20 หนังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว

ซึ่งก่อนอื่นคงขอเกริ่นถึงเรื่องราวของที่มาของการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวกันเสียสักหน่อย ก็ขอยกข้อมูลตามที่ผมได้หาข้อมูลนำมาบอกต่อกันแล้วกัน ชาวยิวเนี่ยเดิมทีก็มีสถานะไม่ต่างจากชาวโรฮิงญาที่เป็นข่าวอยู่ไม่นานนี้ในบ้านเรา พวกเขาไม่ได้ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นคนสัญชาติอะไร เชื้อชาติก็ปะปนกันไปในยุโรปจนจับต้นชนปลายไม่ได้ และที่แน่ๆพวกเขาไม่มีประเทศเป็นของตนเอง กระจายตัวอยู่ทั่วไปในยุโรปและที่มากที่สุดก็จะเป็นเยอรมันเมืองเบียร์หวานไส้กรอกดังนั่นเอง ประชากรเชื้อสายยิวนั้นมีมากจนกระทั่งแทบจะกลืนคนสัญชาติเยอรมันแท้ๆด้วยซ้ำไป และได้เริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมืองของเยอรมันอีกด้วย จนกระทั่งการเข้ายึดอำนาจของฮิตเลอร์ผู้ซึ่งมีนโยบายในการรวมยุโรปเป็นหนึ่งเดียวและแน่นอนเขามองว่าพวกชาวยิวนี้มีมากเกินไปและเป็นปัญหาในเยอรมัน เขาให้ข้ออ้างนี้ในการกำจัดชาวยิวเพื่อทวงประเทศของตนคืนมา ชาวยิวต้องลมหายตายจากไปด้วยกุศโลบายนี้หลายล้านคน การสร้างค่ายกักกั้นและโฆษณาชวนเชื้อให้พวกชาวยิวออกมาเข้าค่าย แท้จริงแล้วคือค่ายนรกที่หดหู่และค่ายแห่งความสิ้นหวัง มีน้อยคนมากที่สามารถรอดออกมาจากค่ายโหดนี้หลังจากการล้มสลายของจักรวรรดินาซี
มาถึงในโลกของภาพยนตร์ล้วนทำออกมาในแนวทางสะท้อนถึงเรื่องราวความโหดร้ายนี้ออกมาอย่างเศร้าสลด หดหู่ ต่อชะตากรรมของชาวยิวทั้งหลายที่เกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปยุโรป ซึ่งภาพยนตร์หลายเรื่องได้เค้าโครง หรือแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงทั้งสิ้น หากพูดถึงภาพยนตร์แนวนี้ก็มีอยู่มากมาย หลายคนคงนึกถึง The Pianist (2002) หรือไม่ก็ Schindler's List (1993) เป็นเรื่องแรกๆแน่ๆ แต่ก็ยังมีภาพยนตร์เรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่องที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของการสังหารโหดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวไว้ได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้กัน ลองไปหามาดูมาชมกัน แล้วมาพูดคุยกัน หรือใครมีเรื่องอื่นๆที่ผมยังไม่เคยชมก็แนะนำกันมา จะยินดีมากๆเลยครับ และหากถูกใจลิสต์หนังแบบนี้อีกก็อย่าลืมกดแชร์ กดไลค์เป็นกำลังใจให้แอดมินทำโพสต์ลิสต์หนังแนวอื่นๆออกมาอีกน่ะครับ

ภาพประกอบนี้เป็นหนึ่งในการสื่อความระดับคลาสสิคจากภาพยนตร์เรื่อง Schindler's List (1993) ภาพเด็กหญิงในชุดสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของการนองเลือดที่ไม่ละเว้นแม้กระทั่งเด็กไร้เดียงสา ซึ่งนี้เป็นหนึ่งในฉากที่ดูแล้วหดหู่สะเทือนใจไม่น้อย และถ้าคุณพร้อมจะรับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้วลออ่านต่อไปได้เลย ยังมีภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของโศกนาฏรรมในครั้งนั่นไว้ได้ดีไม่แพ้กันครับ

