ทัวร์บ้านแอ๊ด คาราบาว(Ad Carabao)ในรายการที่นี่หมอชิตพร้อมคลิปและจับเข่าคุยมุมมองชีวิต - การเมืองไทยรวมทั้งประวัติ

บทเพลงมากกว่าร้อยบทเพลงของ "วงคาราบาว" ที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้พวกเราได้ฟังกว่า 30 ปี ซึ่งนอกจากบทเพลงดังกล่าวจะถักทอร้อยเรียงถ้อยคำได้อย่างไพเราะแล้ว ยังสอดแทรกมุมมองต่าง ๆ ผ่านเนื้อเพลง ให้เราได้เห็นความเป็นไปของสังคมมาโดยตลอด... ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไร บทเพลงของวงคาราบาวก็นำมาร้องได้อย่างไม่มีตกยุค และไม่มีเบื่อ แถมยังคงความคลาสสิกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวงคาราบาวเอาไว้ด้วย... ซึ่งบทเพลงส่วนใหญ่ก็มาจากการประพันธ์ของนักร้องนำ อย่าง "แอ๊ด คาราบาว" นั่นเอง 



          วันนี้ ขอนำเรื่องราวที่นำเสนอออกอากาศทางรายการ "ที่นี่หมอชิต" เมื่อคืนวันที่ 22 เมษายน มาให้เพื่อน ๆ ได้เยี่ยมชม "บ้าน" ของ แอ๊ด คาราบาว ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งที่แห่งนี้นี่เอง ที่เป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาได้แต่งเพลงให้พวกเราฟังกัน 



          เมื่อพิธีกรอย่าง คุณดู๋ สัญญา คุณากร ก้าวเข้าไปยังบริเวณบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้อันร่มรื่น และได้พบเจ้าบ้านอย่าง พี่แอ๊ด คาราบาว ซึ่งก็เริ่มเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปของบ้านหลังนี้ว่า ... ตนอยู่บ้านหลังนี้ได้ประมาณ 3 ปีแล้ว ซึ่งเป็นบ้านที่ตนซื้อต่อจากชาวบ้าน ที่แต่ก่อนเป็นยุ้งข้าวมาก่อน โดยที่แห่งนี้เป็นการสร้างแบบสมัยก่อน เรียกได้ว่า มีความทนทานมาก เนื่องจากเป็นเสา 8 เหลี่ยม ส่วนตัวบ้านตนก็ออกแบบดีไซน์ใหม่ทั้งหมด (คุณดู๋แอบกระซิบบอกว่า ก่อนหน้าที่พี่แอ๊ด เป็นนักร้อง เคยทำอาชีพเป็นสถาปนิกมาก่อน) นอกจากตัวบ้านแล้ว พี่แอ๊ด ยังได้สร้างเปลี่ยนบ้านพักครูที่อยู่ในละแวกเดียวกันให้เป็นห้องพักเพื่อรับแขก อีกทั้งยังมีบ้านทรงจีนที่ออกแบบเองอีกด้วย 

          พี่แอ๊ด คาราบาว เล่าต่อว่า เพื่อนของตนส่วนมากจะมาหาอยู่เรื่อย ๆ แต่จะมาช่วงบ่าย เพราะช่วงเช้าเขาจะปล่อยให้เราได้ทำงานเพลงไป ถ้าถามว่า ทำงานเพลงที่นี้มีวิธีการทำอย่างไร ตนคิดว่าสมัยนี้อะไร ๆ ก็ง่ายไปหมด เนื่องจากมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยเฉพาะอัลบั้ม "กันชนหมา" ที่ตนทำคนเดียวนั้น ตนทั้งร้องเพลง เขียนเอง อัดเอง มิกซ์เองทั้งหมด ส่งไปยังทีมงาน ผ่านแอพพลิเคชั่นที่ตนซื้อมา แค่ตนมี ไมค์ กีต้าร์ แอพพลิเคชั่น และ 3G ไม่ว่าที่ไหนบนโลก ตนก็สามารถทำงานได้แล้ว แต่ถ้าเป็นสมัยก่อน ตนก็ต้องขี่จักรยานยนต์ ฝากเทป หรือซีดี ไปกับแอร์เอเชีย พอทำเสร็จก็ขี่จักรยานยนต์มารับอีก (หัวเราะ) 


