ศรัทธาและความเชื่อของตัน ภาสกรนที







เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน เริ่มต้นสร้างทุกอย่างจากจุดที่เรียกว่า...ศูนย์ ถึงแม้เส้นทางเดินบนถนนสายธุรกิจของเขาในวันนี้อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ระดับที่เรียกว่าเป็นตำนาน

หากแต่ว่าเขาเริ่มต้นจากการเป็นพนักงานขายของ แบกของ กินเงินเดือนไม่ถึงพันบาท สู่การบริหารงานธุรกิจระดับพันล้านในเครือโออิชิกรุ๊ป ไม่ว่าจะเป็น สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน, โออิชิ, โออิชิ กรีนที, ฯลฯ โดยกลยุทธ์ทางธุรกิจของเขาไม่ได้มีปริญญาด้านการตลาดจากสถาบันใดมาการันตี แต่เขาเป็นนักธุรกิจที่เป็นทั้งนักคิด นักถาม นักวางแผน นักการตลาด ที่ประสบความสำเร็จในถนนสายธุรกิจได้อย่างไม่เป็นรองใคร


จากพนักงานกินเงินเดือนไม่กี่ร้อย จนมีอาณาจักรภายใต้แบรนด์โออิชิ สู่ความเป็นมหาชน ตัน ภาสกรนที บอกว่า...จุดเริ่มต้นของเขา คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้ 


ที่ผ่านมาเพิ่งมีกรณีข่าวเกี่ยวกับเครื่องดื่มโออิชิ กรีนทีที่ลูกค้าดื่มแล้วมีปัญหา
เขาสรุปออกมาว่าชาเขียวที่มีปัญหาที่ลูกค้าซื้อไปเป็นกรดเกลือ ซึ่งเป็นกรดเกลือที่ในวงการอุตสาหกรรมอาหารไม่มีใครใช้ กระทรวงสาธารณสุขและ อย. เขาเข้าไป ตรวจแล้วไม่ได้อยู่ที่การผลิต แต่ทั้งหมดนี้เราคงไม่กล่าวโทษใคร เพราะเราไม่มีหลักฐาน และมันต้องใจเขาใจเรา 

มีคำพูดว่าใน ‘วิกฤต’ บางทีก็มี ‘โอกาส’
ครับ ผมมองในแง่ดีว่าการมีวิกฤตทำให้เราได้เห็นว่าเรามีลูกค้าเยอะแค่ไหน มีคนเข้ามาให้กำลังใจเยอะ ผมรับโทรศัพท์แทบจะไม่ไหว รับทั้งต่างประเทศ ต่างจังหวัด มีเจ้าของสินค้าที่เคยเจอวิกฤตแบบนี้โทร.มาให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ เขาเคยเจอเหมือนกันนะเมื่อปีนี้ ๆ เขาโทร.มาว่า เคยเจอปัญหาคล้าย ๆ กัน แต่ผมหนักกว่าตรงที่สื่อสมัยนี้เร็ว หนังสือพิมพ์ลงแค่หนึ่งฉบับ ทีวี 3,5,7,9 อ่านครบทุกช่องเลย แล้วลงติดต่อกัน 3-4 วัน ถึงแม้อ่านหัวข่าวแล้วปรากฏว่าข้างในไม่มีอะไร บางทีอ่านแค่หัวข่าว ข้างในข่าวไม่ได้อ่าน แต่ทุกคนตกใจไปหมดแล้ว 

กว่าที่คุณตันจะมาถึงจุดที่มีธุรกิจเป็นพันล้านแบบนี้ ชีวิตเริ่มจากศูนย์
พอเรียนจบมศ.3 อายุ 17 ปี ผมตัดสินใจออกมาทำงานเลย ผมเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง และมีจิตใจอยากเป็นนักธุรกิจ ตอนเด็ก ๆ เห็นคนทำงานแล้วอยากไปทำ เวลาปิดเทอมผมจะไปทำงานช่วยเสิร์ฟบะหมี่ ไปช่วยเขาลวกบะหมี่ ไปขายเฉาก๊วย เลี้ยงไก่ยังเคยเลย มีญาติของเพื่อนเขาเลี้ยงไก่ เราก็ขอไปดูไปช่วย ชอบทำงาน มีความสุข ในการทำงาน ไม่เคยคิดว่าเหนื่อย ทำได้เรื่อย ๆ 