Defiance (2008)

เป็นไปตามสไตล์เดิมๆของหนังแนวนี้ที่ดูแล้วรู้สึกเกลียดสงคราม เกลียดนาซี เกลียดนโยบายการกวาดล้างชาวยิวของฮิตเลอร์ไปจนเครียดแค้นท่านผู้นำหนวดจิ๋มอีกด้วย ก็จะไม่ให้โกรธเกลียดได้อย่างไรในเมื่อต้องมีผู้คนล้มตายไปเป็นล้านๆคนโดยเฉพาะชาวยิวที่ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใดในยุโรปเมื่อพวกทหารนาซีเข้ายึกครองประเทศนั้นได้ ก็จะตามล่ากวาดล้างชาวยิวในประเทศนั้นๆ ทันที ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องเป็นกลุ่มชาวยิวในเบลารุสที่หลบหนีการไล่ล่าของพวกทหารนาซีมารวมตัวกันในป่าโดยมีกลุ่มพี่น้อง Bielski เป็นแกนนำและเป็นกลุ่มใต้ดินที่ค่อยตอบโต้พวกนาซีกลับไปบ้าง 

ค่อยปล้นสะดมเสบียงอาหารของพวกเยอรมันเพื่อนำมาหล่อเลี้ยงกลุ่มผู้อพยพ โดยกลุ่มชาวยิวเหล่านี้ต้องแอบอยู่ในป่าอย่างยากลำบาก หนังเดินเรื่องอย่างเรียบง่ายไม่ได้มีอะไรซับซ้อนตามแบบฉบับหนังเชิงประวัตศาสตร์ ทั่วไปโดยรวมถือว่าดูได้เรื่อยๆสร้างความน่าติดตามได้ดีด้วยปมดราม่าของพี่น้อง Bielski ที่มีแนวความคิดและอุดมการณ์แตกต่างกัน ด้วยทูเวียพี่ใหญ่นั่นต้องการที่จะหลบหนีไปเรื่อยและช่วยเหลือทุกคนที่หลบหนีมาแต่นั้นก็ทำให้แคมป์พักนั้นแออัดเกินไปสเบียงก็ไม่เพียงพอ ส่วนซูสน้องชายนั้นต้องการรวมกำลังเพื่อตอบโต้เหล่าทหารนาซีที่เข้ามารุกรานพวกตนมากกว่าการหลบหนีแบบนี้ไปเรื่อยๆและรอวันตายทั้งจากการตามล่าและโรคภัย ความอดอยากและภัยธรรมชาติ แต่จะเห็นได้ว่าไม่ว่าอุดมการณ์ใดของพี่น้อง Bielski ปลายทางมีแต่จะเห็นแต่ความสูญเสียซึ่งหนีแหละเป็นคำตอบของสงครามที่มอบให้แก่ผู้ที่โชคร้ายในยุคนั้น

Black book (2006)

หนังใส่เรื่องราวของการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ ชาวยิวไว้ในบริบทของภาพยนตร์อย่างครบถ้วน ซึ่งเหตุการณ์ในภาพยนตร์เป็นช่วงที่ทหารนาซีกำลังเข้ากวดต้อนเชลยชาวยิวใน ฮอลแลนด์ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆก่อนที่ทางเยอรมันจะประกาศยอมแพ้สงคราม หนังจากประเทศฮอลแลนด์เรื่องนี้จึงใช้ดารานักแสดงชาวดัชทั้งหมดแม้จะไม่คุ้น หน้าคุ้นตากับเหล่านักแสดงเท่าใดนัก แต่สำหรับผู้กำกับ Paul Verhoeven ที่โด่งดังระดับฮอลลีวู้ดนั