          นักร้องเพื่อชีวิตขวัญใจคนไทย ยังกล่าวอีกว่า อัลบั้มล่าสุดที่ตนมาทำเพลงเองคนเดียว ไม่ใช่ว่าวงแตก หรืออยากทำคนเดียวแล้วได้รับเงินเต็ม ๆ แต่อย่างใด เพียงแค่ตนอยากเขียนเพลงในมุมมองของหมา ที่ถูกคนรังแก ในรูปแบบต่าง ๆ เหมือนกับตนร้องเพลงเป็นตัวแทนของหมาเหล่านี้ อย่างเช่น เวลาคนขับรถชนหมา กันชนบุบ แต่คนกลับด่าหมา กลับเรียกค่าเสียหายจากเจ้าของหมา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หมาอาจจะไม่ได้ตัดหน้า หรือคนอาจจะเป็นฝ่ายผิดก็เป็นได้ .. ตนจึงอยากเขียนเพลงเพื่อเสนอแนวคิดในมุมมองเหล่านี้ 


          วงคาราบาว ถือว่าเป็นวงเพื่อชีวิตชื่อดังของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ ... แต่ใครเลยจะรู้ว่า วงคาราบาว รับงานทุกอย่าง ไม่มีเกี่ยงงอน โดย พี่แอ๊ด กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า วงของตนเป็นวงรับงานทุกราชอาณาจักร ถ้ามีเงินก็มาจ้างได้แล้ว ซึ่งวงคาราบาวรับงานแปลก ๆ มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานศพวัว งานบวช งานแก้บนต่าง ๆ บางบ้านโทรมาบอกเลยว่า ถ้าไม่เอาวงคาราบาวมาเล่น ก็จะไม่บวชก็มี (หัวเราะ) ส่วนแนวเพลงจริง ๆ แล้ว วงคาราบาวก็ทำทั้งเพื่อชีวิตที่ร้องเล่นเพื่อความสนุก และทำในเชิงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นประกอบโฆษณา เพลงประกอบละคร หรือเพลงหาเสียงให้พรรคการเมือง เป็นต้น 

          สำหรับเพลงส่วนมากของวงคาราบาวนั้น จะหยิบยกเรื่องราวที่ใกล้ตัว ผ่านมุมมองของ พี่แอ๊ด คาราบาว นำมาถ่ายทอดให้ฟัง ซึ่งบางเพลงก็มีเนื้อหาที่จิกกัดสังคม โดยเฉพาะเรื่องการเมือง โดย พี่แอ๊ด กล่าวว่า สิ่งที่ตนต้องการคืออยากให้มนุษย์เอื้ออาทรกัน ซึ่งเป็นไปได้ยาก ทุกวันนี้ปากก็บอกว่าจะปรองดอง ๆ แต่ความเป็นจริงแล้วก็มีแต่จ้องจะกัดกัน เพราะคิดว่า ตัวเองแน่กว่า ซึ่งตนคิดว่าบทเพลงของตนอาจจะช่วยได้ไม่มากเกี่ยวกับเรื่องความแตกแยกในสังคม แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้คนที่ฟังเข้าใจ และคาดว่าเพลงเหล่านั้นจะช่วยสร้างจิตสำนึกที่ดีได้ 


          พี่แอ๊ด กล่าวต่อว่า ในมุมมองตนเรื่องการเมืองไทย ตนคิดว่า ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่มีเสรีภาพสูง ถ้าเทียบกับประเทศอื่น ๆ แล้ว ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศที่โชคดีมากเลยทีเดียว เนื่องจากบ้านเมืองของเราแทบจะไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อห่ำหั่นกันเลย ดูอย่างประเทศจีนกว่าจะมาถึงจุด ๆ นี้ได้ เขาต้องเสียประชากรกว่า 20 ล้านคน ประเทศรัสเซียก็เสียประชากรกว่า 10 ล้านคน ส่วนประเทศเพื่อนบ้านของเรา อย่าง กัมพูชา และเวียดนาม กว่าจะมาปรองดองกันได้ เขาก็ต้องแลกด้วยชีวิตคนนับหมื่นนับพันคน ส่วนประเทศไทยของเรา ถ้าเทียบความแข็งแรงในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นประเทศที่อ่อนแรงที่สุด เพราะไม่มีภูมิคุ้มกันในเรื่องเลวร้ายดังกล่าวเลย อย่างไรก็ตาม ตนมีความเห็นว่า ความปรองดองเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องเสียเลือด ถ้าเราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ แล้วลัดขั้นตอนปฏิบัติ นำบทเรียนดี ๆ เข้ามาปรับใช้ แก้สถานการณ์ต่าง ๆ ... 


