สิ่งดีดีที่ได้จากน้ำท่วมภาค1,ภาค2และภาคการ์ตูน


"ผม พักอยู่ประตูน้ำพระอินทร์ อยุธยา แต่ที่ทำงานอยู่ลาดพร้าว80 ผมต้องเดินทางไปกลับทุก วัน(บริษัทฯ มีรถรับ-ส่งแค่สะพานใหม่) ตอนเช้าผมจะตื่นตีสี่ครึ่ง ทำธุระส่วนตัวแล้วออกมารอรถประมาณตีห้ากว่าๆ โดยผมจะนั่งรถเมล์ มาลงที่รังสิต แล้วต่อรถตู้มาลาดพร้าว80


ภาพที่ผมเห็นจนชินตาก็คือ ทุก คนที่รอรถตรงหน้าเมเจอร์รังสิตต่าง รีบวิ่งลงไปบนพื้นถนนโดยไม่นึกกลัว ว่ารถจะชนหรือกีดขวางทางจราจร เมื่อเห็นรถตู้แล่นเข้ามาเทียบท่า ต่างแย่งชิง ทั้ง เบียดเสียด บาง


ครั้งก็มีถ้อยคำด่าทอเสียๆ หายๆ ตามมาไม่ว่าหญิงหรือชาย

คน ขับบางคนก็พูดจาไม่สุภาพ ขับรถเหมือนแม่ป่วยต้องนำส่งโรง พยาบาลก็ไม่ปาน ปกติรถตู้สามารถนั่งได้14-15คน แต่นี่มีการเสริมเบาะนั่งให้ได้20คน แอ อัด ยัดเยียด เบียดเสียดจนแทบจะเป็นผัวเมียกัน ทั้งคันรถ พอรถออกตัว หน่วยคอลเซ็นเตอร์ก็เริ่มทำงานทันที คือต่างควักมือถือออกมาแล้วก็คุยๆๆ คุยๆๆอย่างออกรสออกชาด ประหนึ่งว่ากรูนั่งมาในรถคนเดียวไม่ ต้องเกรงใจคนรอบข้าง คนขับก็ไม่ยอมน้อยหน้า โทรด่ากับเมียด้วยถ้อยคำที่ไม่รู้ไปขุดมาจากไหน บางครั้งยังแถม"แจก กล้วย"ให้ รถคันที่วิ่งแซงไปด้วย นี่เป็นชีวิตประจำวันตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

แต่....เมื่อ วานนี้เอง ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยน แปลง แน่นอนครับ

" น้ำท่วม " หลายคนบอกน้ำท่วมมันดีตรงไหน ใช่ ครับน้ำท่วมไม่ใช่สิ่งที่ผู้คน ปรารถนา แต่น้ำท่วมทำให้ผมได้เห็นชีวิตในอีก แง่มุมหนึ่งของผู้คนในเมืองฟ้าผ่อง อำไพแห่งนี้

วันนั้นผมเลิกงาน 5 โมง เย็น จึงนั่งรถบริษัทฯมาลงสะพานใหม่

แล้ว นั่งรถเมล์สาย 39 ต่อ เพราะน้ำท่วมรถตู้วิ่งไม่ได้ รถเมล์วิ่งลุยน้ำมาถึง กม.25 ก็ต้องหยุดเนื่องจากน้ำ ลึกไปต่อไม่ไหว กระเป๋าจึงแจ้งให้ผู้โดยสารลงจากรถ เพื่อไปต่อรถทหาร(ซึ่งไม่รู้ว่าจะมา ตอนไหน) ผมเดินลุยน้ำมารอบริเวณเกาะกลางถนน ซึ่งมีผู้คนยืนรออยู่ประมาณ 30 คน ผู้คนเหล่านั้นต่างมีสีหน้ากังวล