เราคงรู้จักกันดีซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังหนัง ออกมาสนุกสนานและเดินเรื่องน่าติดตามมากๆ แม้จะอ่อนในเรื่องของประเด็นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวแต่ก็หนักแน่นไปด้วย เนื้อหาที่น่าสนใจและการแสดงอันทรงพลังของนักแสดงนำหญิง ที่ต้องบอกว่าเธอทุ่มสุดตัวและเธอแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ ดูเป็นธรรมชาติดี หนังใส่ความเป็นละครดราม่ารักๆใคร่ๆอารมณ์ประมาณสายลับสายแอบหลงรักศัตรูผู้ ที่จิตใจดี มันเหมือนกลับแกล้มชั่นดีที่ค่อยตัดเบรคความตึงเครียดของการหักหลังและสภาวะ สงครามในเรื่องทำให้หนังมีมิติมากขึ้นไม่เครียดจนเกินไ

The Counterfeiters (2007)

เรื่องราวของซาโลมอน แซลลี่ นักปลอมแปลงธนบัตร ชาวยิวขณะอยู่ในค่ายกักกันเชลยชาวยิว เขาได้ถูกนำตัวไปใช้ในการปฏิบัติการเบรินฮาด ด้วยความสามารถในการปลอมธนบัตรของเขา นาซีบังคับให้เขาปลอมเงินปอนด์ของอังกฤษและเหรียญสหรัฐเมื่อที่จะใช้ทำลายระบบเศรษฐกิจของ 2 ประเทศมหาอำนาจในขณะนั้น แต่ซาโลมอนก็ได้พยามใช้ความสามารถของเขาเพื่อนยุติปฏิบัติการเบิรนฮาดนี้ หนังมีความสนุกตื่นเต้นใช้ได้ หนังความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยในการเลือกเล่าเรื่องราวผ่านภารกิจเบรินฮาดของพวกนาซีเพราะยังไม่มีหนังเรื่องไหนพูดถึงและส่วนอื่นก็เป็นเรื่องราวทั่วๆไปในค่ายกักกัน ผู้คุมที่โหดร้ายกดขี่เชลย สภาพความเป็นอยู่ที่แออัดคับแคบ

Sarah's Key (2011)

หนังสร้างจากนวนิยายขายดีเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสเมื่อปี 1942 ชาวยิว จำนวน 8,000 คน ถูกนาซีเยอรมันจับตัวส่งเข้าค่ายกักกัน ก่อนออกจากอพาร์ตเมนต์ ซาราห์เด็กสาววัยกำลังซนได้ซ่อนตัวน้องชายในห้องลับพร้อมกับล็อคกุญแจไว้ และหวังว่าเธอจะสามารถหนีจากค่ายกลับมาบ้านเพื่อไขกุญแจให้น้องชายเธอออกมาจากที่ซ้อนได้ แต่ถ้าว่ามันก็สายเกินไปเสียแล้ว หนังพาเรากลับสู่ยุคปัจจุบันในปารีส เล่าเรื่องราวผ่านนักข่าวสาวชาวอเมริกันซึ่งได้รับมอบหมายให้เขียนสารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ชาวยิวในปี 1942 เธอย้ายเข้ามาพักในอพาร์ตเมนต์เก่าของซาราห์ ซึ่งร่องรอยบางอย่างในห้องนี้ชวนให้นักข่าวสาวนั่นหาคำตอบว่าอะไรเกิดขึ้นกันแน่กับซาราห์และน้องชาย ตัวหนังเล่าเรืองค่อนข้างสนุกและน่าติดตามถ่ายทอดความยากลำบากในยุคนั้นและปมตราบาปที่ติดตัวตลอดไปซึ่งมันก็เป็นผลกระทบจากสงครามนั้นเอง

Life Is Beautiful (1997)