          นอกจากนี้ คุณดู๋ พิธีกร ยังถามพี่แอ๊ดว่า จะยึดอาชีพนักร้องไปถึงเมื่อไหร่ เนื่องจากมีเงินมากมาย และอายุเยอะแล้ว พี่แอ๊ด กล่าวว่า ตนจะเล่นจนกว่าจะไม่มีแฟนเพลง จนกว่าจะไม่มีใครจ้าง ทุกวันนี้ตนก็แต่งเพลง ร้องเพลงอย่างมีความสุข ตอนเช้าก็ออกกำลังกาย วิ่ง 4 กิโลเมตร วิดพื้น 20-30 ที เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และสามารถร้องเพลงติดต่อกัน 2-3 ชั่วโมงได้ ถ้าถามว่าตนกลัวเจ็บป่วย กลัวตายหรือไม่ ตนก็กลัวเหมือนคนอื่น ๆ  แต่ในเมื่อเราห้ามธรรมชาติไม่ได้ ก็ควรใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังตามที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้... 

          ท้ายนี้ พี่แอ๊ด คาราบาว ได้ฝากข้อคิดเล็ก ๆ ให้กับสังคมไทยไว้ว่า ตอนนี้ตนมองสังคมบ้านเมืองของเราด้วยความเป็นห่วง ตนอยากให้ประเทศไทยก้าวข้ามผ่านปัญหาเล่านี้ไปได้ โดยไม่ใช่การห่ำหั่นจนต้องเสียเลือดเนื้อ ดังที่สุภาษิตจีนว่าไว้ว่า ถ้ามีคน ก็จะมีทุกสิ่ง แต่ถ้าคนไม่มีสติยั้งคิด เราก็จะไม่สามารถสร้างสิ่งอะไรได้เลย... เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนได้สำนึกถึงผลของสังคมที่จะตามมา ไม่ใช่เพียงแต่อยากจะเอาชนะกันเท่านั้น... 


ยืนยง โอภากุล หรือที่รู้จักกันในชื่อ แอ๊ด คาราบาว เป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชาวไทย เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2497 ที่ อ.เมืองจ.สุพรรณบุรี ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน เป็นบุตรชายฝาแฝดคนสุดท้องของ มนัส โอภากุล แซ่โอ และ จงจิน แซ่ตั้ง (ปัจจุบัน บิดาและมารดาเสียชีวิตแล้ว)