ในวัย 17 ปี ก็ค่อนข้างคิดต่างจากวัยรุ่นทั่วไปแล้ว ซึ่งวัยเท่านี้ส่วนใหญ่กำลังเที่ยวเล่นเลยนะคะ
ผมเป็นคนรูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย เรียนไม่เก่ง ถ้าผมยังทำตัวเที่ยวเล่น วันนี้ผมก็แย่สิ สิ่งเดียวที่ผมมีคือต้องตั้งใจทำงานให้ดีกว่าคนอื่น...ตอนผมอายุ 17 ปี ผมรู้สึกว่าสู้เพื่อนไม่ได้ แพ้เพื่อนเด็ดขาดเลย ผมบอกเพื่อนว่า ผมไม่เรียนแล้ว ผมจะออกไปทำธุรกิจ อีก 10 ปีข้างหน้า ผมจะมาพบเพื่อน ๆ ใหม่ 10 ปียังไม่สาย เหมือนหนังจีนไหม ดูหนังมากไปหน่อย (ยิ้ม) แต่เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พออีก 10 ปี ผมกลับไปหาเพื่อน ๆ ที่สนิทกัน เพื่อนที่ผมรู้สึกว่าตอนนั้นเราสู้เขาไม่ได้ เราเป็นบ๊วยอยู่คนเดียวกลับไปก็ยังสู้เขาไม่ได้อยู่นะ (หัวเราะ) บางคนเขามีธุรกิจใหญ่กว่าผม แต่ว่าผมดีกว่าเดิมเยอะ วันที่ผมกลับไป ผมไม่ใช่ที่หนึ่งแต่ผมไม่ได้บ๊วยแล้ว ผมมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่อย่างน้อยถ้าวันนั้นผมไม่สู้ ผมไม่มีวันนี้

การที่ต้องทำมากกว่าคนอื่น ทำให้คุณตันผ่านการทำงานมาหลายอย่าง
การที่ไม่มีความรู้ทำให้ผมต้องทำทุกอย่าง ช่วงแรก ๆ ผมใช้แรงงานเป็นหลัก เป็นพนักงานแบกของ ส่งของ ผมไม่ได้ทำเพื่อเงินอย่างเดียว ทำเพราะถือว่าทำมากได้ประสบการณ์มาก

ผมเริ่มต้นการทำงานด้วยเงินเดือน 700 บาท ทำงานส่งของ แบกของมาเรื่อย ๆ จนมีโอกาสได้เป็นพนักงานขาย...พอผมออกจากการเป็นพนักงาน ธุรกิจแรกที่ผมเริ่มเอง คือแผงขายหนังสือพิมพ์ ช่วงแรก ๆ เหนื่อย เพราะเราแลกด้วยเหงื่อ เราไม่มีทุน พอออกมาเปิดแผงขายหนังสือ ผมนำเงินไปซื้อหนังสือรอบแรก หมดตัวตั้งแต่ 5 หมื่นแรกเลย เพราะฝนตกหนังสือเปียกน้ำทั้งหมด เจ๊งตั้งแต่วันที่ยังไม่เปิดร้าน แต่ผมไม่ยอมแพ้ เอาใหม่ ผมอยู่ได้ด้วยการทำงานมากกว่าคนอื่น ร้านขายหนังสือซ้ายขวาขายหนังสือน้อยกว่าผมเยอะ เขาขาย 8 ชั่วโมง ผมขาย 18 ชั่วโมง เขาตื่น 7 โมงเช้า แต่ตี 5 ผมตื่นมาขายแล้ว คุณปิด 2 ทุ่ม ผมปิดตี 2 ปิดแค่ 3 ชั่วโมง ลูกค้ามาผมก็ขาย ลูกค้าไม่มาผมเดินไปหาลูกค้า...หนทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จผมต้องทำงานให้มากกว่าคนอื่น เพราะความสำเร็จไม่ได้หล่นลงมาจากฟ้าแล้วเราออกไปเก็บได้ 