ภาพยนตร์จากประเทศอิตาลีที่พูดถึงชาวยิวในอิตาลี เรื่องราวของกุยโดชาวยิวในอิตาลี ที่ชีวิตดูจะสดใสและมีความสุขตามประสาชนชั้นกลางกับร้านหนังสือเล็กๆของเขา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์กวาดล้างเผ่าพันธุ์ยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยนาซีเยอรมนีซึ่งครอบครัวของกุยโดก็ต้องย้ายไปอยู่ในค่ายกักกัน กุยโดพยายามรักษาภาพอันสวยงามให้กับลูกชายในภาวะเหตุการณ์ที่เลวร้ายแบบนี้ โดยเขาค่อยโกหกลูกชายเพื่อสร้างความทรงจำที่สวยงามแก่เด็กน้อยแม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะต้องไปเข้าห้องรมแก๊สก็ตาม ฉากนี้เรียกได้ว่าเป็นฉากที่สะเทือนอารมณ์คนดูเป็นที่สุด หนังเดินเรื่องได้ซาบซึ้งและตราตึงในมาก และการแสดงอันยอดเยี่ยมของตัวละครทำให้เรามีอารมณ์ร่วมไปกับภาพยนตร์ เชื่อว่าเป็นหนังที่ทำให้ใครหลายๆคนต้องเสียน้ำตา
Night and Fog (1956)

ลองมาชมแนวสารคดีขนาดสั้นกันบ้าง สำหรับเรื่องนี้ความน่าสนใจอยู่ที่การนำภาพและฟุตเทจจริงของทหารนาซีและเชลยชาวยิว หนังพาเราไปสำรวจค่ายค่ายเอาชวิตซ์ –เบียร์เคเนาตัดสลับภาพปัจจุบันและเหตุการณ์จริงจากฟุตเทจวีดีโอที่มี หนังจึงค่อนข้างสร้างความร็สึกให้กันคนดูเพราะแน่นอนว่าสิ่งที่เราได้เห็นได้ดูมันคือเรื่องจริงภาพจริงเหตุการณ์จริงโดยไม่ได้มีการแต่งเติมอะไร ต้องบอกว่าครั้งแรกที่ได้ชอบคือสะเทือนอารมณ์และเกลียดนาซีมาก

Son of Saul (2015)

ชื่นชมในเทคนิคที่หนังเรื่องนี้เลือกมาใช้ในการเล่าเรื่องราว ทั้งภาพแบบอัตราส่วน 4 : 3 และมุมกล้องแบบบุคคลที่ 3 ที่โคสอัพเข้ามาใกล้ชนิดที่เหมือนได้เกาะหลังตัวละครนำและเฝ้าดูความเป็นไปของเขาตลอดทั้งเรื่อง มันทำให้รู้สึกเหมือนได้อยู่ในค่ายกักกันเชลยชาวยิวอย่างแท้จริง ทั้งอารมณ์และโทนหม่นๆของหนังที่ชวนอึดอัดและกดดันความรู้สึกเราได้เป็นอย่างดี เหมือนเราได้เป็นหน่วย sonderkommando ที่ค่อยทำหน้าที่พาเชลยชาวยิวเข้าห้องรมแก๊สและจัดการเผาศพพวกเขา ตัวหนังค่อนข้างจริงไม่มีฉากกระตุ้นหรือปลุกเร้าอารมณ์คนดูให้ตื่นตัว ไม่มีฉากฟูมฟายขยี้อารมณ์ดราม่าในการสูญเสียของเฉลยชาวยิว ไม่มีฉากยิงเป้ารมแก๊สกันแบบชัดเจน แต่เราก็รู้สึกได้ถึงความหดหู่และการสูญเสียได้แบบไม่รู้ตัว

Schindler's List (1993)

