10 หนังสือแนะนำสำหรับคนรักการเทรด
ผมเชื่อว่า เพื่อนๆนักลงทุนทุกท่าน ย่อมรักการอ่านหนังสือ และมีหนังสือในดวงใจอยู่แล้ว ผมก็อยากจะขอแชร์และแนะนำ 10 หนังสือที่เหมาะสำหรับผู้ที่รักการเทรดในตลาดเงินและตลาดทุนครับ 10 เล่มนี้ อาจจะเปลี่ยนชีวิตคุณได้ครับ ผมมีครบทุกเล่มครับ ^__^ ชอบไม่ชอบยังไง ก็ลองหามาอ่านดูน่ะครับ
เล่มที่ 1 ?มีขันติ คือ ให้พรแก่ตัวเอง?
เล่มแรกที่อยากจะแนะนำนี่ ถือว่าเป็น A Must Read Book เลยครับ เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ซึ่งแต่งโดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก (โดยส่วนตัวชอบแนวทางการสอนธรรมะของท่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับ) ทำให้ผมได้แนวคิดเรื่องการให้พรกับตัวเองมาเล่าสู่กันฟังครับ
หนังสือเล่มสีเขียวขนาดกะทัดรัดเล่มนี้ชื่อว่า "มีขันติ คือ ให้พรแก่ตนเอง" ด้วยความที่คุณพ่อผมเค้าจะพยายามให้อ่านหนังสือแนวธรรมะ เพื่อให้ผมได้มีสติและสมาธิอยู่กับตัวอยู่เสมอนั้น ก็ทำให้ผมได้อ่านหนังสือแนวธรรมะบ้างครับ แต่ว่าหนังสือเล่มนี้โดนใจมากๆครับ (เพราะขนาดของหนังสือ และรูปลักษณ์ การนำเสนอที่น่าอ่าน) ยิ่งเมื่อได้อ่านแล้ว ผมก็รู้เลยว่า หนังสือเล่มนี้ สามารถนำมาประยุกต์กับชีวิตประจำวันรวมถึงการเทรดของผมได้เป็นอย่างดีครับ
สาระสำคัญที่ผมสัมผัสได้คือ พระอาจารย์มิตซูโอะ ได้พยายามที่จะสื่อว่า
"ความอดทน เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตทุกขั้นตอน
เพราะเพียงเพื่อเราจะมีชีวิตรอดอยู่ในโลก ทุกชีวิตต้องอาศัยความอดทน (ขันติ) เป็นพื้นฐาน"
เพราะแค่เพียงแค่การดำรงชีวิตให้อยู่รอดในโลกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว... ลองหลับตาแล้วคิดตามดูนะครับ...จริงหรือเปล่าครับ?
..มันคือความจริงชัดๆ!!..
ท่านย้ำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาภาวะปกติของเรา ไม่ให้ถูกกระทบจากสิ่งที่น่าพอใจ หรือสิ่งที่ไม่น่าพอใจ กล่าวคือ
เมื่อนำเอาสองคำนี้มารวมกัน ก็จะออกมาเป็นคำง่ายๆ แต่ทำได้ยากมากๆคือ ?อดทน? ครับ
เจ๋งมั๊ยหล่ะครับ ^__^
และในเรื่องนี้หากถามว่าทางพุทธศาสนาเรา สิ่งนี้มันสำคัญหรือไม่...?
ก็ขอฟันธงและคอนเฟิร์มอีกแรงครับว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากครับเพราะ "โอวาทปาฎิโมกข์" อันเป็นคาถาบทแรกที่สัมมนาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นก็คือ เรื่อง ความอดทน อดกลั้น... และคุณธรรมที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายคือ การรักษาศีล (ไม่เบียดเบียน) การมีสมาธิ และการมีปัญญา คุณธรรมทั้งสามสัมพันธ์กัน เพราะเมื่อเราไม่เบียดเบียนใคร จะเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ และสมาธิก็จะเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญานั่นเอง
เหตุผลที่ผมเลือกอ่านเล่มนี้ ก็เพราะ
1) ระหว่างการเทรด ถ้าเรามีความอดทน อดกลั้น ที่ดีพอโอกาสที่เราจะทำกำไรได้นั้นย่อมมีสูงทีเดียว เพราะเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จนั้น ต้องรู้จักจังหวะที่จะเล่น ไม่ใช่ใจร้อน หุนหันพลันแล่น เข้าไปมั่วๆครับ...
2) ในแง่ของชีวิตประจำวัน ถ้าทุกคนมี ขันติ ซึ่งกันและกันแล้ว สังคมก็จะน่าอยู่มากขึ้นครับ เรื่องร้ายๆก็จะไม่เกิด เพราะเมื่อมี ขันติ แล้ว สันติ ย่อมเกิดขึ้นครับ
เล่มที่ 2 ?โชคดี?
เล่มที่ 2 ที่ผมอยากจะแนะนั้น ก็ยังอยู่ในแนวธรรมะครับ ชื่อหนังสือว่า ?โชคดี? เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นโดยรวบรวมบทความของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เช่นเดียวกับ ?มีขันติ คือ ให้พรแก่ตนเอง? มีสองตอนครับ โดยตอนแรกนั้น จะเป็นเรื่องเล่าของชายผู้หนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุหลายครั้ง แต่เขาก็คิดแต่สิ่งที่ดี ไม่ว่าเค้าจะเจอสิ่งที่เลวร้ายแค่ไหน เค้าก็จะคิดว่าเค้า ?โชคดี? ที่ได้ประสบพบเจอสิ่งเหล่านั้น ผลสุดท้ายเขาก็ได้รับแต่สิ่งดีๆ กลับมามากขึ้นทุกครั้ง ส่วนตอนที่สองนั้น เป็นบทความที่เกี่ยวกับข้อคิดในการทำงาน ว่าคนเราควรคิดและปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับตัวเราเอง
เหตุผลที่ผมเลือกอ่านหนังสือเล่มนี้ก็เพราะ :
1. หนังสือเล่มนี้เป็นธรรมะสมัยใหม่ ที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย ไม่น่าเบื่อ เพราะมีเรื่องเล่าต่างๆ อ่านแล้วเพลินมากครับ อีกทั้งยังได้ข้อคิด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
2. เมื่อได้อ่านแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ ครับ ช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น
3. บางครั้งระหว่างเทรด เมื่อผมเทรดได้กำไร ผมก็เริ่มที่จะบอกกับตัวเองว่า ?โชคดี? หรือแม้แต่ตอนที่ผมขาดทุน ผมก็พยายามที่จะพูดว่า ?โชคดี? แล้วมันก็ค่อนข้างจะได้ผมครับ มันทำให้ผมสามารถเรียกกำลังใจในการเทรดครั้งต่อไปได้ดีทีเดียว
วันนี้ก็ขอแนะนำเพียงแค่ 2 เล่มก่อนน่ะครับ พรุ่งนี้มาต่อเล่ม 3 กับ 4 กันครับ จะเป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนครับ น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งครับ
..มีหนังสือ..มาแนะนำ..ให้ชวนอ่าน..
..สองเล่มแรก..เน้นธรรมะ..ได้ใจหลาย..
..มีขันติ..และอดทน..ไว้กับใจ..
..ยากแค่ไหน..คิดเอาไว้..โชคดีเอย..
เล่มที่ 1 ?มีขันติ คือ ให้พรแก่ตัวเอง?
เล่มแรกที่อยากจะแนะนำนี่ ถือว่าเป็น A Must Read Book เลยครับ เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ซึ่งแต่งโดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก (โดยส่วนตัวชอบแนวทางการสอนธรรมะของท่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับ) ทำให้ผมได้แนวคิดเรื่องการให้พรกับตัวเองมาเล่าสู่กันฟังครับ
หนังสือเล่มสีเขียวขนาดกะทัดรัดเล่มนี้ชื่อว่า "มีขันติ คือ ให้พรแก่ตนเอง" ด้วยความที่คุณพ่อผมเค้าจะพยายามให้อ่านหนังสือแนวธรรมะ เพื่อให้ผมได้มีสติและสมาธิอยู่กับตัวอยู่เสมอนั้น ก็ทำให้ผมได้อ่านหนังสือแนวธรรมะบ้างครับ แต่ว่าหนังสือเล่มนี้โดนใจมากๆครับ (เพราะขนาดของหนังสือ และรูปลักษณ์ การนำเสนอที่น่าอ่าน) ยิ่งเมื่อได้อ่านแล้ว ผมก็รู้เลยว่า หนังสือเล่มนี้ สามารถนำมาประยุกต์กับชีวิตประจำวันรวมถึงการเทรดของผมได้เป็นอย่างดีครับ
สาระสำคัญที่ผมสัมผัสได้คือ พระอาจารย์มิตซูโอะ ได้พยายามที่จะสื่อว่า
"ความอดทน เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตทุกขั้นตอน
เพราะเพียงเพื่อเราจะมีชีวิตรอดอยู่ในโลก ทุกชีวิตต้องอาศัยความอดทน (ขันติ) เป็นพื้นฐาน"
เพราะแค่เพียงแค่การดำรงชีวิตให้อยู่รอดในโลกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว... ลองหลับตาแล้วคิดตามดูนะครับ...จริงหรือเปล่าครับ?