ประวัติตอนต้น

คุณยิ่งยง กับ ยืนยง โอภากุล เริ่มเข้ารับการศึกษาชั้นประถมที่โรงเรียนวัดสุวรรณภูมิ และสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัยจังหวัดสุพรรณบุรี และเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานครเพื่อศึกษาต่อเหมือนเด็กต่างจังหวัดทั่วไป โดยเข้าเรียนใน สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตอุเทนถวาย (โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย) และต่อในระดับปริญญาตรี สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ที่สถาบันเทคโนโลยีมาปัว ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นเวลา 1 ปี
ที่ฟิลิปปินส์ยืนยงได้พบกับเพื่อนคนไทยที่ไปเรียนหนังสือที่นั้น คือ สานิตย์ ลิ่มศิลา หรือ ไข่ และ กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือ เขียว ซึ่งยืนยงได้มีโอกาสฟังเพลงของ เลด เซพเพลิน ,จอห์น เดนเวอร์ ,ดิ อีเกิ้ลส์ และปีเตอร์ แฟลมตัน จากแผ่นเสียงที่ ไข่ สานิตย์ ลิ่มศิลา สะสมไว้เป็นจำนวนมาก ต่อมา ทั้ง 3 จึงร่วมกันตั้งวงดนตรีขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า "คาราบาว" เพื่อใช้ในการแสดงบนเวทีในงานของมหาวิทยาลัย โดยเล่นดนตรีแนวโฟล์ค
เมื่อยืนยงสำเร็จการศึกษาและกลับมาเมืองไทย ได้ทำงานประจำเป็นสถาปนิกในสำนักงานเอกชนแห่งหนึ่ง และมีงานส่วนตัวคือรับออกแบบบ้านและโรงงาน ต่อมาเมื่อไข่และเขียวกลับมาจากฟิลิปปินส์ ทั้ง 3 ได้เล่นดนตรีร่วมกันอีกครั้งโดยเล่นในห้องอาหารที่โรงแรมวินเซอร์ สุขุมวิท 20 และต่อมาย้ายไปเล่นที่โรงแรมแมนดาลิน สามย่าน โดยขึ้นเล่นในวันศุกร์และเสาร์ แต่ทางวงถูกไล่ออกเพราะยืนยงขาดงานหลายวันโดยไม่บอกกล่าว
เมื่อวงถูกไล่ออก ไข่ จึงได้แยกตัวออกไปทำงานรับเหมาก่อสร้างอยู่ทางภาคใต้ แอ๊ดและเขียวยังคงเล่นดนตรีต่อไป โดยเล่นร่วมกับวง โฮป ต่อมาปี พ.ศ. 2523 แอ๊ดได้ทำงานเป็นสถาปนิก ประจำสำนักงานบริหารโครงการ ของการเคหะแห่งชาติ ส่วนเขียวทำงานเป็นวิศวกร ประเมินราคาเครื่องจักรโรงงานอยู่กับบริษัทของฟิลิปปินส์ที่มาเปิดสาขาในประเทศไทย และทั้งคู่จะเล่นดนตรีในตอนกลางคืน โดยเล่นประจำที่ดิกเก็นผับ ในโรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท

[แก้]มีชื่อเสียง

จุดเปลี่ยนของชีวิตยืนยง โอภากุล อยู่ที่การรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์อัลบั้มชุดแรกให้กับวงแฮมเมอร์ ในปี พ.ศ. 2522 ในชุด บินหลา โดยแอ๊ดยังเป็นผู้ออกแบบปกอัลบั้มด้วย ซึ่งอัลบั้มชุดนี้ทำให้แฮมเมอร์เป็นที่รู้จักในวงการเพลง และปี พ.ศ. 2523 แอ๊ดยังได้แต่งเพลง ถึกควายทุย ให้แฮมเมอร์บันทึกเสียงในอัลบั้ม ปักษ์ใต้บ้านเรา อัลบั้มชุดดังกล่าวทำให้แฮมเมอร์โด่งดังอย่างมาก หลังจากนั้นจึงได้ร่วมกับวงแฮมเมอร์ออกอัลบั้มเพลงขึ้นมาในชื่อ คณะชานเมือง โดยเป็นดนตรีแนวโฟล์คลูกทุ่ง และได้ร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ของพนม นพพรเรื่องหมามุ่ย ในปี พ.ศ. 2524
หลังจากนั้นตัวของแอ๊ด ยืนยงก็มีความคิดที่ว่าหากจะออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง คงจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน จึงร่วมกับเขียว ออกอัลบั้มชุดแรกของวงคาราบาวในชื่อชุด "ขี้เมา" ในปี พ.ศ. 2524 สังกัดพีค๊อก สเตอริโอ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ในระหว่างนั้นวงคาราบาวในยุคแรกก็ได้ออกทัวร์เล่นคอนเสิร์ตตามโรงภาพยนตร์ต่างๆทั่วประเทศ แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าไร บางครั้งมีคนดูไม่ถึง 10 คนก็มี
แอ๊ด คาราบาว เข้าสู่ร่มกาสาวพัตร์ อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสุวรรณภูมิ ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี พร้อมกับไพรัช เพิ่มฉลาด มือเบส ก่อนจะออกเทปชุด เมด อิน ไทยแลนด์ โดยไม่ได้อยู่กุฎิ เพราะกุฎิเต็ม จึงได้อยู่ในโบสถ์ ตลอดที่บวชพระ 7 วัน
คาราบาว มาประสบความสำเร็จในอัลบั้มชุดที่ 5 ของวง คือ ชุด "เมด อิน ไทยแลนด์" ที่ออกในปลายปี พ.ศ. 2527 ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงถึง 5 ล้านตลับ และนับตั้งแต่นั้น ชื่อของ แอ๊ด คาราบาว ก็เป็นที่รู้จักกันดีของคนไทย และออกผลงานเพลงร่วมกับวงคาราบาวมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้แสดงคอนเสิร์ตที่สหรัฐอเมริกาอีกด้วย
โดย ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าวง เป็นผู้มีบุคคลิกเป็นตัวของตัวเองสูง กล้าพูดกล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่าง ๆ ในสังคมอย่างแรงและตรงไปตรงมา โดยสะท้อนออกมาในผลงานเพลง ที่เจ้าตัวจะเป็นผู้เขียนและร้องเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีออกมามากมายทั้งอัลบั้มในนามของวงและอัลบั้มเดี่ยวของตนเอง จนถึงวันนี้ไม่ต่ำกว่า 900 เพลง รวมถึงการแสดงออกในทางอื่น ๆ ด้วย ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ชอบและไม่ชอบ โดยผู้ที่ไม่ชอบคิดเห็นว่า เป็นการแสดงออกที่ก้าวร้าว รวมถึงตั้งข้อสังเกตด้วยถึงเรื่องการกระทำของตัวยืนยงเอง