สำหรับเรื่องนี้เป็นหนึ่งในตำนานของภาพยนตร์แนวนี้อย่างแท้จริง หนังถ่ายทอดความหดหู่ความสิ้นหวัง และความโหดร้ายของสงครามที่เกิดต่อพวกชาวยิวออกมาได้อย่างกลมกล่อมมีทั้งเศร้าสะเทือนอารมณ์และซึ้งกินใจ ซึ้งหนังสามารถสร้างอินเนอร์ร่วมแก่ผู้ชมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านเรื่องราวของ Oskar Schindler นักธุรกิจหน้าเลือดชาวเยอรมันที่ภายหลังความโหดร้ายของสงครามเปลี่ยนให้เขากลับมาเห็นอกเห็นใจต่อชาวยิวที่โดนกดขี่ข่มเหงจากพวกทหารนาซี เขาทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องคนงานชาวยิวของเขา หนังนำเสนอออกมาในสไตล์ฟิล์มนัวร์และเล่าเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยแทรกสัญลักษณ์ต่างๆในการสื่อสารกับคนดู ตัวหนังค่อนข้างยาวแต่ก็สามารถดึงความสนใจของคนดูได้อย่างดีเยี่ยม เชื่อว่าคงเป็นหนังขึ้นหิ้งของใครหลายๆคนอย่างแน่นอน

The Boy in the Striped Pajamas (2008)

สงครามไม่เคยทิ้งอะไรไว้ให้และพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากมนุษย์ไม่ละเว้นแม้เด็กหรือสตรี คนชรา หนังเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องหนังที่ถ่ายทอดเรื่องราวผลกระทบจากสงครามออกมาได้อย่างสะเทือนใจมาก อาจจะด้วยมีชะตากรรมของเด็กไร้เดียงสาเป็นตัวเดินเรื่องหลักซึ่งถือเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการสร้างความสะเทือนใจและอินเนอร์ของคนดูให้มีอารมณ์ร่วมไปกับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี มันไม่ใช่เพียงผลกระทบที่มีต่อชาวยิวและคนที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้แม้กระทั่งสงครามคืออะไร ก็พลอยได้รับผลกระทบนี้ไปด้วย เรื่องของมิตรภาพเด็ก 2 คน คนหนึ่งเป็นชาวยิวในค่ายกักกั้นและอีกคนเป็นลูกนายทหารนาซีผู้คุ้มค่ายนั่นเอง ที่บทสรุปท้ายเรื่องนั่นทำให้ใครก็ตามที่ได้ชมหนังเรื่องนี้รู้สึกจุกในความรู้สึกจนพูดไม่ออกถึงความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว และนอกจากในรูปแบบภาพยนตร์จะทำออกมาได้ดียังมีหนังสือในชื่อเดียวกันนี้ที่บรรดาหนอนหนังสือต่างยกให้ว่าหดหู่และสะเทือนใจไม่แพ้กัน


The Pianist (2002)

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นที่สุดของหนังแนวนี้เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยการเล่าเรื่องราวตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งนาซีบุกโปแลนด์ การรวมตัวกันต่อต้านนาซี จนกระทั่งยอมจำนวนและถูกเกณฑ์ไปอยู่ในค่ายกักกัน หนังนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดผ่านชะตากรรมของนักดนตรีชาวยิวในโปแลนด์ ที่ต้องเผชิญต่อภาวะสงคราม ชีวิตที่สิ้นหวัง หนังถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และการแสดงที่หนักแน่นของนักแสดงนำ องค์ประกอบของฉากที่ถ่ายทอดความสิ้นหวัง ภาพความอดยาก การกดขี่ข่มเหงของทหารนาซี และซากปรักหักพังของตึกรามบ้านช่อง มนทำให้ใครก็ตามที่ได้ดูหนังเรื่องนี้อดที่จะหดหู่และเศร้าใจไปกับโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ไม่ได้จึง ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดทั้งรางวัลและเป็นหนังโปรดของใครหลายๆ คน

The Round Up (2010)