เพราะทำมากกว่าคนอื่น ทำให้เป็นเจ้าของธุรกิจได้เร็ว
ผมเขยิบมาเปิดร้านกิ๊ฟช็อป ร้านกาแฟ ร้านอาหาร แล้วก็มาทำธุรกิจเรียลเอสเตท...กำลังจะมีเงิน 100-200 ล้านบาท พอรัฐบาลประกาศค่าเงินบาทลอยตัว กลายเป็นผมมีหนี้ร้อยกว่าล้าน ตายตอนปี 2539 แต่ผมพยายามแก้ปัญหา ผมมีทั้งหนี้ธนาคารและหนี้นอกระบบ ค่อย ๆ แก้วิกฤต เจรจาประนอมหนี้ ค่อย ๆ ใช้หนี้ไป ผมเริ่มต้นใหม่ ผมว่าทุก ๆ ช่วงของชีวิตเหมือนฟ้าทดสอบเรา หรือถ้าพูดอีกแบบชีวิตมันมีวิกฤตอยู่ ว่าแต่จะเจอตอนไหน แล้วคุณจะยอมแพ้หรือเปล่า 

ตอนเปิดโออิชิสาขาแรกคุณตันก็ยังทำงานอยู่เบื้องหลัง
ตอนเปิดโออิชิวันแรกผมซ่อมก๊อกน้ำอยู่ในห้องน้ำ จะเห็นว่า 2-3 ปีแรกผมไม่เคยออกข่าว เป็นคนที่ดูแลงานเบื้องหลังมากกว่า คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา เขาเล่าให้ฟังว่า เจอผมครั้งแรกเห็นผมใส่ขาสั้นเช็ดโต๊ะอยู่ในร้าน ตอนนี้ไม่มี เวลาไปทำแล้ว ถึงไปทำก็ไม่มีประโยชน์เพราะมีคนทำอยู่แล้ว แต่ผมต้องพร้อมที่จะทำได้ เราบอกว่าห้องน้ำเหม็นใช่ไหม เราชี้ให้คนอื่นทำ ถ้าเรายังรู้สึกรังเกียจ เราจะไปเรียกให้คนอื่นทำไม่ได้หรอก ถ้าเรากล้าที่จะล้างห้องน้ำ ไม่มีใครไม่กล้าไม่ทำหรอก สมัยก่อนผมจะทำบ่อย แต่เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นต้องทำ แต่ผมพร้อมจะทำ ผมทำให้ได้

ทุกวันนี้ยังเสียเหงื่อกับการทำงานเหมือนเมื่อ 20 ปี ที่แล้วไหมคะ
ต่างกันครับ สมัยก่อนผมทำเอง มีลูกน้องไม่กี่คนแต่เดี๋ยวนี้เป็นมหาชน มีการบริหารที่เป็นระบบ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน ผมยังต้องทำงานอยู่ แต่ว่าหน้าที่บางอย่างไม่ต้องทำแล้ว เดี๋ยวนี้ทำงานเป็นทีมมากขึ้น ทำงานแบบมืออาชีพมากขึ้น...ถ้าเป็นเมื่อก่อนยังเป็นบริษัทเล็ก ๆ ถ้าทำแบบนี้ไม่ดี เพราะไม่คล่องตัวหรือถ้าเป็นบริษัทใหญ่แล้วผมยังทำแบบเดิมที่เคยทำ ก็ไม่ดี เพราะเรารู้คนเดียว และไม่มีแผนงานรองรับ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ แต่ตอนนี้งานจะถูกวางแผนทั้งปี เงินจะเข้าบริษัทเท่าไหร่ แล้วเราจะใช้เท่าไหร่ จะมีกำไรเท่าไหร่ มีตัววัดผลทุก 1 เดือน ทุก 3 เดือน ทำตามแผนงาน ถ้าไม่ทำตามแผนก็แก้