บ้างก็หันมาพูดคุยสอบถามกันว่าจะไปไหน จะมีรถหรือเปล่า ไอ้หนุ่มนักศึกษาถามป้าจะไปไหน มาผมช่วยถือของให้ พี่ผู้ชายไว้หนวดช่วยอุ้มเด็ก3ขวบ ที่มากับแม่ที่หิ้วของพะรุงพะรัง แฟนสาวของไอ้หนุ่มนักศึกษาช่วยแม่ เด็กหิ้วกระเป๋า อีกมือใช้กระดาษพัดไล่ยุงให้เด็ก น้อย ลุงแก่ๆ สองคนที่นั่งบนราวเกาะกลางถนนเขยิบ ที่พร้อมเอ่ยปากเชิญชวนชายแก่อีกคน ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ มานั่งด้วยกัน

มีรถ ผ่านมาเรื่อยๆ และสิ่งที่ผมเห็นคือรถเกือบทุกคันจะ ลดกระจกลงแล้วโผล่หน้าออกมาถามว่าจะ ไปไหน ถ้ารถเขาผ่านรายนั้นๆ ก็จะได้ติดรถไปด้วย คน ที่อยู่ไม่ไกลไปกันเกือบหมดแล้ว จะ เหลือก็พวกที่อยู่แถวประทาน พร บางขัน นวนคร และก็ตัวผม ประตูน้ำพระอินทร์ รวมแล้วน่าจะประมาณ 17 คน เรารออยู่ประมาณสองชั่วโมงจึงมีรถ โฟร์วีลคันหนึ่งผ่านมา คนขับหน้าตายังวัยรุ่นเปิดกระจกออก มาถามพวกเราว่า "มีไค รไปนวนครไหม๊?" เท่านั้นแหละทุกคนต่าง ยิ้มแก้มแทบปริ พวกเรารีบทยอยขึ้นรถ บ้างก็ช่วยดึงกันขึ้น บ้างก็ช่วยถือของโดยไม่ต้องเอ่ยปาก ขอ แต่สิ่งที่พวกเราลืมคิดกันตอนนั้นคือ จำนวนคนกับรถมันไม่เหมาะสมกัน เนื่อง จากโฟร์วีลกระบะมันเล็ก จุได้แค่ 12 คน ที่ เหลืออีก 5 คนคือ ไอ้หนุ่มนักศึกษากับแฟน ลุงแก่ทั้งสอง และผม

พวกเรามองหน้ากัน พี่ ผู้ชายมีหนวดเอ่ยปากขึ้นว่าพวกคุณไป กันก่อน เดี๋ยวผมรอคันหลัง ว่าแล้วก็โดดผลุงลงมาเพื่อให้แฟนสาว ของไอ้หนุ่มนักศึกษาขึ้นไปแทน แฟนไอ้หนุ่มนักศึกษาบอกไม่เป็นไรให้ ลุงไปก่อนดีกว่าเดี๋ยวหนูกับแฟนรอไป คันหลัง และอีกหลายคนก็แสดงเจตจำนงที่จะเสีย สละ

แต่ แล้วสิ่งที่ทำให้ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ ไม่อยู่ก็คือ ป้าที่นั่งอยู่ลุกขึ้นแล้วพูดว่า"ถ้า ไปก็ต้องไปด้วยกันหมด" ให้พวกเราทุกคนยืนขึ้นก็จะมีที่พอ สำหรับทุกคน จริง อย่างที่แกพูด พวก เราที่เหลือขึ้นมาบนรถได้ จากนั้นพวกเราก็ยืนกอดเอวกันไว้เป็น รูปวงกลมแน่นกระชับ จะได้ไม่ล้มเวลารถวิ่ง จากนั้น รถก็เริ่มวิ่งลุยน้ำไปเรื่อยๆ ช้าๆ

ในขณะนั้น สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ รอยยิ้มจากมุมปากของทุกคน บางคนก็มีมุขให้พวกเราได้หัวเราะกัน สนุกสนาน ดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อ ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยรู้จักมัก จี่กันมาก่อนเลย และเมื่อถึงจุดที่มีคนลงรถ พวกเราก็จะล่ำลาและอวยพรให้กันและ กันเหมือนประหนึ่งกับญาติตัวเองไม่มีผิด

จนในที่สุดรถก็วิ่งมาถึงนวนครซึ่งเป็น จุดสุดท้าย พวกเราที่เหลือลงจากรถแล้วก็เดินไป ไหว้ขอบคุณเจ้าของรถ แล้วผมก็โบกมือลาไอ้หนุ่มนักศึกษากับแฟนเพื่อเดินต่อจากนวนครไปประตูน้ำพระอินทร์