..มันคือความจริงชัดๆ!!..
ท่านย้ำว่า ขันติ หมายถึง การรักษาภาวะปกติของเรา ไม่ให้ถูกกระทบจากสิ่งที่น่าพอใจ หรือสิ่งที่ไม่น่าพอใจ กล่าวคือ
...อด คืออยากได้แต่ไม่ได้....ทน คือไม่อยากได้แต่ดันได้?
เมื่อนำเอาสองคำนี้มารวมกัน ก็จะออกมาเป็นคำง่ายๆ แต่ทำได้ยากมากๆคือ ?อดทน? ครับ
เจ๋งมั๊ยหล่ะครับ ^__^
และในเรื่องนี้หากถามว่าทางพุทธศาสนาเรา สิ่งนี้มันสำคัญหรือไม่...?
ก็ขอฟันธงและคอนเฟิร์มอีกแรงครับว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากครับเพราะ "โอวาทปาฎิโมกข์" อันเป็นคาถาบทแรกที่สัมมนาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นก็คือ เรื่อง ความอดทน อดกลั้น... และคุณธรรมที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายคือ การรักษาศีล (ไม่เบียดเบียน) การมีสมาธิ และการมีปัญญา คุณธรรมทั้งสามสัมพันธ์กัน เพราะเมื่อเราไม่เบียดเบียนใคร จะเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ และสมาธิก็จะเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญานั่นเอง
เหตุผลที่ผมเลือกอ่านเล่มนี้ ก็เพราะ
1) ระหว่างการเทรด ถ้าเรามีความอดทน อดกลั้น ที่ดีพอโอกาสที่เราจะทำกำไรได้นั้นย่อมมีสูงทีเดียว เพราะเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จนั้น ต้องรู้จักจังหวะที่จะเล่น ไม่ใช่ใจร้อน หุนหันพลันแล่น เข้าไปมั่วๆครับ...
2) ในแง่ของชีวิตประจำวัน ถ้าทุกคนมี ขันติ ซึ่งกันและกันแล้ว สังคมก็จะน่าอยู่มากขึ้นครับ เรื่องร้ายๆก็จะไม่เกิด เพราะเมื่อมี ขันติ แล้ว สันติ ย่อมเกิดขึ้นครับ
เล่มที่ 2 ?โชคดี?
เล่มที่ 2 ที่ผมอยากจะแนะนั้น ก็ยังอยู่ในแนวธรรมะครับ ชื่อหนังสือว่า ?โชคดี? เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นโดยรวบรวมบทความของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เช่นเดียวกับ ?มีขันติ คือ ให้พรแก่ตนเอง? มีสองตอนครับ โดยตอนแรกนั้น จะเป็นเรื่องเล่าของชายผู้หนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุหลายครั้ง แต่เขาก็คิดแต่สิ่งที่ดี ไม่ว่าเค้าจะเจอสิ่งที่เลวร้ายแค่ไหน เค้าก็จะคิดว่าเค้า ?โชคดี? ที่ได้ประสบพบเจอสิ่งเหล่านั้น ผลสุดท้ายเขาก็ได้รับแต่สิ่งดีๆ กลับมามากขึ้นทุกครั้ง ส่วนตอนที่สองนั้น เป็นบทความที่เกี่ยวกับข้อคิดในการทำงาน ว่าคนเราควรคิดและปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับตัวเราเอง
เหตุผลที่ผมเลือกอ่านหนังสือเล่มนี้ก็เพราะ :
1. หนังสือเล่มนี้เป็นธรรมะสมัยใหม่ ที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย ไม่น่าเบื่อ เพราะมีเรื่องเล่าต่างๆ อ่านแล้วเพลินมากครับ อีกทั้งยังได้ข้อคิด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
2. เมื่อได้อ่านแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ ครับ ช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น
3. บางครั้งระหว่างเทรด เมื่อผมเทรดได้กำไร ผมก็เริ่มที่จะบอกกับตัวเองว่า ?โชคดี? หรือแม้แต่ตอนที่ผมขาดทุน ผมก็พยายามที่จะพูดว่า ?โชคดี? แล้วมันก็ค่อนข้างจะได้ผมครับ มันทำให้ผมสามารถเรียกกำลังใจในการเทรดครั้งต่อไปได้ดีทีเดียว
วันนี้ก็ขอแนะนำเพียงแค่ 2 เล่มก่อนน่ะครับ พรุ่งนี้มาต่อเล่ม 3 กับ 4 กันครับ จะเป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนครับ น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งครับ
..มีหนังสือ..มาแนะนำ..ให้ชวนอ่าน..
..สองเล่มแรก..เน้นธรรมะ..ได้ใจหลาย..
..มีขันติ..และอดทน..ไว้กับใจ..
..ยากแค่ไหน..คิดเอาไว้..โชคดีเอย..
เล่มที่ 3 Market Wizards
ความจริง ชื่อ Wizard Kid นี่ ก็มีที่มาจากหนังสือเรื่อง Market Wizard นี่แหล่ะครับ เป็นหนังสือที่เกิดจากบทสัมภาษณ์จริงกับสุดยอดเทรดเดอร์ของโลกทั้งหลายครับโดยผู้ที่เป็นคนสัมภาษณ์ก็คือคนเดียวกับผู้เขียนหนังสือนี่แหล่ะครับ เค้าก็คือ Jack Schwager (เป็นหนึ่งในเซียนหุ้นของอเมริกาครับ) โดยหนังสือจะมี 3 เล่มครับ จะอ่านเล่มไหนก่อนก็ได้ครับ
โดยเนื้อหาคร่าวๆของหนังสือ Market Wizards เนี่ยะ ถือว่าสุดยอดและคุ้มค่าที่จะอ่านเลยครับ
นี่แหล่ะครับคือ นิยามของหนังสือสามเล่มนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนสไตล์ใด ไม่ว่าคุณชอบหุ้น ฟิวเจอร์ ค่าเงิน หรือ Commodities ก็แล้วแต่ หนังสือชุดนี้ มีเทรดเดอร์จากทุกสายสาขา ให้คุณได้เลือกอ่าน ได้เรียนรู้ว่า สุดยอดเทรดเดอร์แต่ละท่านนั้น มีแนวคิดการวิเคราะห์หุ้นและวิธีการเล่นหุ้นอย่างไร
เพราะหนังสือเล่มนี้ก็ถือเป็นหนังสือในตำนานของนักเล่นหุ้นทั่วโลกเล่มหนึ่งเลยครับ
ว่าแล้วก็ขอเอา รายชื่อและประวัติย่อๆของเซียนหุ้นแต่ละท่านมาเรียกน้ำย่อย เพื่อให้เกิดต่อมความอยาก อยากที่จะอ่าน อยากจะหามาติดบ้านกันดีกว่าน่ะครับ (มีเทรดเดอร์เพียบครับ แต่ขอเล่าที่ผมชอบน่ะครับ แหะแหะ)
เริ่มกันที่คนนี้เลยดีกว่าครับ
? Martin Schwartz เขาเป็นใครนะเหรอครับ คร่าวๆก็แค่เคยเป็นแชมป์ U.S. Investing Championship in 1984 ซึ่งถือเป็นรางวัลที่มีเกียรติสำหรับเหล่าบรรดานักเล่นหุ้นชาวอเมริกันเป็นอย่างมาก และเป็นผู้ที่ถูกกล่าวขานให้เป็น ตำนานของตำนาน! ของบรรดาเหล่านักเล่นหุ้นระยะสั้นของชาวอเมริกันเชียวนะครับ
? Bruce Kovner ในช่วงเวลาขณะที่สัมภาษณ์นั้นยิ่งใหญ่ถึงขนาดเป็นนักเล่นฟิวเจอร์ และ ตลาดเงินรายใหญ่ที่สุดของโลก เรื่องฝีมือคงไม่ต้องพูดถึงครับ ขาใหญ่มาเอง