ตัน ภาสกรนที คนเก่ากับคนปัจจุบัน ณ วันนี้ เปลี่ยน ไปมาก-น้อยแค่ไหนคะ
ตัวผมยังเหมือนเดิม แต่งานไม่เหมือนเดิม ถามว่าผมอยากเป็นคนเดิมไหม อยากครับ แต่มันเป็นไม่ได้แล้ว ถามว่าชีวิตเปลี่ยนไหม คนเราจะมีชีวิตเหมือนเดิม ๆ เป็นไปไม่ได้หรอก ชีวิตผมเปลี่ยนครับ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากเป็นทุกอย่าง เพราะบางอย่างผมก็ไม่ได้อยากเป็น ผมไม่อยากเป็นคนดัง สมัยก่อนใส่ขาสั้น เดี๋ยวนี้ใส่ไม่ได้แล้ว ลูกน้องบอกว่าพี่ตันไม่ได้แล้วนะ เสื้อผ้าหยิบตัวไหนมาเถอะ มีแต่ลูกน้องซื้อให้ทั้งนั้น ผมชอบกินอาหารที่ขายริมถนน เดี๋ยวนี้พอไปกิน ลูกน้องก็จะบอกว่า... พี่ตัน อันตรายไปนั่งกินข้างถนนคนเดียว เดี๋ยวโดนเขาอุ้มหรอก หรือผมไปลาว ไปจัดงานอีเวนท์ จะไปเดินงานวัด แต่ลูกน้องไม่ให้ไปเดิน ก็ผมอยากไปน่ะ ผมบอกผมจะไป ปรากฏไปเรียกตำรวจมาเฝ้าผมเลยนะซ้ายขวา โอ๊ย...อะไรของมันวะ ในตัวไม่ได้มีอะไร กระเป๋าก็ไม่มี มีนาฬิกาเรือนเดียว คือเป็นคนเดิมไม่ได้ คนรอบข้างไม่อยากให้เป็น เขาคิดมากกัน (ยิ้ม) เพราะเรามีความรับผิดชอบเยอะ 

มีคำแนะนำอย่างไร กับประโยคที่บอกว่า...จุดเริ่มต้นของคุณตัน คือจุดที่ใคร ๆ ก็เริ่มต้นได้
ผมเชื่อว่าคนเรามีโอกาสเหมือนกัน เพียงแต่มันจะมาหาเรา เมื่อไหร่ บางคนโชคดีตั้งแต่ปีแรก บางคนทำงานแป๊บเดียวก็ดี บางคนทำงาน 5 ปียังไม่ดี บางคนขยันและประหยัดมา 10 ปียังไม่เห็นผลเลย แต่มันอาจจะไปเห็นผลปีที่ 11 บางคนทำ 20 ปีจึงจะเห็นผล โอกาสจะมาหาเราเมื่อไหร่ ไม่รู้ แต่ถ้าวันหนึ่งโอกาสมาแล้วเราไม่พร้อม เราก็พลาดโอกาส หรือวันนี้อะไรก็ดี แต่คุณทำตัวเหลวไหล มันก็สายไปแล้ว ทุกคนต้องพร้อม ต้องมีความหวัง ความพยายามต้องใหญ่ ความทุ่มเทต้องเยอะ คิดแล้วต้องลงมือทำ มีคนทำแต่ไม่คิด อันนี้เจ๊งแหง ๆ หรือคิดแล้วไม่ได้ทำ แม้แต่คิดว่าจะประสบความสำเร็จมันยังไม่มีเลย ต้องคิดดีแล้วลงมือทำทันที ชีวิตคนเราไม่แน่ไม่นอน มีขึ้นมีลง แต่ได้ดีแล้วอย่าลืมตัว เวลาเจอปัญหาอย่าท้อแท้ ผมว่าทุกคนทำได้

ผมเชื่อว่าไม่ว่าฟ้าจะผ่า ฟ้าจะร้อง สักวันหนึ่ง คุณก็ได้ดี เพราะหลาย ๆ ธุรกิจที่มีโอกาส ผมได้มาเพราะตรงนี้ ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดีนะ แต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เป็นคนชั่ว หลายธุรกิจที่เขาให้โอกาสผม เขาเห็นว่าผมเป็นคนขยัน เป็นคนไม่เที่ยว ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ก็เลยสนับสนุนผม ผมอยากฝากถึงคนรุ่นใหม่ว่าถึงคุณจะขยันมาก คุณจะเก่งมาก คุณจะพยายามมาก ที่สำคัญอย่าลืมเป็นคนดีด้วย เพราะคนดีวันหนึ่งจะมีความหมาย คนเราทุกคนถ้าคุณถึงจุดจุดหนึ่งคุณอยากจะทำอะไรดี ๆ ถามว่าแล้วคุณจะทำให้กับใคร ก็ต้องอยากทำให้กับคนดี ๆ ถามผมว่าผมอยากจะช่วยเหลือใคร ผมก็ต้องอยากช่วยเหลือ คนดี ๆ ใครจะไปอยากช่วยเหลือคนที่มันไม่ดี