เรื่องราวในช่วงที่ฝรั่งเศสยอมจำนนต่อเยอรมัน ฝรั่งเศสเลือกเปิดประเทศให้ทหารนาซียกทัพผ่านได้อย่างสะดวกเพื่อลดการสูญเสีย นั่นเท่ากับว่ารัฐบาลฝรั่งเศสก็จำเป็นจะต้องสนองนโยบาลของฮิตเลอร์โดนเกณฑ์ชาวยิวไปอยู่ในค่ายกักกัน หนังได้เล่าถึงเหตุการณ์การกวาดต้อนชาวยิวในครั้งนี้ไว้อย่างน่าหดหู่มากๆ ซึ่งชาวฝรั่งเศสเองต่างก็เห็นอกเห็นใจและแอบพยามช่วยเหลือชาวยิวเหล่านั้น หนังจึงออกมาในทรงหนังค่อนข้างดราม่า และเต็มไปด้วยฉากที่สะเทือนใจอาจจะไม่ดูรุนแรงโหดร้ายแต่ก็เป็นตราบาปของผู้นำรัฐบาลฝรั่งเศสในยุคนั้นที่เลือกยอมจำนนต่อฮิตเลอร์และส่งมอบคนชาติเดียวกันไปตาย


Triumph of the Spirit (1989)

สำหรับเรื่องนี้เป็นหนังที่ได้เค้าโครงเรื่องมาจากเรื่องราวของอดีตนักมวยโอลิมปิก Salamo Arouch จากกรีกที่มีเชื้อสายยิว แต่แล้วเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 มาถึง เขาถูกจับและถูกเกณฑ์ไปยังค่ายกักกัน Auschwitz ที่นั่นทำให้เขาได้ชกมวยอีกครั้งแต่เป็นการชกเพื่อสร้างความบันเทิงแก่เหล่าผู้คุมและทหารนาซีเพื่อแลกกันการมีชีวิตต่อไป หนังค่อนข้างดราม่าสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ของเชลยชาวยิวในค่ายกักกันสุดโหดนี้ได้อย่างหดหู่และน่าเห็นใจมากๆหนังเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตามและสร้างความผูกพันธ์กับตัวละครได้เป็นอย่างดี มุมกล้องและโทนสีที่ดูมืดๆของหนังมันทำให้คนดูมีความรู้สึกที่คล้อยตามไปกับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี


Europa Europa (1990)

เรื่องราวของเด็กหนุ่มเชื้อสายยิวในเยอรมันที่ต้องปกปิดความเป็นยิวของตนเพื่อเอาตัวรอด จากการถูกกักตัวในค่ายกักกันเชลยศึก เนื่องด้วยเขาดูรูปลักภายนอกไม่ได้มีความเป็นชาวยิวเท่าไหร่หนักเขาตกไปอยู่ท่ามกลางพวกนาซี เขาพยายามสวมรอยทำตัวให้กลมกลืนจนกระทั่งกลายเป็นหนึ่งในทหารเยาวชมของนาซี ซึ่งตลอดระยะเวลาเขาต้องเผชิญกับความกดดัน ความอดทนและหลายครั้งที่เขาเกือบจะถูกจับได้ เขาต้องแสร้งทำตัวเป็นคนต่างเผ่าพันธุ์และทำได้เพียงยืนมองเพื่อนชาวยิวที่ถูกทารุณกรรม หนังทำออกมาได้อย่างกินใจมากๆ มีทั้งอารมณ์ดราม่าหดหู่และฉากที่กดดันชวนตื่นเต้นหนังจึงสามารถดึงคนดูได้ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ


Fateless (2005)

หนังจากประเทศฮังการี เด็กชายชาวยิวเชื้อสายฮังกาเรียน วัย 14 ปี ที่ชีวิตดูจะมีอานาคตสดใดตามประสาเด็กแต่แล้วเมื่อนาซียึดครอง เขาต้องโดนย้ายไปอยู่ค่ายกักกัน จนกระทั่งสงครามจบเขาเป็นผู้รอดชีวิตและต้องกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งด้วยตัวคนเดียวเนื่องจากพ่อแม่ญาติพี่น้องได้เสียชีวิตหมดแล้ว ความโหดร้ายขณะโดนคุมขังโดนกักกั้นว่าร้ายแล้ว ยังไม่สู้หลังจากนั้น การต้องมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งด้วยความทรงจำที่เลวร้ายมันช่างเป็นอะไรที่หดหู่สะเทือนใจเป็นที่สุด หนังสะท้อนให้เราเห็นถึงความโหดร้ายของสงครามที่พรากทุกอย่างไปจากชีวิต