? Jim Rogers คิดว่าหลายท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อเซียนหุ้นคนนี้นะครับเป็นถึงผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน อีแร้ง Hedge fund ร่วมกับ George Soros ที่เคยถล่มค่าเงินมาแล้วหลายประเทศรวมถึงพี่ไทยด้วย ซึ่งก็คือ Quantum fund อันลืมชื่อนั่นเองครับ วิธีการเล่นหุ้นของแก แกมองไกลมากครับน่าศึกษาเช่นเดียวกัน
? Steve Cohen คนนี้นี่ โค-ตะ-ระ เก่งหุ้นมากๆเลยครับ โดยเฉพาะฝีมือการวิเคราะหุ้นและเล่นหุ้นชั้นเซียนนั้น ล้ำลึกมากๆเช่นกันครับ จากสถิติที่เคยบันทึกมีไว้ในการจัดการกองทุนคร่าวๆนั้น Steve Cohen ทำกำไรไว้เกือบ 100% ต่อปี ติดต่อกัน 7 ปี โดยมีเพียงสามเดือนที่ขาดทุน!! และเคยขาดทุนมากที่สุดเพียงแค่ประมาณ 2% กว่าๆภายในเดือนนั้น เท่านั้นเองครับ สุดยอดมากๆครับ อยากให้เฮียแกมาสอนผมเทรดจริงๆ นี่มันเทพชัดๆ เหอๆๆ
? Randy McKay คนนี้นี่ ผมชื่นชอบในแนวความคิดของเค้าครับ จากทหารที่เคยทำสงครามเวียดนาม สู่สุดยอดฟิวเจอร์เทรดเดอร์คนนึงของอเมริกาครับ เป็นแรงบันดาลใจให้ผมฝันที่จะเป็นสุดยอดเทรดเดอร์ด้านฟิวเจอร์ของเมืองไทยในอนาคตเช่นกันครับ ได้ไม่ได้ไม่รู้ครับ อย่างน้อยก็ต้องลองกับมันซักตั้ง หุหุ
เล่มที่ 4 WAY of the TURTLE
สำหรับบุคคลที่เป็นผู้ปลุกปั้นเทรดเดอร์เต่ากลุ่มนี้ขึ้นมา เขาก็คือบุคคลที่เคยได้รับฉายาว่าเป็น ?Prince of the Pit? หรือ เจ้าชายแห่งตลาด ?คอมโมดิตี้? และตลาด ?ฟิวเจอร์? และยังเป็นถึงเจ้าตำรับ Trend Follower ผู้ที่แรกเริ่มเดิมทีนั้น ได้นำเงินเข้าตลาดและเริ่มต้นชีวิตการเป็นโคตรเซียนหุ้นด้วย เงินเพียง 400เหรียญ และเปลี่ยนมันกลับเป็นกำไรกลับมาถึง 200 ล้านเหรียญ!!!?..เขาคนนี้นี่แหล่ะครับ ที่เป็นผู้ที่สร้างเทรดเดอร์ระดับโลก ออกมาอีกหลายคน เขาก็คือ Richard J. Dennis ครับ
โดยในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนคือ Curtis M. Faith ซึ่งเป็นหนึ่งใน Turtle Trader จะเริ่มเล่าตั้งแต่ที่มาว่า ทำไม Richard Dennis ถึงได้พนันกับเพื่อนซี้ของเค้าว่า เค้าสามารถปั้นคนธรรมดาที่ไม่มีพื้นฐานด้านการเทรด ให้เป็นสุดยอดเทรดเดอร์ได้ โดยใช้วงเงินพนันกันที่ 1 ล้านดอลล่าห์ครับ!! แล้วที่ผมชอบอีกอย่างในหนังสือเล่มนี้คือ มีการบอกเล่ารายละเอียดของระบบการเล่นหุ้นที่น่าสนใจระบบหนึ่งที่เคยโด่งดังมากในอเมริกา และด้วยวิธีการเล่นหุ้นและวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคในรูปแบบนี้แหละ ที่ทำให้ ?กลุ่มเต่า? เจเนอเรชั่นหลังๆ แต่ละคนทำเงินกันได้มหาศาลจริงๆครับ
สรุปว่า สิ่งที่ผมได้รับจากการอ่านหนังสือ 2 เล่มนี้ คือ
1) ผมสามารถค้นหาตัวเองได้ว่า แท้จริงแล้วผมเป็นเทรดเดอร์สไตล์ใด เพราะเทรดเดอร์ใน Market Wizards แต่ละคนนั้นจะมีลักษณะไม่เหมือนกันเลยครับ แต่เมื่อผมได้อ่านแล้ว ผมก็มาเช็คดูแล้ว เห็นชัดเลยครับว่า เทรดเดอร์ที่ผมชื่นชอบนั้น มีสไตล์การเทรดที่เหมือนกับที่ผมเทรดอยู่ครับ
2) เทรดเดอร์ทุกคนจากทั้ง 2 เล่มที่แนะนำ พูดสิ่งเดียวที่ตรงกันคือ เทรดเดอร์ที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องรู้จัก ?วินัยการเทรด? ครับ เหมือนจะเว่อร์ แต่มันคือเรื่องจริงที่ไม่เว่อร์เลยครับ ขอให้คุณมีวินัยการเทรดที่ดีพอ คุณก็ไม่มีวันจะแพ้ตลาด แต่ถ้าเมื่อไหร่ วินัยคุณเสีย คุณใช้อารมณ์ในการเทรด รับรองครับ เจ๊งบ๊ง!!
3) ผมมักจะอ่านหนังสือสองเล่มนี้ ในยามที่ผมท้อแท้จากการขาดทุนติดต่อกันครับ เพื่อเอาไว้เรียกกำลังใจกลับคืนมา มันช่วยได้จริงๆครับ
วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ถ้าตลาดเงียบเหงา ผมคงได้หลับคาโต๊ะเทรดแน่ๆครับ หุหุ
เล่มที่ 5 ?ตีแตก?
แทบไม่ต้องแนะนำเลยครับ สำหรับสุดยอดหนังสือในตำนาน ที่นักลงทุนมือใหม่ควรอ่าน...
......ตีแตก!!!.....
เป็นหนังสือที่เขียนโดยสุดยอด VI เมืองไทยอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มนักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ Value Investor จะว่าไปหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ต่างจากตำราพิชัยสงคราม ในสมรภูมิตลาดหุ้นครับ ลองซื้อหาอ่านกันดูครับ
สิ่งที่ผมชอบในหนังสือเล่มนั้น คือหนังสือเล่มนี้ปูพื้นฐาน ทั้งความคิดและทฤษฎี จนผมว่าอ่านกี่ครั้งก็สุดยอดครับ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น ก็คือ ?เหตุการณ์? ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หนังสือเล่มนี้ออก คือช่วง ?วิกฤติต้มยำกุ้ง? ปี 2540 และวิวัฒนาการทางการลงทุนของตัวดร.นิเวศน์เอง ที่แสดงให้เห็นว่า ท่านได้ลงทุนเหมือน Warren Buffet อย่างชัดเจนครับ
การเปลี่ยนแปลงของพอร์ทลมทุนของ ดร.นิเวศน์ นั้น ผมว่านักลงทุนแนวเน้นคุณค่า ควรจะศึกษาเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะผมคิดว่ามันเหมาะกับการลงทุนระยะถัด ๆ ไปของนักลงทุนที่มีพอร์ตใหญ่ขึ้น
สรุปแง่คิดจากหนังสือเล่มนี้ก็คือ
แนะนำให้อ่าน 2-3 รอบน่ะครับ เพราะคุณจะ ?ตีแตก? การลงทุนอย่างฉลาด ไม่ใช่ ?ดีแตก? น่ะครับ ฮ๋าๆๆ
เล่มที่ 6 ?กูรูพันล้าน เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์?
ความเป็น ?สุดยอด? ของนักเล่นหุ้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ลงทุนจากเงินทุน 2 ล้านบาท แล้วประสบความสำเร็จจนมีเงินนับ ?พันล้านบาท? จาก ?ต้นกล้า? ฝ่าแดด?ต้านฝน จนเป็น ?ไม้ใหญ่?