[แก้]บทบาททางสังคมและข้อวิจารณ์

ยืนยง โอภากุล ไม่จำกัดตัวเองแต่ในบทบาทของศิลปินเพลงเท่านั้น แต่ยังเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์และมีผลงานเขียนหนังสือและแสดงละคร ภาพยนตร์ต่าง ๆ ด้วย อาทิ เช่น เรื่องพรางชมพู กะเทยประจัญบาน (พ.ศ. 2545) ละครเรื่อง เขี้ยวเสือไฟ ทางช่อง 9 (พ.ศ. 2544) ลูกผู้ชายหัวใจเพชร ทางช่อง 7 (พ.ศ. 2546) เป็นต้น รวมถึงการทำงานภาคสังคมและมูลนิธิต่าง ๆ และยังได้แต่งเพลงประกอบโฆษณาหรือโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐในแต่ละโอกาสด้วย
ในปลายปี พ.ศ. 2545 ยืนยง โอภากุล ได้เปลี่ยนบทบาทของตัวเองอย่างสำคัญอีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นหุ้นส่วนสำคัญคนหนึ่งของเครื่องดื่มชูกำลัง ยี่ห้อ "คาราบาวแดง" โดยใช้ชื่อวงดนตรีของตัวเองมาเป็นจุดขาย ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างในสังคมว่า สมควรหรือไม่ กับผู้ที่เคยสู้เพื่ออุดมการณ์มาตลอด มาเป็นนายทุนเสียเอง ในปัจจุบันประชาชนหลายคนก็ยังเคลือบแคลงในจุดยืนของยืนยง
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 ระหว่างงานประกาศผลรางวัลสีสันอวอร์ด ครั้งที่ 23 ณ โรงแรมทาวน์อินทาวน์ คาราบาวได้รับเชิญร่วมแสดง ระหว่างการแสดงนั้น ยืนยงได้ทุ่มกีตาร์ลงพื้นแล้วเดินออกจากเวที โดยไม่บอกกล่าวใด ๆ ทั้งสิ้น สร้างความงุนงงอย่างมาก มีการตั้งข้อสังเกตไว้หลายทาง อาทิ ความไม่พอใจของยืนยงต่อระบบเครื่องเสียงภายในงาน เสียงตะโกนของผู้ชมให้รีบแสดงให้จบเพื่อให้งานดำเนินต่อ เสียงตะโกน "สัญญาหน้าหมา" ที่ล้อเพลง "สัญญาหน้าฝน" เป็นต้น แต่เจ้าตัวต่อมาได้ออกมาแถลงข่าวพร้อมขอโทษผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน โดยอ้างสาเหตุว่าไม่พอใจทีมงานที่จัดระบบเสียงได้ไม่ถูกใจประกอบพักผ่อนน้อยตั้งแต่เสร็จจากงานคอนเสิร์ตเวโลโดรม รีเทิร์น ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน[1]

