก็แวะเวียนไปได้ และเมื่อถามถึงเจ้าของหัวใจ ฮง ตอบว่า ตอนนี้
หัวใจยังว่าง ซึ่งสเปกของเขา ชอบผู้หญิงหวานและเรียบร้อย
แม้ว่า ฮง จะอายุน้อย แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียร และไม่ย่อท้อต่อ
อุปสรรค ที่สำคัญเขามักเอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียนในการปรับปรุงแก้ไข เพื่อ
เป็นแนวทางชี้นำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งคงต้องจับตาดูว่า หนุ่มผู้นี้ จะเดินทางไปสู่ฝันที่
ตั้งใจไว้ได้หรือไม่ และหากใครต้องการคุยกับเขาสามารถไปคุยได้ที่ Blog
http://hongvalue.wordpress.com/


By : พัทธนันท์ เปี่ยมสมบรูณ์
eFinanceThai.com