ผมเดินไปยิ้มไป ฮำเพลงบ้าง ผิวปาก บ้างอย่างอารมณ์ดี แบบที่ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ผมรู้ว่า"แสง สว่างนั้น ซ่อนอยู่หลังความมืดมิดเสมอ"

นาย หงส์แก่ 

สิ่งดีดีที่ได้จากน้ำท่วมภาค2

 ผมเป็นคนอีสาน อายุ 42 ปี  มีอาชีพรับจ้าง(พนักงานบริษัทฯ)   จบการศึกษาชั้นสูงสุดคือ ปวช. ตามสถานะภาพทางครอบครัวที่มีปัญญาส่งลูกเรียนได้สูงสุดแค่นั้นในยุคที่ไม่มีนมให้เด็กดื่มฟรี  ไม่มีกองทุน กยศ.  ไม่มีเรียนฟรี 15 ปี  ไม่มีการแจกแท็บเล็ต  และไม่เคยสัมผัสเครื่องคอมพิวเตอร์(เคยเห็นแต่มันตั้งอยู่ที่โต๊ะอาจารย์ฝ่ายทะเบียน)ไม่มีโทรศัพท์มือไว้โทรหาหญิง(ถ้าอยากหลีสาวต้องจดหมายอย่างเดียว)  หรือโทรไปขอเพลงจากดีเจตามคลื่นวิทยุอย่างทุกวันนี้(ถ้าอยากฟังเพลงไหนต้องใช้จดหมายแล้วรอฟังอีกสามวันถึงจะได้ฟัง)    
           แต่ผมโชคดีอย่างนึง  คือ....ผมเกิดเป็นคนอีสาน....เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่สอนให้รู้จักปากกัดตีนถีบ(ขาหนีบเอวดัน) ขยัน  อดทน  ที่สำคัญ คือ  ต้องซื่อสัจสุจริตและรู้คุณคน  จึงทำให้ผมได้เจริญก้าวหน้าทางหน้าที่การงานพอเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไม่เดือดร้อน    โดยผมต้องเดินทางจากประตูน้ำพระอินทร์  ไปทำงานที่ลาดพร้าว 80  ทุกวัน โดยตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งแล้วออกมารอรถตู้ซึ่งก่อนน้ำท่วมราคา 45 บาท พอน้ำท่วมเขาบอกต้องขึ้นโทรเวล์เลยต้องเก็บ 70 บาท(ซึ่งต่อมาโทรเวล์ไม่ได้เก็บค่าผ่านทาง  มันก็ยังเก็บ 70 บาทเหมือนเดิม)
           วันนี้ผมเลิกงานตามปกติ  แต่สิ่งที่ไม่ปกติในช่วงนี้คือ " น้ำท่วม" ซึ่งทำให้ผมต้องเดินทางกลับบ้านด้วยการนั่งรถเมล์หลายต่อ  กว่าจะถึงบ้านก็ 3-4 ทุ่มทุกวัน   วันนี้ผมนั่งรถเมล์สาย80  เพื่อไปอนุสาวรีย์ แต่พอรถวิ่งมาถึงตลาดสะพานสองก็ต้องหยุดแล้วกระเป๋ารถเมล์ผู้ที่มีหน้าตาเป็นอาวุธก็บอกกับเราว่าน้ำท่วมไปต่อไม่ได้(แล้ว(คุณ)ทำไมไม่บอกก่อนขึ้นรถเล้า)ให้ไปต่อรถทหาร(ซึ่งไม่รู้จะมาตอนไหน)   ผมยืนรอประมาณ 20 นาที  ก็ไม่มีรถทหารโพล่มาซักคัน  พอดีมีรถสิบล้อคันหนึ่งผ่านมาคนขับหน้าตาเหมือนทักษิณ  แจ่มผล ผู้ร้ายในหนังไทยสมัยที่ผมเป็นเด็กๆ เขาจอดรถแล้วยื่นหน้าออกมาพร้อมกับลอยยิ้มที่ดูจริงใจไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ  และถามเป็นภาษาอีสานที่แบบผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิดโดยไม่เคยลืมและก็ไม่เคยคิดจะลืมว่า "มี๊ผูได๋ซิไป๋หมอชิตบอ" (มีใครจะไปหมอชิดไหม๊) ผมเลยตัดสินใจขึ้นรถสีบล้อของพี่ชายใจดีคนนั้นเพื่อไปตายเอาดาบหน้า  เมื่อผมขึ้นมาบนรถมีผู้โดยสารอยู่แล้วประมาณ สิบกว่าคน  ผมเลือกที่จะมายืนใกล้ลุงเสื้อลายร่างผอมที่ดูเหมือนคนอมโรค  ผมส่งยิ้มให้แก  แก้มองผมด้วยสายตาที่ไม่มั่นใจนักแล้วค่อยๆยิ้มตอบผม