สำหรับเล่มนี้นั้น ผมไม่ทราบว่ามีตีพิมพ์รึเปล่าน่ะครับ แต่สามารถหาอ่านได้ตาม Internet ครับ โดยเนื้อหานั้น เป็นชีวิตจริง เรื่องจริง เจ็บจริง และรวยจริง ของหนึ่งในสุดยอดเซียนหุ้นเมืองไทยครับ....ใช่แล้วครับ
...เสี่ยยักษ์ หรือ วิชัย วชิรพงศ์ นั้นเอง...
ถึงแม้ผมจะไม่เคยพบตัวจริงของเสี่ยยักษ์ แต่ผมก็ยกให้เสี่ยยักษ์เป็นหนึ่งในไอดอลด้านการลงทุนของผมครับ เพราะจากประวัติที่ได้อ่านนั้น เสี่ยยักษ์เป็นคนที่เริ่มจากศูนย์ มีต้นทุนการลงทุน 2 ล้านบาท แต่ด้วยความเพียรพยายาม ความขยัน ความใฝ่รู้ และการอ่านเกมส์ที่เฉียบขาด ก็สามารถทำให้เงินงอกเงยเป็นพันล้านบาทได้ สุโค่ยครับ!!
เนื่องจากผมชอบบทความของเสี่ยยักษ์มากเป็นพิเศษ ก็เลยขอสรุปแง่คิดที่ได้จากการอ่านบทความของเสี่ยน่ะครับ โดยนำข้อสรุปมาจากเว็บหลายๆเว็บที่ผมได้ติดตามอ่านมาน่ะครับ ขอบคุณเว็บทั้งหลายด้วยครับ (คำพูดนั้น เป็นของเสี่ยยักษ์น่ะครับ สุดยอดจริงๆ)
บทสรุปของ ?สุดยอดวิชา? จาก เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์
จะอยู่รอดต้องเป็นมืออาชีพ
ผมเตรียมที่จะมาพูดตรงข้ามกับคุณศิริวัฒน์เลย คือคุณศิริวัฒน์ บอกว่าอย่าเอาตลาดหุ้นมาเป็นอาชีพ แต่ผมคิดว่าถ้าเราจะอยู่ในตลาดหุ้น เราต้องเป็นมืออาชีพ เช่น คุณจะเป็นหมอฟันต้องเรียนทันตแทพย์มา คุณจะเล่นหุ้น เจ็ดวันคุณมาเล่นหุ้นแล้ว แล้วคุณก็เออ ก็ได้ ทุกคนส่วนมากเล่นหุ้นแรกๆ มักจะได้ แล้วก็จะตามเพื่อน สุดท้ายเพื่อนที่อยู่มาสิบปีก็มีผิดเหมือนกัน ผิดเพราะรู้ไม่จริง
เทคนิเคิลไม่เคยหลอก
ผมอยู่มาประมาณยี่สิบปี เทคนิเคิลไม่เคยหลอก ผมขอยืนยัน ถ้าคุณเก่งจริง เทคนิคไม่เคยหลอกเพียงแต่เราไม่รู้ ดังนั้นเราต้องเป็นมืออาชีพให้ได้ นี่คือข้อที่ 1
รายย่อยได้เปรียบรายใหญ่
ข้อที่ 2 นักเล่นหุ้นทุกคนล้วยเคยเป็นรายย่อยมาหมด เมื่อก่อนผมก็เป็นรายย่อย หลายคนบอกว่ารายใหญ่ได้เปรียบ มันไม่ใช่เลย รายย่อยต่างหากที่ได้ เปรียบเพราะว่าคุณซื้อหนึ่งครั้งคุณเต็มพอร์ต คุณขายหนึ่งครั้งหมดพอร์ต
แต่ถ้ารายใหญ่หลายร้อยล้านหุ้น จะขายยังไงดังนั้นรายย่อยจึงได้เปรียบรายใหญ่มากๆ
ทำธุรกิจยากกว่าเล่นหุ้น
อย่างที่บ้านทำโรงงานเล่นหมี่ พ่อสามารถส่งไปยังลูกนี่คือธุรกิจ ธุรกิจสามารถส่งต่อได้ พี่ชายเป็นหมอ หลานอีกคนเป็นหมอก็ต้องเรียนปีหนึ่งใหม่ อีกอยู่ดี ดังนั้นการทำธุรกิจยากกว่าตลาดหุ้นมาก ตลาดหุ้นถ้าอยากจะเลิกก็เลิก อยากจะไปก็ไปหันหลังพรึบสามช่องก็ออกได้แล้ว
เล่นหุ้นต้องเป็นยาม
การเล่นหุ้นเราต้องรู้ให้จริง ต้องมีการวางแผน เราต้องรู้ตัวว่าจะทำอะไร เราต้องเตรียมตัวไว้ก่อน เปรียบเสมือนกับการเฝ้ายาม คุณต้องใจ เย็นๆ ต้องนิ่งๆ ต้องเป็นยาม
คว้าดาวเด่น
ถ้าตรงนี้ใช่ทางของเราๆ ก็เล่น ถ้าไม่ใช่ทางของเรา เราก็ไม่เล่น แต่ละรอบของมันจะมีดาวเด่นอยู่ คุณต้องคว้าให้เจอ คุณต้องหาให้เจอ รอบที่ผ่นามา เช่น atc จาก 3 บาท เป็น 75 บาท บางคนซื้อ 3 ขาย 3.5 แพ้ชนะกันที่เฉียดรวย
เทคนิค + พื้นฐาน
ใช้เทคนิคเป็นจุดซื้อขาย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องดูพื้นฐาน เปรียบเสมือนกับคุณขึ้นรถเมล์ คุณจะไปสะพานตากสิน คุณกลัวร้อนเลยนั่งรอในรถ รถ สตาร์ตเครื่องแล้วแต่ไม่ออก บรื้นๆ อยู่นั่นแหละ จังหวะมันผิด อ้าวคันข้างๆ ออกไปแล้ว กระเป๋ารถเมล์มาเขย่ากระป๋องสามที โชเฟอร์เบิ้ลเครื่องอีกสอง ที ไอ้เราก็นั่งรอ ไม่ใช่คันนี้อีกแล้ว เราเปลี่ยนดีกว่า ไปนั่งคันที่ออก ทุกคนโดนมาหมด มันจึงต้องใช้เทคนิค เทคนิเคิลไม่เคยหลอก ปฏิวัติเนี่ยะนะ เทคนิคเคิลก็ยังรู้เลย แต่ก็รู้แค่เล็กๆ เพราะว่าอะไรนะรึ เพราะว่าผมจะปฏิวัติ ผมก็ต้องไปบอกญาติ บอกเพื่อนบอกแฟน เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนโทร มาบอกว่ามันจะไม่ดีนะ แต่บอกก่อนล่วงหน้าตั้งสิบวัน เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้เทคนิคอล เทคนิคอลช่วยกำหนดการซื้อให้เราได้ แล้วดูหุ้นที่พื้นฐาน ตอนขายเทคนิเคิลไม่เคยหลอกอีกเหมือนกัน
ไม่มีใครถูกเสมอและผิดตลอดไป
จากทั้งหมดนี้ ถ้าเราดูอย่างวิเคราะห์ คุณสมพงษ์บอกซื้อ คุณหมอบอกรออีกหน่อย ไม่มีใครถูกใครผิด เพราะมันวัดผลกันยาวๆ อย่างคุณสมพงษ์ บุคลิคเป็นคนจิตใจดี แตงโมบอกผมไปทำแมนชั่นดีกว่า นี่คือบุคลิคของคน
ดังนั้นคุณต้องถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณเป็นคนอย่างไร
คุณสมพงษ์อดทน เค้าไปเยี่ยมชมบริษัท คุณทำแบบเขาได้หรือไม่ การมาพูดครั้งนี้คุณสมพงษ์เขียนมายี่สิบหน้า เวลาเขามองหุ้นเขามองสามปีถึงสิบปี มองเน้นคุณค่า
แต่ กรณีอย่างผมเล่นเก็งกำไร สมมุติว่าตอนนี้เวลาประมาณตีสาม ยังไม่เช้า ก็ยังมีเวลาเลือกซื้อ อย่างใจเย็นๆ แล้วจะรู้ว่าตีห้าได้อย่างไร
มันยากมากที่จะรู้ ตอนแรกผมก็เล่นน้อยก่อน ไม่ใช่ว่าทุ่มสุดตัวแล้วปรากฏว่า อ้าว โดนนิ้วอีกแล้ว
หุ้นเด่นในดวงใจ
ทุกคนเล่นหุ้น ต้องมีหุ้นในดวงใจให้ได้ก่อน วันไหนที่คุณมีหุ้นในดวงใจคุณจะนิ่ง เหมือนเช่นเดียวกับคุณสมพงษ์ เขาจะสามารถ let profit run เยอะ เพราะทนได้ยาว เขาอึด วันไหนไม่มีหุ้นในดวงใจ รับประกันเลยว่าไม่มีทางรวยแน่ๆ พอซื้อเสร็จเห็นขึ้นไปช่องสองช่อง เห็นว่าโดนทุบมาล้านนึง เสร็จเลย ขายซะแล้ว พอขึ้นมาอีกหน่อยก็ไม่กล้าซื้อ หรือไม่ก็ซื้อน้อยลง ศึกษาเยอะๆ หาหุ้นในดวงใจให้เจอ