[แก้]ชีวิตส่วนตัว

ชีวิตส่วนตัว ยืนยง โอภากุล มีชื่อเป็นภาษาจีนกลางว่า "หูฉุนฉาง" แปลว่า "เกิดบนดิน" ชอบเลี้ยงไก่ชนซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ และมีฟาร์มไก่ชนเป็นของตัวเอง รวมถึงยังดำรงตำแหน่งนายกสมาคมส่งเสริมอาชีพไก่ชนไทย นอกจากคาราบาวแดงแล้ว ยังมีกิจการทางดนตรีอีก คือ มีห้องอัดเสียงที่บ้านของตัวเอง ชื่อ เซ็นเตอร์ สเตจ สตูดิโอ(มองโกล สตูดิโอ) ซึ่งเป็นสตูดิโอระดับชั้นแนวหน้าแห่งหนึ่งของเมืองไทย และมีบริษัทเพลงชื่อ มองโกล เรคคอร์ด สมรสกับนางลินจง โอภากุล หญิงชาวบุรีรัมย์ มีบุตรด้วยกัน 3 คน เป็นหญิง 2 คน คือ ณิชา (เซน) และ ณัชชา (ซิน) โอภากุล และชาย 1 คน คือ วรมันต์ โอภากุล (โซโล)
หมายเหตุ
  • ยืนยง โอภากุล มีพี่ชายฝาแฝดอีก 1 คน เป็นศิลปินเพลงเพื่อชีวิตเหมือนกัน คือ ยิ่งยง โอภากุล ชื่อเล่น "อี๊ด" และเคยออกอัลบั้มร่วมกัน 1 อัลบั้ม คือ อัลบั้ม พฤษภา ในปี พ.ศ. 2535 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ
  • ซูซู เคยแต่งเพลงเพื่อยกย่องยืนยง ชื่อเพลง ราชาสามช่า ในปี พ.ศ. 2534

[แก้]อัลบั้มเดี่ยว

ภาพอัลบั้มชื่ออัลบั้มปีที่วางแผงยอดขายรายชื่อเพลง
Firstadd27-24.jpgกัมพูชาพ.ศ. 2527
Ad02.jpgทำมือพ.ศ. 2532700,000
ก้นบึ้ง.jpgก้นบึ้งพ.ศ. 2533
Ev390cmp 96.jpgโนพลอมแพลมพ.ศ. 2533
เวิลด์โฟล์คเซน.jpgโฟล์คเซนพ.ศ. 2534
รอยคำรณ.jpgรอยคำรณพ.ศ. 2537
ข้าวสีทอง.jpgข้าวสีทองพ.ศ. 2538
เดอะแมนซิตี้ไลอ้อน.jpgเดอะ แมน ซิตี้ ไลอ้อนพ.ศ. 2539
สุรชัยกึ่งศตวรรษ.jpgสุรชัยกึ่งศตวรรษพ.ศ. 2549
เหลืองหางขาว.jpgเหลืองหางขาวพ.ศ. 2543
คนไทยหรือเปล่า.jpgคนไทยหรือเปล่าพ.ศ. 2544
ไม่ต้องร้องไห้.jpgไม่ต้องร้องไห้พ.ศ. 2545
อัลบั้มโอท็อป.jpgโอท็อปพ.ศ. 2547
Adsoloalbum2006.jpgซึม เศร้า เหงา แฮงค์พ.ศ. 2548
แมงฟอร์ซวัน.jpgแมงฟอร์ซวันพ.ศ. 2549
11967 002.jpgตะวันตกดินพ.ศ. 2549
ทุ่งฝันตะวันรน.jpgทุ่งฝันตะวันรอนพ.ศ. 2549
ยืนยงตั้งวงเล่า.jpgยืนยงตั้งวงเล่าพ.ศ. 2549
คนกับเมาท์.jpgคนกับเมาท์พ.ศ. 2551
เดินต่อไป.jpgเดินต่อไปพ.ศ. 2552

[แก้]ศิลปินรับเชิญ

[แก้]ผลงานละคร

[แก้]ผลงานภาพยนตร์

[แก้]พิธีกร

  • สำรวจธรรมชาติ On The World (ช่อง 5)



Credit : กระปุกดอทคอม,Youtube.com,th.wikipedia.org
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก รายการที่นี่หมอชิต