ผมถามแกว่าลุงจะไปไหน  แกตอบว่า "ซิไป๋หมอชิต"  จึงทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าแกก็เป็นคนอีสานบ้านเฮาเหมือนกันกับผม  แล้วเราก็เริ่มคุยกันด้วยภาษาที่พ่อแม่ให้มาตั้งแก่เกิดโดยไม่ต้องมีใครมาช่วยแปลให้  ขณะที่เราคุยกันเพลินๆนั้นเอง  รถเกิดไปเหยียบเข้ากับอะไรซักอย่างจึงทำให้รถหยุดกระทันหันเป็นเหตุผู้คนบนรถบ้างก็เซบ้างก็ล้ม  แต่สายตาผมเห็นร่างของลุงเสื้อลายได้เซไปชนเข้ากับเหล็กกระบะข้างรถสิบล้อแล้วกระเด็นไปกระแทกเข้ากับสาวนางหนึ่งจนล้มไปด้วยกัน  เท่าที่ผมดู  เธอเป็นคนที่จัดว่าสวยมากๆคนนึง  เธอสวมเสื้อยืดคอปกสีส้มกางเกงยินขาสั้น(มากๆ)สีดำ และสะพายกระเป๋าสีขาวใบโต  
               ด้วยความตกใจลุงแกพยายามพยุงตัวลุกขึ้นแล้วก็ยกไหว้ปากก็พูดละร่ำละลักว่า "ขอโทษครับๆๆๆ"  แต่สิ่งที่พวกเราทั้งคันรถแทบไม่เชื่อสายตาและหูตัวเองก็คือ  เธอยิ้มเขินๆแล้วลุกขึ้นพร้อมกับพูดว่า "บอเป็นหยังลุง  บอเป็นหยัง"(ไม่เป็นไรลุงไม่เป็นไร)  และเมื่อเธอมองหน้าลุงเห็นบริเวณหางคิ้วของลุงมีเลือดออก  เธอจึงร้องด้วยความตกใจ "ลุงหัวแตก" ลุงเอามือแตะที่หางคิ้วตัวเองจึงรู้ว่าตัวเองหัวแตกจริงๆ   เธอไม่รอช้ารีบบอกให้ลุงนั่งลง จากนั้นเธอก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมาเช็ดเลือดที่หน้าลุงพร้อมกับบอกให้ผม ที่กำลังตกขะมะ(ตกตะลึง)เธอบอกว่า "อ้าย...เจ้ากดแผลไว่ เดี๋ยวหนูซิเอ๋าผ่ามามัดให่เล้า(พี่กดแผลไว้เดี๋ยวหนูจะเอาผ้ามัดให้แก)  ผมทำตามโดยไม่ต้องให้เธอบอกซ้ำ  แล้วเธอก็ล้วงมือเข้าไปเอาผ้าพันคอลายดอกไม้สีน้ำตาลในกระเป๋ามามัดทับผ้าเช็ดหน้าที่ผมกดอยู่อีกที  จากนั้นเธอก็เอากระดาษทิชชู่เช็ดเลือดที่หน้าลุงพร้อมกับถามลุงว่า "เป็นจังได๋ลุงเจ็บบอ"  ลุงตอบ"บอเจ็บดอก  ขอบใจ๋อีนางหลายๆลูก "  และคำพูดที่ทำให้ผมน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว คือ "บอเป็นหยังลุง  เฮาคนบ้านเดี๋ยวกั๋น  คนอีสานคือกั๋นเฮาบอซอยกั๋นแล่วผูได๋ซิมาซอยเฮา"    ถึงตรงนี้ผมสังเกตุดูสีหน้าและแววตาของทุกคนที่อยู่บนรถ  ทุกคนดูชื่นชมและเอ็นดูเธอมาก  ผมหยีบขวดน้ำในกระเป๋าที่แฟนกรอกให้ไว้ดื่มระหว่างเดินทาง(เพราะเธอรู้ว่าผมต้องอยู่บนรถอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมงทุกวัน)ยื่นให้เธอเพื่อล้างเลือดที่มือออก เธอรับแล้วก็บอก "ขอบคุณหลายอ้าย"  จากนั้นเราก็ถามสาระทุกข์สูขดิบกันจนมาถึงวัดไผ่ตัน  เราจึงลงจากรถแล้วพาลุงไปส่งให้แพทย์ทหารที่อยู่แถวนั้นช่วยทำแผลให้  เธอบอกลาผมแล้วก็ขึ้นรถเมล์ไป    เมื่อผมดูแล้วว่าลุงไม่เป็นไรมากผมจึงขอตัวกลับเหมือนกัน    ผมขึ้นรถได้ผมก็มานั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้  ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกรักและภูมิใจที่สุดที่ตนเองได้เกิดมาเป็นคน " อีสาน"