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
แล้วแต่ว่าเราเป็นคนอย่างไร ถ้าอยากชนะต้องศึกษาและรอบรู้ ต้องมีเพื่อนเยอะ ดูว่าเขาศึกษาอย่างไร เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าโทษคนอื่น โทษตัวเราคนเดียว ใครทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น ถ้าคุณเล่นหุ้นปั่น สักวันถ้าคุณไม่เลิกสุดท้ายก็หมดตัว เพราะจุดจบของหุ้นปั่นคือหมดอยู่แล้ว บางครั้งเรารอดเพราะเขาเอาปืนแก็บยิงเรา แต่วันไหนเอาแหครอบที่เดียวเราโดนแน่ อย่าตามหลังมวลชน ศึกษาเยอะ ๆ อ่านเยอะๆ มีหนังสือเยอะเลยตามร้านหนังสือ
ของฝากนักลงทุน
อย่าตามหลังมวลชน จุดที่มั่นใจที่สุดคือจุดที่อันตรายที่สุด จุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่ปลอดภัยที่สุด อย่าคิดคนเดียวอย่าตอบคนเดียวอย่าเล่นหุ้นคนเดียว ถามเองตอบเอง เออเองจัดการด้วยตนเองหมด สุดท้ายก็ตายเอง เราทำอะไรไว้เราก็จะได้สิ่งนั้น
ตัวอย่างความสำเร็จและความล้มเหลวจากเพื่อนฝูง
คนที่อายุเยอะแต่ไม่ยอมปรับตัว ประกอบอาชีพประสบความสำเร็จสุดท้ายล้มเหลวในหุ้น คนมีระเบียบวินัยมากศึกษาตลอดเวลามีความมั่นคง คนนี้เป็นนักแบตทีมชาติ เค้าก็ประสบความสำเร็จ อีกคนอ่อนน้อมถ่อมตน บริการคนตลอดเวลา ทุกคนรักไม่เคยเอาเปรียบเพื่อน คนนี้ก็ประสบความ สำเร็จ เพราะความเอื้อเฟื้อ จึงไม่มีคนไปหลอกอะไรเขา
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเขาไม่เก่งอะไรเลย แต่เขาเป็นคนที่ทุกคนรัก ก็ประสบความสำเร็จได้ ตัวอย่างคนที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือ คนที่ตรงกันข้ามตลอด พอเราบอกแบบนี้ มันก็คิดว่าเอ๊ะ มันต้องเป็นแบบนั้นนะ เป็นคนที่ไม่คิดอะไรลึกๆ ชอบสวนชาวบ้าน
เพราะว่าเหรียญมีสองด้าน เลยพูดได้หมด ไม่เคยโทษตัวเอง เป็นเจ้าของฉายา รู้อย่างนี้ หรือ รู้อะไรไม่เท่ารู้อย่างนี้
ตอนแรกมีหลายสิบล้านตอนนี้เหลือไม่เยอะแล้ว
อีกคนทำการบ้านตลอด คอยเช็คพอร์ตคนอื่นตลอดเวลา แอบดูพอร์ตคนอื่นตลอด เวลาคุยกับมาร์ก็ถามเรื่องของคนอื่น สุดท้ายต้องไปตีกอล์ฟคนเดียวไม่มีเพื่อน ไปกินข้าวกับมาร์ยังต้องหารกันเลย แต่เค้าก็ประสบความสำเร็จได้
อีกคนย้ำคิดย้ำทำเสียดายตลอดเวลา เป็นคนละเอียดไม่เอาเปรียบใคร สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ
ที่พูดมาทั้งหมดก็คือ มันมีช่องทางของแต่ละคน แล้วแต่เราจะเลือกทางไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันคงไม่เกินความสามารถของพวกเราจะอยู่รอดต้องเป็นมืออาชีพ
เป็นอย่างไรบ้างครับ สุโค่ยมั๊ยครับ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของบทความชีวิตจริงของเสี่ยยักษ์น่ะครับ ถ้าอยากอ่านเต็มๆ ก็ลอง search หาอ่านกันดูได้เลยครับ ผมเชียร์!! ^___^
เล่มที่ 7 ?The Winning Investment Habits of Warren Buffett & George Soros?
หนังสือเล่มนี้ ผมยังอ่านไม่จบน่ะครับ ต้องขอบคุณพี่ HedgeHunter ที่แนะนำให้ผมซื้อมาอ่านครับ ขนาดอ่านได้แค่ครึ่งเล่ม ก็ขอยกให้เป็นหนังสือที่ดีเยี่ยมเล่มนึงเลยครับ
หนังสือหุ้นเล่มนี้ ?The winning investment habits of Warren Buffet and George Soros? ได้เล่าและอธิบายถึง ความเหมือนที่แตกต่างของ 2 สุดยอดปรมจารย์ แห่งโลกการลงทุนและโลกการเงิน นั่นก็คือ วอเรน บัฟเฟต และ จอร์จ โซรอส สองสุดยอดเทรดเดอร์และนักลงทุนระดับโลก ที่แตกต่างกันด้วยวิธีการ แนวคิด เครื่องมือ และสไตล์ของการลงทุนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง มาวิเคราะห์ถึงหลักการเล่นหุ้นที่ บัฟเฟต และ โซรอส นั้นมีเหมือนกัน และเป็นแนวคิดและทัศนคติ ซึ่งผลักดันให้กลายมาเป็น เซียนในการเล่นหุ้นของทั้งสองคนนี้ครับ
เท่าที่ผมได้อ่านมาครึ่งเล่ม ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะทำให้หลายๆคน เข้าใจว่าการลงทุนนั้น ไม่จำเป็นต้องทำตามผู้อื่น หากแต่คุณต้องหาสไตล์การเทรดของตัวเองให้เจอ หาวิธีเทรดที่คิดว่าดีที่สุดและเหมาะสมกับตัวคุณเอง เพราะแม้วิธีการหรือสไตล์ต่างกันแต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่ามือใครมันถึงกว่ากันเพราะแต่ละบทที่ผ่านไปนั้น จะยิ่งทำให้เราได้ฉุกคิดถึงตัวแปรสำคัญในการเล่นหุ้นของพวกเรานั่นก็คือ ?เรื่องของจิตใจ?หรือ ?จิตวิทยาการลงทุน? ซึ่งน่าจะเป็นส่วนสำคัญอาจจะที่สุดก็ว่าได้ ถึงแม้ว่านักเล่นหุ้นส่วนใหญ่อาจจะหลงลืมหรือคิดไม่ถึงก็ตาม
ไม่มีอะไรที่จะต้องอธิบายมากมายครับสำหรับหนังสือเล่มนี้ ยังไงก็เป็นหนึ่งใน Must Read Book ครับ ลองหาซื้ออ่านกันได้ตามสบายครับ อิอิ
ทิ้งท้ายเล่มนี้ด้วยคำพูดของสองเซียนครับ
ฟังดูง่ายๆ แต่ทำยากมากๆครับ แต่ผมพิสูจน์มาแล้วจากการเทรดในฐานะ Prop. Trade ถ้าคุณทำได้ตามหนังสือเล่มนี้ ยังไงคุณก็เป็นผู้ชนะในตลาดครับ หุหุ
เล่มที่ 8 ?Reminiscences of stock operator?