เราย้อนกลับไปเปิดหนังสือ ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน ที่ถือไปให้เจ้าของเรื่องราวได้เซ็นชื่อให้ เหนือลายเซ็นของเขา ข้อความ นั้นเขียนไว้ว่า...ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้

อย่างที่เขาเอ่ยกับเราว่า...แท้จริงแล้วทุกคนมีต้นทุน อยู่ในตัว ตัน ภาสกรนที จึงเป็นอีกหนึ่งชีวิตของคนสู้งาน ที่ยืนยันว่าความสำเร็จไม่ได้หล่นจากฟ้า แต่มาจากสมอง สองมือ และหนึ่งใจที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจของตัวเราเอง...ที่เกิดกับใครก็ได้
ผมยอมเป็นถังขยะ เพราะในถังขยะเต็มไปด้วยความลับ และความรู้ ที่หาที่อื่นไม่ได้ ประสบการณ์ที่ได้รับ ทำให้ผมสอนลูกน้อง หลายคนว่า ถ้าคุณยังทำงานไม่เต็มที่ในวันนี้ ต่อไปเมื่อไปทำธุรกิจ ของตัวเอง ถึงจะคิดว่าเต็มที่ก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะการทำงานเต็มที่ ต้องสร้างสม จนเคยชิน จนกลายเป็นนิสัย ที่ผมประสบความสำเร็จ ในวันนี้เพราะ ตอนที่ผมทำงานให้กับคนอื่น ผมก็ทำเต็มที่ ทำจนเป็นนิสัย ถ้าคุณไม่เต็มที่ ตอนเป็นลูกน้อง วันที่คุณเป็นนายจ้าง คุณก็ไม่รู้หรอกว่าการทำงาน เต็มที่ต้องทำอย่างไร
นี่คือประโยคที่ ตัน ภาสกรนที ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ใช้สอนลูกน้อง ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยผ่านงานทุกแผนกของ ราชธานีเมโทร จนต้องเรียก ตัวเองว่าเป็นหน่วยงาน สสส. ซึ่งย่อมาจาก เสือกสม่ำเสมอ พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า


คนเราถ้าทำงานอยู่อย่างเดียว แผนกเดียว ทำงานตามหน้าที่ก็รู้อยู่แค่นั้น แต่ถ้าเราไปทำงานในแผนกอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา หรือที่เรียกว่าเสือกทำนั้น แม้ว่าจะไม่ได้เงิน แต่เราก็ได้ประสบการณ์ซึ่งประเมินค่าเป็นตัวเงินไม่ได้
สิ่งหนึ่งที่ตันยึดปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ คือ การให้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อสังคมไทยที่เราไม่ควรจะละเลย โดยส่วนตัวแล้วที่สุขสบายก็จะให้ลูกน้องทุกคนมีความสุข มีความสบายให้ได้เช่นกัน หลายสิ่งหลายอย่างในความเชื่อบนโลกแห่งนี้ไม่ค่อยเชื่อหรือใส่ใจกับมันมากนัก
ตัน บอกว่า วันนี้ได้ค้นพบสัจธรรม ๒ เรื่อง คือ จากความเชื่อที่ว่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ เพียงแค่ไม่กี่วันจากนั้น ตนเองก็ได้ค้นพบสัจธรรมใหม่ ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่เราคิด ดังนั้นทุกอย่างเป็นไปได้หากเรามุ่งมั่น ระมัดระวังแต่ไม่ระแวง ด้วยความเชื่อที่ว่า ปัญหา ในโลกนี้มีไว้ แก้ไข
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เป็นคนแขวนพระเครื่องเหมือนกับชาวพุทธทั่วไป คือ พระหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ กับพระเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ที่ได้แขวนติดตัวมาแล้วกว่าสิบปี การแขวนพระเครื่องจริงๆ เป็นการแขวนเหมือนชาวพุทธคนอื่นๆ ที่เป็นเครื่องประดับประจำตัวก็ไม่ผิด แต่ไม่ได้แขวนเพราะต้องการให้เกิดปาฏิหาริย์ แคล้วคลาดใดๆ ทั้งสิ้น และด้วยเป็นคนที่เหงื่อออกง่าย การแขวนพระเครื่องจึงไม่ค่อยสะดวกมากนัก ทำให้ทุกวันนี้ได้นำพระเครื่องสององค์เก็บไว้ในเซฟมาหลายปีแล้วเหมือนกัน