 สิ่งดีดีที่ได้จากน้ำท่วมภาคการ์ตูน

          คงไม่มีใครปฏิเสธว่า อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายสิบจังหวัดของประเทศไทยขณะนี้ ถือเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลาย ๆ สิบปี ชาวบ้านหลายคนบอกว่า "น้ำท่วม" ไหลมาถึงบ้านเร็วและรุนแรงมาก ไม่มีใครคาดคิด ไม่มีใครเตรียมตั้งตัว หรือตั้งรับใด ๆ จนทำให้เกิดความเสียหายตามมามากมาย 

          ผู้ประสบภัยหลายคนต้องทนเห็นบ้าน เห็นรวงข้าวที่กำลังจะเก็บเกี่ยว เห็นพืชผักผลไม้ที่กำลังจะผลิดอกออกผลจมน้ำไปทีละน้อย ๆ โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะที่ข้าวของทรัพย์สินต่าง ๆ ในบ้านที่ขนย้ายขึ้นที่สูงไม่ทัน ก็ถูกกระแสน้ำเชี่ยวพัดพาหายไปต่อหน้าต่อตา 

           แม้ว่า "น้ำท่วม" จะได้พัดพาเอา "ความเศร้า" และ "ความสิ้นหวัง"  มายังผู้ประสบภัย แต่อีกด้านหนึ่ง ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ได้พัดพาตามมากับสายน้ำ และเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะได้เห็นในยามเกิดวิกฤติการณ์เช่นนี้ 

          สิ่งนั้นคืออะไร หาคำตอบได้ใน การ์ตูนน่ารัก ๆ ของคุณ มุนิน ค่ะ






























 แม้ว่า  "น้ำท่วม"  อาจจะทำให้ผู้ประสบภัยต้องเสีย  "น้ำตา"  แต่ยังไม่ทันที่คราบ  "น้ำตา"  จะจางหาย "น้ำใจ"  และ  "ความร่วมมือร่วมใจ"  จากทั่วทุกสารทิศ ก็ได้หลั่งไหลส่งมาถึงผู้ประสบภัยพร้อม ๆ กับสายน้ำที่ไหลเชี่ยว ต่างกันเพียงแค่  "สายธารแห่งน้ำใจ"  ครั้งนี้มาพร้อมกับ  "ความสุข"  ,"ความหวัง"  แล ะ "กำลังใจ"  ที่ฝากถึงผู้ประสบภัยทุกคน ขอให้อดทน สู้ต่อไป แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน



ขอขอบคุณเรื่องและภาพวาดโดย คุณมุนินฺ
Credit : prachachat.net,thailandsusu.com,กระปุกดอทคอม 

เรียบเรียง :  http://www.ruengdd.com/ ,www.เรื่องดีดี.com,เรื่องดีดีดอทคอม