นี่คือหนึ่งในหนังสือหุ้นที่ถือว่าเป็นอมตะเล่มหนึ่งเลยครับ จากการติดตามจากความเห็นของเทรดเดอร์ดังๆใน Market Wizards ที่ผมได้แนะนำให้อ่านในตอนที่ 2 นั้น หนังสือเล่มนี้ถือเป็นแรงบันดาลใจของเทรดเดอร์เหล่านั้น แทบทั้งสิ้นครับ ไม่น่าเชื่อน่ะครับ ว่าหนังสือที่เขียนเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว จะยังคงกระพันและเป็นแรงบันดาลใจให้นักลงทุนและเทรดเดอร์ในปัจจุบันได้ครับ สุดยอดจริงๆครับ
เรื่องราวคร่าวๆนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1907 ในขณะที่ตลาดหุ้นของอเมริกาได้ดำเนินมาถึงจุดวิกฤตขั้นสูงสุด และเกิดการ Panic Sell ในตลาดอย่างรุนแรง เป็นผลให้นักลงทุนและนักเล่นหุ้นจำนวนมากต้องหมดตัวกลายเป็นยาจกไปตามๆกัน (คล้ายๆกับวิกฤติต้มยำกุ้งบ้านเรานั่นแหล่ะครับ แต่ของเค้านี่ โหดกว่าเยอะ) แต่นั่นกลับทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมา หลังจากนั้น กลายเป็น Talk of the Town เลยทีเดียว
เขาเป็นนักเล่นหุ้นที่ผ่านร้อนผ่านหนาวจากตลาดหุ้นตั้งแต่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น!
เขาคือ... Jesse Livingston Livermore ?
หนังสือหุ้นเล่มนี้มีลักษณะเป็นเหมือนบทสัมภาษณ์และชีวประวัติ ที่อัดแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยสุดยอดแนวคิดการเก็งกำไรและการลงทุนของ Livermore ครับ ถึงขนาดที่มีการเปรียบเปรยกันว่าถ้า The Intelligence Investor ของ Benjamin Graham เป็นเหมือน Bibleของนักลงทุนสาย Fundamental แล้ว หนังสือหุ้นเล่มนี้ก็คงเปรียบเหมือน ?พิชัยสงครามซุนวู? ของ โลกการเก็งกำไรแหละครับ ซึ่งผมก็ชอบมากมายเพราะผมเป็นสายบู๊หรือ Day Trading นั่นเอง แหะแหะ
ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ ชีวิตของเขาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวันที่เค้าได้จากโลกไปนั้นเป็นเหมือนบทละครที่ถูกเขียนขึ้นมาเลยครับ มีครบรสชาติทั้งทุกข์และสุข ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งการได้เสพสุขอย่างอภิมหาเศรษฐีแห่งตลาดหุ้น หรือ ยาจกผู้ยากไร้ที่กระทั่งต้องยืมเงินยืมทองจากคนรู้จัก มาประทังชีวิต ไม่น่าเชื่อน่ะครับ ว่าคนคนเดียวเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว จะได้กลายมาเป็นต้นแบบให้กับนักเล่นหุ้นทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค และวิธีการเล่นหุ้นของเขา ซึ่งได้กลายมาเป็นเสาหลักของโลกการเก็งกำไร ตราบจนทุกวันนี้
สิ่งที่ผมได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ นอกจากเรื่องเล่าอันน่าติดตามของ Livermore แล้วนั้น ที่เด็ดดวงยิ่งกว่า ก็คือ หลักการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค, เทคนิคการเล่นหุ้น, การบริหารเงินทุน (Money Management) และ จิตวิทยาการลงทุน (Psychology of Trading) ครับ ยิ่งใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมตนเองเวลาเล่นหุ้น คิดว่าไม่ควรพลาดหนังสือหุ้นเล่มนี้ด้วยประการทั้งปวงครับ ไม่แน่น่ะครับ คุณอาจจะเป็นคนใหม่ไปเลยก็ได้ หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
เฮียโซรอส..เฮียบัฟเฟต..เก่งขนาด..
หลากสไตล์..หลากวิธี..กำไรเจ๋ง..
จะให้ดี..หาวิธี..เทรดเองเป็น..
รับรองเฮง..เล่นไม่เจ๊ง..รวยแน่นอน..
เล่มที่ 9 ?CEO มองซีอีโอโลก?
เชื่อว่าหลายๆคนหรือแทบจะทุกคนคงรู้จักสุดยอดนักธุรกิจ ผู้บุกเบิกธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของเมืองไทย และเจ้าของนิคมชื่อดังอย่าง ?นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร? หรือบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยใช้ชื่อ ?AMATA?
เค้าคือสุดยอดไอดอลของผมครับ
....วิกรม กรมดิษฐ์...
ผมติดตามผลงานของคุณวิกรม ตั้งแต่หนังสือเล่มแรกของเค้าคือ ?ผมจะเป็นคนดี? เป็นหนังสือที่คุณพ่อของผมแนะนำแกมบังคับให้อ่านครับ แรกๆผมก็ไม่อยากอ่านเท่าไหร่ แต่เมื่อได้อ่านแล้ว ผมก็ถอนตัวไม่ขึ้น ติดตามผลงานของคุณวิกรม มาโดยตลอด เนื่องจากผมรู้เลยว่าคนคนนี้มีอะไรหลายๆที่ผมมี นั่นก็คือ ?ความกล้า? นั่นเองครับ
ไม่ใช่ความกล้า แบบบ้าบิ่น ไม่รู้ผิดรู้ชอบน่ะครับ แต่เป็น
สิ่งเหล่านี้แหล่ะครับ ที่หล่อหลอมจนมาเป็นภูมิคุ้มกันในการใช้ชีวิตอย่างดีเลย
ออกทะเลไปไกลแล้ว มาเข้าเรื่องหนังสือแนะนำดีกว่าครับ เหอๆ
หนังสือชุดนี้เขียนโดยคุณวิกรม ครับ ชื่อว่า ?CEO มองซีอีโอโลก?
โดยตามเป้าหมายของคุณวิกรมนั้น จะเขียน 10 เล่มครับ 2 เล่มต่อปี จนถึงตอนนี้ก็ได้ออกตีพิมพ์มาแล้ว 6 เล่มครับ เนื้อหาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของบุคคลสำคัญระดับโลก
มีทั้ง ผู้นำระดับประเทศ นักประพันธ์ ผู้นำศาสนา นักกีฬา นักแสดง หรือผู้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือสังคมฯ
ยิ่งได้อ่าน ก็จะยิ่งรู้ว่าประสบการณ์และชีวิตของเหล่านักสร้างสรรค์ ที่สร้างผลงานระดับโลกนั้น เขามี Creativity อย่างไร สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด หากแต่พวกเขาต้องอดทน รอคอย และฝึกฝน กว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอุปสรรคที่เขาต้องฝ่าฟันมานั้นเป็นอย่างไร
เล่มที่ 10 ?แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน แบบ Buffet?
ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆมากมายครับสำหรับหนังสือเล่มนี้ ครบถ้วนกระบวนการ เนื้อหาอัดแน่น อ่านง่าย สบายตา น่าติดตามจริงๆ สำหรับ ?แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน แบบ Buffet? ที่เขียนโดยคุณ ภาววิทย์ กลิ่นประทุม หรือพี่แพท แห่ง S2M นั่นเอง
หนังสือเล่มนี้นี่เองครับ ที่นำพาให้ผมได้มารู้จักกับพี่ป้อมเจ้าของเว็บชื่อกระฉ่อนอย่าง S2M และนักเขียนไฟแรงอย่างพี่แพท ภาววิทย์ ครับ...เป็นหนังสือที่ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจที่จะมีงานเขียนเป็นของตัวเองบ้างอะไรบ้าง แหะแหะ
สำหรับสรุปเนื้อหานั้น ผมขอนำเอาข้อความแนะนำหนังสือจากเว็บ S2M มาลงน่ะครับ
เนื้อหาที่สำคัญที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอนั้น คือ การพาท่านมาสู่ อาชีพที่สามารถต้าน Cycle ของธุรกิจได้ .. แม้โดยธรรมชาติไม่ว่าคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด ย่อมต้องมีขาขึ้นขาลง
?ไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้? แต่อาชีพที่สามารถต้าน Cycle มันได้เกิดขึ้นแล้ว...
ก็คืออาชีพ ?นักลงทุนนั่นเอง? -- อาชีพที่นั่งอยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร .....
หนังสือเล่มนี้..