หลวงปู่ทวด หรือท่านเจ้าคุณนรฯ ผมถือว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระที่ผมเคารพนับถือศรัทธาท่านเช่นเดียวกับชาวพุทธทั่วไป ในใจแม้จะไม่ได้แขวนองค์ท่านก็ตาม แต่ก็มีท่านอยู่ในใจตลอดเวลา ผมไม่ได้แขวนองค์ท่านแล้วต้องให้ท่านคุ้มครองความปลอดภัย และผมก็ไม่ได้คาดหวังให้หลวงปู่ทวดหรือท่านเจ้าคุณนรฯ มาดลบันดาลให้เกิดปาฏิหาริย์อะไร ผมมีท่านในใจอย่างน้อยมันก็ย้ำเตือนให้ผมเป็นคนดี ทำแต่ความดีเท่านั้น นี่คือจุดประสงค์การแขวนพระของตัน
แม้จะเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับหรือสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเฉียดตาย แต่อย่างน้อยเจ้าพ่อโออิชิคนนี้ก็ยังให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนชื่อสกุลเช่นกัน เมื่อครั้งหนึ่งที่ต้องการเปลี่ยนแซ่ตั๊ง ก็ได้เดินทางไปกับภรรยา (สุนิสา สุขพันธุ์ถาวร) ไปหาหมอดูเพื่อให้ตั้งชื่อสกุลให้ ระหว่างนั้นหมอดูก็ได้ดูดวงประกอบกันแล้ว ก็ได้นำชื่อสกุลตัวอย่างมาให้ดูประมาณ ๔-๕ ชื่อ ในที่สุดก็เลือกชื่อ ภาสกรนที

นอกจากนี้แล้วยังมีความเชื่อในเรื่องของภาษาจีนที่อ่านว่า ฮก ที่มีคนบอกว่า หากนำมาติดไว้ที่บ้านก็จะทำให้โชคดี มีวาสนา และทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง จึงได้นำมาติดไว้บริเวณประตูเข้าบ้าน
ตัน บอกว่า ความเชื่อเหล่านี้เป็นการทำให้เราเกิดเป็นความสบายใจ สุขใจที่ได้เข้ามาในบ้านมากกว่า และชีวิตส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ยึดติดกับศาสตร์ที่เป็นฮวงจุ้ย ฤกษ์ยามใดๆ อย่างเปิดร้าน เปิดบริษัทก็ไม่เคยดูฤกษ์ แต่จะใช้ฤกษ์สะดวกบวกกับตัวเลขสวย เช่น วันที่เก้าเดือนเก้า วันที่ห้าเดือนห้า ฯลฯ
ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรมด้วย พร้อมกับยืนยันว่า กฎแห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาติที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวของเราเอง แม้ไม่อาจจะพิสูจน์ ได้ในทุกกรณีเราก็ไม่ได้ไปลบหลู่อะไร เพราะเมื่อคนเราเชื่อมั่น ในกฎแห่งกรรม ทำให้เชื่อว่าคนเราเชื่อที่จะพยายามสร้างแต่กรรมดี หลีกหนีกรรมชั่ว แม้จะไม่มีใคร รู้เห็นก็ตาม แต่หากเราได้ตั้งใจสะสมแต่ความดีเอาไว้มากเท่าไร ก็จะทำให้เราได้ช่วยกัน จรรโลง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น และความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา
ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน มีทั้งดีและร้าย เช่น โอกาสจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เข้ามาแล้ว คนเราจะไขว่คว้ากันได้มาก หรือนานแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายๆ ที่ต้องเข้ามาสลับกันไปกับชีวิตคนเราเหมือนผ่านภูเขาลูกหนึ่งไปแล้วก็จะพบภูเขาที่สูงกว่าเดิม ไม่ต่างจากฟ้าหลังฝนที่จะพบกับความสดใส แต่ก็ไม่แน่เสมอไปที่ฟ้าหลังฝนอาจเจอพายุที่ใหญ่กว่าเดิมก็ได้ ดังนั้นเราจึงจะเห็นว่าชีวิตเราไม่มีอะไรแน่นอน และสิ่งสำคัญเราอย่าไปยอมแพ้กับอุปสรรคต่างๆ เท่านี้ก็น่าจะเป็นเพียงพอ
ผมอยากให้ทุกคนมีความหวังเพราะความหวัง จะทำให้ชีวิตของเราเดินหน้าอย่างมีพลัง การถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิต ของผมที่ออกมาเป็นหนังสือ ชีวิตนี้ไม่มีทางตันครั้งนี้ นอกจากต้องการถ่ายทอดกรณีศึกษาทางธุรกิจ ให้กับคนที่เริ่มต้นหรืออยู่ระหว่างการทำธุรกิจแล้ว ผมอยากให้ทุกคนมี กำลังใจ ในการต่อสู้ มีความหวัง เชื่อมั่นว่าวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้ อย่าเชื่อว่าจุดเริ่มต้นของชีวิตจะเป็นคำตอบว่า ปลายทางของชีวิตจะเป็นเช่นไร เรากำหนดจุดเริ่มต้นไม่ได้ แต่เส้นทางชีวิตนับจากจุดเริ่มต้นเป็นต้นไป เราสามารถเลือกได้ เจ้าพ่อโออิชิ กล่าวทิ้งท้าย