Jakob the Liar (1999)

เรื่องราวของเจค็อบ ชาวยิวอดีตเจ้าของร้านกาแฟเล็กๆในโปแลนด์ ซึ่งชุมชนของเขาถูกสร้างกำแพงล้อมการเป็ฯเขตกักกันเชลยชาวยิว อุปกรณ์สื่อสารวิทยุ หนังสือพิมพ์ล้วนเป็นของต้องห้ามในค่ายแห่งนี้ ซึ่งในแต่ละวันล้วนมีแต่คนถูกยิงตายเพราะคิดปีนกำแพงค่ายหนี หรือฆ่าตัวตายด้วยความสิ้นหวัง แต่แล้ววันหนึ่งเจค็อบแอบไปได้ยินข่าวจากวิทยุของทหารนาซีโดยบังเอิญว่ากองทัพโซเวียตกำลังประสบชัยชนะเหนือกอกำลังทหารฝ่ายเยอรมัน และเขาเผลอหยุดปากบอกข่าวนี้แก่เพื่อนๆเชลย และทุกคนก็เชื่อและคิดว่าเจค็อบแอบซ่อนวิทยุไว้จึงมาค่อยถามข่าวจากเขา เจค็อบก็เลยแต่งเติมเรื่องราวจากข่าวนี้เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ชาวยิวในโปแลนด์ และทหารเยอรมันเริ่มระแคะระคายถึงต้นตอของวิทยุลึกลับและออกตามล่าแหล่งข่าวผู้ที่กล้าท้าทายอำนาจนาซี หนังถ่ายทอดความหวังเล็กๆน้อยๆ จากการข่าวปลอมๆก็สามารถเป็นพลังให้ชาวยิวอดทนและฝ่าฟันต่อความโหดร้ายต่างๆมาได้ หนังนำเสนอเรื่องราวออกมาได้อย่างซาบซึ้ง แถมยังยังได้นักแสดงคุณภาพอย่าง โรบิน วิลเลี่ยมส์ มานำแสดงอีกด้วย


Train of Life (1998)

อีกหนึ่งหนังแนวนี้จากประเทศฝรั่งเศส หนังออกแนวดาร์กคอมเมดี้ เล่าถึงกลุ่มชาวยิวในหมู่บ้านหนึ่งที่รวมตัวกันวางแผนหนีออกจากฝรั่งเศสโดยการสร้างขบวนรถไฟนาซีปลอมเพื่อหลบหนีไปยังรัฐปาเลสไตน์ เพราะในการกวาดล้างชาวยิวพวกนาซีจะใช้ขบวนรถไฟในการขนย้ายชาวยิวไปยังค่ายค่ายกักกันเอาชวิตซ์ที่โปแลนด์เพื่อทำการสังหารหมู่ หนังนำเสนอความหวังเพียงน้อยนิดในการเป็นอิสระภาพของชาวยิวออกมาได้อย่างน่าเห็นใจมากที่ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับขบวนรถไฟปลอมขบวนนี้


The White Rose (1982)