เหมาะกับผู้ที่จะเริ่มต้นในการก้าวสู่ชีวิตนักลงทุน
และรวมถึงผู้ที่คร่ำหวอดในวงการหุ้นที่ต้องการกระตุ้น"ต่อมความรวย"
สุดท้ายก็อยากให้อ่านคำนิยม ของพี่ป้อม แห่ง S2M เกี่ยวกับหนังสือเล่มครับที่ว่า
" เสน่ห์ของผลงานเล่มนี้อีกสิ่งหนึ่งคือ การที่เป็นหนังสือที่บรรจุด้วยตอนสั้นๆหลายตอน การค่อยๆอ่านในช่วงเวลาว่างจึงทำได้แบบไม่ยาก เพียงหาที่คั่นหนังสือเล็กๆไว้เตรียมเสียบในบทที่อ่านถึง เพื่อจะมาอ่านต่อในเวลาว่างครั้งต่อไปนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่จำเป็นต้องกลับไปทบทวนเนื้อหาเก่าๆ บทความสั้นๆเหล่านั้นล้วนได้ใจความในบทสรุปแบบตอนต่อตอน จะคอยสะกิดไอเดียในชีวิตนักลงทุนได้ในทุกเวลาว่างที่มี "
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ 10 หนังสือที่ผมแนะนำ หวังว่าคงจะมีอย่างน้อยก็ซักเล่มที่จะเข้าไปอยู่ในดวงใจชั้นหนังสือที่บ้านหรือบนโต๊ะทำงานของทุกท่านน่ะครับ
Credit : Wizard Kid (aka.เทรดเดอร์เจ้ากวี)
โดยเนื้อหาคร่าวๆของหนังสือ Market Wizards เนี่ยะ ถือว่าสุดยอดและคุ้มค่าที่จะอ่านเลยครับ
?จะมีซักกี่คนบนโลกใบนี้ที่ทำกำไรเฉลี่ยต่อปีจากการเก็งกำไรและเล่นหุ้นถึงเกือบ 100% ต่อปี ย้ำนะครับว่าต่อปี และเป็นช่วงเวลายาวนานเป็น 10 ปี!! และจะมีซักกี่คนที่จะยอมเปิดเผยเคล็ดลับวิธีการเล่นหุ้นต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผย?!?
นี่แหล่ะครับคือ นิยามของหนังสือสามเล่มนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนสไตล์ใด ไม่ว่าคุณชอบหุ้น ฟิวเจอร์ ค่าเงิน หรือ Commodities ก็แล้วแต่ หนังสือชุดนี้ มีเทรดเดอร์จากทุกสายสาขา ให้คุณได้เลือกอ่าน ได้เรียนรู้ว่า สุดยอดเทรดเดอร์แต่ละท่านนั้น มีแนวคิดการวิเคราะห์หุ้นและวิธีการเล่นหุ้นอย่างไร
คุณไม่ควรจะพลาดหนังสือหุ้นเล่มนี้ไม่ได้โดยประการทั้งปวงครับ !
เพราะหนังสือเล่มนี้ก็ถือเป็นหนังสือในตำนานของนักเล่นหุ้นทั่วโลกเล่มหนึ่งเลยครับ
ว่าแล้วก็ขอเอา รายชื่อและประวัติย่อๆของเซียนหุ้นแต่ละท่านมาเรียกน้ำย่อย เพื่อให้เกิดต่อมความอยาก อยากที่จะอ่าน อยากจะหามาติดบ้านกันดีกว่าน่ะครับ (มีเทรดเดอร์เพียบครับ แต่ขอเล่าที่ผมชอบน่ะครับ แหะแหะ)
เริ่มกันที่คนนี้เลยดีกว่าครับ
? Martin Schwartz เขาเป็นใครนะเหรอครับ คร่าวๆก็แค่เคยเป็นแชมป์ U.S. Investing Championship in 1984 ซึ่งถือเป็นรางวัลที่มีเกียรติสำหรับเหล่าบรรดานักเล่นหุ้นชาวอเมริกันเป็นอย่างมาก และเป็นผู้ที่ถูกกล่าวขานให้เป็น ตำนานของตำนาน! ของบรรดาเหล่านักเล่นหุ้นระยะสั้นของชาวอเมริกันเชียวนะครับ
? Bruce Kovner ในช่วงเวลาขณะที่สัมภาษณ์นั้นยิ่งใหญ่ถึงขนาดเป็นนักเล่นฟิวเจอร์ และ ตลาดเงินรายใหญ่ที่สุดของโลก เรื่องฝีมือคงไม่ต้องพูดถึงครับ ขาใหญ่มาเอง
? Jim Rogers คิดว่าหลายท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อเซียนหุ้นคนนี้นะครับเป็นถึงผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน อีแร้ง Hedge fund ร่วมกับ George Soros ที่เคยถล่มค่าเงินมาแล้วหลายประเทศรวมถึงพี่ไทยด้วย ซึ่งก็คือ Quantum fund อันลืมชื่อนั่นเองครับ วิธีการเล่นหุ้นของแก แกมองไกลมากครับน่าศึกษาเช่นเดียวกัน
? Steve Cohen คนนี้นี่ โค-ตะ-ระ เก่งหุ้นมากๆเลยครับ โดยเฉพาะฝีมือการวิเคราะหุ้นและเล่นหุ้นชั้นเซียนนั้น ล้ำลึกมากๆเช่นกันครับ จากสถิติที่เคยบันทึกมีไว้ในการจัดการกองทุนคร่าวๆนั้น Steve Cohen ทำกำไรไว้เกือบ 100% ต่อปี ติดต่อกัน 7 ปี โดยมีเพียงสามเดือนที่ขาดทุน!! และเคยขาดทุนมากที่สุดเพียงแค่ประมาณ 2% กว่าๆภายในเดือนนั้น เท่านั้นเองครับ สุดยอดมากๆครับ อยากให้เฮียแกมาสอนผมเทรดจริงๆ นี่มันเทพชัดๆ เหอๆๆ
? Randy McKay คนนี้นี่ ผมชื่นชอบในแนวความคิดของเค้าครับ จากทหารที่เคยทำสงครามเวียดนาม สู่สุดยอดฟิวเจอร์เทรดเดอร์คนนึงของอเมริกาครับ เป็นแรงบันดาลใจให้ผมฝันที่จะเป็นสุดยอดเทรดเดอร์ด้านฟิวเจอร์ของเมืองไทยในอนาคตเช่นกันครับ ได้ไม่ได้ไม่รู้ครับ อย่างน้อยก็ต้องลองกับมันซักตั้ง หุหุ
เล่มที่ 4 WAY of the TURTLE
มิตรสหายบางท่านอาจจะเคยได้ยินคำว่า ?เทรดเดอร์เต่า? กันมาบ้าง ถ้าไม่ได้เคยก็ไม่เป็นไรครับ หนังสือเล่มนี้พร้อมจะเล่ารายละเอียดทั้งหมดของที่มาของกลุ่มเทรดเดอร์ระดับโลกกลุ่มนึง ที่เรียกว่า ?Turtle Trader? ครับ
สำหรับบุคคลที่เป็นผู้ปลุกปั้นเทรดเดอร์เต่ากลุ่มนี้ขึ้นมา เขาก็คือบุคคลที่เคยได้รับฉายาว่าเป็น ?Prince of the Pit? หรือ เจ้าชายแห่งตลาด ?คอมโมดิตี้? และตลาด ?ฟิวเจอร์? และยังเป็นถึงเจ้าตำรับ Trend Follower ผู้ที่แรกเริ่มเดิมทีนั้น ได้นำเงินเข้าตลาดและเริ่มต้นชีวิตการเป็นโคตรเซียนหุ้นด้วย เงินเพียง 400เหรียญ และเปลี่ยนมันกลับเป็นกำไรกลับมาถึง 200 ล้านเหรียญ!!!?..เขาคนนี้นี่แหล่ะครับ ที่เป็นผู้ที่สร้างเทรดเดอร์ระดับโลก ออกมาอีกหลายคน เขาก็คือ Richard J. Dennis ครับ
โดยในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนคือ Curtis M. Faith ซึ่งเป็นหนึ่งใน Turtle Trader จะเริ่มเล่าตั้งแต่ที่มาว่า ทำไม Richard Dennis ถึงได้พนันกับเพื่อนซี้ของเค้าว่า เค้าสามารถปั้นคนธรรมดาที่ไม่มีพื้นฐานด้านการเทรด ให้เป็นสุดยอดเทรดเดอร์ได้ โดยใช้วงเงินพนันกันที่ 1 ล้านดอลล่าห์ครับ!! แล้วที่ผมชอบอีกอย่างในหนังสือเล่มนี้คือ มีการบอกเล่ารายละเอียดของระบบการเล่นหุ้นที่น่าสนใจระบบหนึ่งที่เคยโด่งดังมากในอเมริกา และด้วยวิธีการเล่นหุ้นและวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคในรูปแบบนี้แหละ ที่ทำให้ ?กลุ่มเต่า? เจเนอเรชั่นหลังๆ แต่ละคนทำเงินกันได้มหาศาลจริงๆครับ
สรุปว่า สิ่งที่ผมได้รับจากการอ่านหนังสือ 2 เล่มนี้ คือ
1) ผมสามารถค้นหาตัวเองได้ว่า แท้จริงแล้วผมเป็นเทรดเดอร์สไตล์ใด เพราะเทรดเดอร์ใน Market Wizards แต่ละคนนั้นจะมีลักษณะไม่เหมือนกันเลยครับ แต่เมื่อผมได้อ่านแล้ว ผมก็มาเช็คดูแล้ว เห็นชัดเลยครับว่า เทรดเดอร์ที่ผมชื่นชอบนั้น มีสไตล์การเทรดที่เหมือนกับที่ผมเทรดอยู่ครับ
2) เทรดเดอร์ทุกคนจากทั้ง 2 เล่มที่แนะนำ พูดสิ่งเดียวที่ตรงกันคือ เทรดเดอร์ที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องรู้จัก ?วินัยการเทรด? ครับ เหมือนจะเว่อร์ แต่มันคือเรื่องจริงที่ไม่เว่อร์เลยครับ ขอให้คุณมีวินัยการเทรดที่ดีพอ คุณก็ไม่มีวันจะแพ้ตลาด แต่ถ้าเมื่อไหร่ วินัยคุณเสีย คุณใช้อารมณ์ในการเทรด รับรองครับ เจ๊งบ๊ง!!