ตัน ภาสกรนที

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Tan Passakornnatee.jpg
ตัน ภาสกรนที (4 เมษายน พ.ศ. 2502 - ) เป็นนักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม เขาขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในพ.ศ. 2551 [1] และภายหลังประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการโออิชิ กรุ๊ปโดยจะมีผลในเดือนกันยายน 2553 [2]
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553 เมื่อ ตัน อำลาจาก บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ ตัน ก็ได้สร้างบริษัทขึ้นใหม่ชื่อว่า บริษัท ตันไม่ตัน จำกัด โดย ตัน ภาสกรนที ให้คำมั่นสัญญาในการทำบริษัทนึ้ว่า [3] "ในการเริ่มต้นธุรกิจของบริษัท ไม่ตัน จำกัดครั้งนี้ เงินปันผลของบริษัทในส่วนที่ผมและคุณอิง ภรรยาของผมถือหุ้นอยู่ ผมขอแบ่งเงินปันผลนี้ 50% ให้กับมูลนิธิตันปัน ตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการเป็นต้นไป จนเมื่อผมอายุครบ 60 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ. 2562 ผมจะเพิ่มเงินบริจาคไม่ต่ำกว่า 90% ให้กับมูลนิธิตันปันตลอดไปเพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม"

[แก้]ประวัติ

ตัน ภาสกรนที เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2502 ในครอบครัวชาวไทยเชื้อสายจีน ที่มีฐานะปานกลาง ที่บิดาอพยพมาจากประเทศจีน และได้ตั้งรกรากที่จังหวัดชลบุรี ตันจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเริ่มทำงานแรกเป็นพนักงานแบกของ เริ่มต้นค่าแรงในการทำงาน 700 บาท และหันมาทำอาชีพพ่อค้าแผงหนังสือที่ชลบุรี และได้เริ่มต้นซื้อห้องแถวขยายกิจการจนเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์[4]
ตัน เริ่มต้นธุรกิจ “โออิชิ” ภัตตาคารบุปเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น และมีธุรกิจอื่นๆ เช่น สตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน จนกระทั่ง มาทำธุรกิจเครื่องดื่ม คือ ชาเขียวโออิชิ และอะมิโน โอเค
ปัจจุบันสมรสกับ อิง สุนิสา ภาสกรนที (สกุลเดิม: สุขพันธุ์ถาวร) หลังจากแยกทางจากภรรยาคนแรก และมีลูก 3 คน : กิ๊ฟ วริษา (เกิดกับภรรยาคนแรก) , เก็ท และ ใกล้ใกล้

[แก้]หลังจากออกจากโออิชิ

ตัน ได้สร้างธุรกิจใหม่ ได้แก่ Melt Me, Yes R&B, Ramen Champian ตั้งอยู่ที่กลางซอยทองหล่อ 10 และ ได้หวนคืนธุรกิจเครื่องดื่มอีกครั้ง โดยใช้ชื่อว่า Double Drink น้ำดื่มผลไม้ และชาเขียวอิชิตันนอกจากนี้ เขายังมีผลงานร่วมกับอุดม แต้พานิช ในรูปแบบของการตลาดที่หลากหลาย[5]

เรียบเรียง : http://www.ruengdd.com