จุดเริ่มต้นก่อนที่จะนำไปสู่ Sophie Scholl: The Final Days (2005) หนังเล่าเรื่องราวของขบวนการใต้ดิน กลุ่มกุหลาบสีขาวที่มีแกนนำโดยพี่น้องโซฟีและแฮน โชลล์ ซึ่งสมาชิกส่วนมากเป็นกลุ่มนักศึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมิวนิคที่มีความคิดต่อต้านระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ของฮิตเลอร์ พวกเขาปฏิบัติการโดยการเผยแพร่ข่าวสารและการแจกใบปลิวที่มีเนื้อหาการต่อต้านรัฐบาลพรรคนาซี แจ้งข่าวความล้มเหลวของทหารฯาซีจากยุทธการต่างๆในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งข่าวสารเหล่านี้รัฐบาลนาซีได้พยายามปกปิดไม่ให้ประชาชนชาวเยอรมันได้รับรู้ รวมไปถึงการประณามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวด้วย แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ถูกจำได้ในเวลาต่อมา


Sophie Scholl: The Final Days (2005)

อย่างที่รู้กันในยุคของฮิตเลอร์มันยิ่งกว่า ม.44 ในบ้านเรามากนักคือห้ามมีความเห็ฯต่างโดยเด็ดขาดการขัดแย้งต่อนโยบาลของรัฐถือมีความผิดร้ายแรงและแน่นอนว่าแม้กระทั่งในเยอรมันเองก็ย่อมมีคนที่ไม่เห็นด้วยต่อการกระทำอันไร้มนุษย์สยธรรมของฮิตเลอร์จึงเกิดขบวนการใต้ดินที่ชื่อว่าขบวนการกุหลาบขาว ซึ่งหนังเล่าเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งเธอชื่อว่าโซฟี โชลล์ถูกจำได้ขณะแจกใบปลิวชวนเชื่อซึ่งมีเนื้อหาขัดแย้งต่อนโยบายของท่านผู้นำ เธอถูกขึ้นศาลทหารและถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด หนังโดดเด่นที่บทภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยแง่คิดสะท้อนความรู้สึกของคนเยอรมันเองที่มีต่อนโยบายของฮิตเลอร์ และเชิดชูความกล้ากาญของโซฟี โชลล์ที่เธอไม่ยอมซัดทอดหรือเปิดเผยชื่อเพื่อนร่วมขบวนการคนอื่นๆ


Max Manus: Man of War (2008)

สำหรับเรื่องนี้อาจแตกต่างออกไปเพราะจะไม่ใช่อารมณ์ของหนังที่เล่าออกมาจากเชลยชาวยิวในค่ายกักกัน แต่ก็หดหู่และสะเทือนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียวกับการรักชาติและไม่ยอมจำนนต่อพวกนาซีของขบวนการใต้ดินกลุ่มต่อต้านนาซีในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งนำโดย แมกซ์ มานัสและกลุ่มเพื่อนๆ พวกเขาค่อยปั่นป่วนพวกนาซีในรูปแบบกองโจร ทั้งวางระเบิดและขโมยอาวุธ จนถูกหมายหัวจากพวกทหารเยอรมัน แมกซ์ต้องเสียเพื่อนๆไปทีละคนเพื่ออุดมการณ์ของพวกเขา หนังค่อนข้างสนุกใช้ได้ทีเดียว


The Diary of Anne Frank (1959)

สำหรับเรื่องนี้มีด้วยกัน 2 เวอร์ชั่นแต่เนื้อหาแทบไม่มีอะไรแตกต่างใครชอบแบบคลาสสิคก็ปี 1959 ใครชอบใหม่ๆหน่อยก็ปี 2009 เรื่องราวของเด็กหญิงชาวยิว เรื่องราวจากไดรอะลี่ของเธอขณะหลบซ่อนตัวจากการล่าชาวยิวในประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างที่ถูกเยอรมนีเข้าครอบครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หนังเต็มไปด้วยบริบทที่หดหู่ สะเทือนใจของการจับตัวชาวยิว ล่าตัวเชลยศึกชาวยิว มีฉากให้ต้องลุ้นจากการหลบซ่อนตัวจนเกือบถูกจับได้และหดหู่ไปกับความเป็นอยู๋ที่ยากลำบากภายในสภาพจิตใจแอบมีหวัง

เครดิต : nungdeeboktor