3) ผมมักจะอ่านหนังสือสองเล่มนี้ ในยามที่ผมท้อแท้จากการขาดทุนติดต่อกันครับ เพื่อเอาไว้เรียกกำลังใจกลับคืนมา มันช่วยได้จริงๆครับ
วันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ถ้าตลาดเงียบเหงา ผมคงได้หลับคาโต๊ะเทรดแน่ๆครับ หุหุ
..มีหนังสือ..ไม่กี่เล่ม..ที่ควรอ่าน..
..อย่างพ่อมด..เหล่านักเทรด..นี่ก็ใช่..
..แถมกลุ่มเต่า..สร้างกันมา..ได้อย่างไร..
..ติดตามดู..คุณจะรู้..คุ้มค่าจริง..
..อย่างพ่อมด..เหล่านักเทรด..นี่ก็ใช่..
..แถมกลุ่มเต่า..สร้างกันมา..ได้อย่างไร..
..ติดตามดู..คุณจะรู้..คุ้มค่าจริง..
แทบไม่ต้องแนะนำเลยครับ สำหรับสุดยอดหนังสือในตำนาน ที่นักลงทุนมือใหม่ควรอ่าน...
......ตีแตก!!!.....
เป็นหนังสือที่เขียนโดยสุดยอด VI เมืองไทยอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มนักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ Value Investor จะว่าไปหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ต่างจากตำราพิชัยสงคราม ในสมรภูมิตลาดหุ้นครับ ลองซื้อหาอ่านกันดูครับ
สิ่งที่ผมชอบในหนังสือเล่มนั้น คือหนังสือเล่มนี้ปูพื้นฐาน ทั้งความคิดและทฤษฎี จนผมว่าอ่านกี่ครั้งก็สุดยอดครับ แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น ก็คือ ?เหตุการณ์? ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่หนังสือเล่มนี้ออก คือช่วง ?วิกฤติต้มยำกุ้ง? ปี 2540 และวิวัฒนาการทางการลงทุนของตัวดร.นิเวศน์เอง ที่แสดงให้เห็นว่า ท่านได้ลงทุนเหมือน Warren Buffet อย่างชัดเจนครับ
การเปลี่ยนแปลงของพอร์ทลมทุนของ ดร.นิเวศน์ นั้น ผมว่านักลงทุนแนวเน้นคุณค่า ควรจะศึกษาเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะผมคิดว่ามันเหมาะกับการลงทุนระยะถัด ๆ ไปของนักลงทุนที่มีพอร์ตใหญ่ขึ้น
สรุปแง่คิดจากหนังสือเล่มนี้ก็คือ
?การลงทุนนั้นต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ที่สั่งสม ด้วยวินัย กลยุทธ์ และความใจรัก?
แนะนำให้อ่าน 2-3 รอบน่ะครับ เพราะคุณจะ ?ตีแตก? การลงทุนอย่างฉลาด ไม่ใช่ ?ดีแตก? น่ะครับ ฮ๋าๆๆ
เล่มที่ 6 ?กูรูพันล้าน เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์?
ความเป็น ?สุดยอด? ของนักเล่นหุ้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ลงทุนจากเงินทุน 2 ล้านบาท แล้วประสบความสำเร็จจนมีเงินนับ ?พันล้านบาท? จาก ?ต้นกล้า? ฝ่าแดด?ต้านฝน จนเป็น ?ไม้ใหญ่?
สำหรับเล่มนี้นั้น ผมไม่ทราบว่ามีตีพิมพ์รึเปล่าน่ะครับ แต่สามารถหาอ่านได้ตาม Internet ครับ โดยเนื้อหานั้น เป็นชีวิตจริง เรื่องจริง เจ็บจริง และรวยจริง ของหนึ่งในสุดยอดเซียนหุ้นเมืองไทยครับ....ใช่แล้วครับ
...เสี่ยยักษ์ หรือ วิชัย วชิรพงศ์ นั้นเอง...
ถึงแม้ผมจะไม่เคยพบตัวจริงของเสี่ยยักษ์ แต่ผมก็ยกให้เสี่ยยักษ์เป็นหนึ่งในไอดอลด้านการลงทุนของผมครับ เพราะจากประวัติที่ได้อ่านนั้น เสี่ยยักษ์เป็นคนที่เริ่มจากศูนย์ มีต้นทุนการลงทุน 2 ล้านบาท แต่ด้วยความเพียรพยายาม ความขยัน ความใฝ่รู้ และการอ่านเกมส์ที่เฉียบขาด ก็สามารถทำให้เงินงอกเงยเป็นพันล้านบาทได้ สุโค่ยครับ!!
เนื่องจากผมชอบบทความของเสี่ยยักษ์มากเป็นพิเศษ ก็เลยขอสรุปแง่คิดที่ได้จากการอ่านบทความของเสี่ยน่ะครับ โดยนำข้อสรุปมาจากเว็บหลายๆเว็บที่ผมได้ติดตามอ่านมาน่ะครับ ขอบคุณเว็บทั้งหลายด้วยครับ (คำพูดนั้น เป็นของเสี่ยยักษ์น่ะครับ สุดยอดจริงๆ)
บทสรุปของ ?สุดยอดวิชา? จาก เสี่ยยักษ์ วิชัย วชิรพงศ์
จะอยู่รอดต้องเป็นมืออาชีพ
ผมเตรียมที่จะมาพูดตรงข้ามกับคุณศิริวัฒน์เลย คือคุณศิริวัฒน์ บอกว่าอย่าเอาตลาดหุ้นมาเป็นอาชีพ แต่ผมคิดว่าถ้าเราจะอยู่ในตลาดหุ้น เราต้องเป็นมืออาชีพ เช่น คุณจะเป็นหมอฟันต้องเรียนทันตแทพย์มา คุณจะเล่นหุ้น เจ็ดวันคุณมาเล่นหุ้นแล้ว แล้วคุณก็เออ ก็ได้ ทุกคนส่วนมากเล่นหุ้นแรกๆ มักจะได้ แล้วก็จะตามเพื่อน สุดท้ายเพื่อนที่อยู่มาสิบปีก็มีผิดเหมือนกัน ผิดเพราะรู้ไม่จริง
เทคนิเคิลไม่เคยหลอก
ผมอยู่มาประมาณยี่สิบปี เทคนิเคิลไม่เคยหลอก ผมขอยืนยัน ถ้าคุณเก่งจริง เทคนิคไม่เคยหลอกเพียงแต่เราไม่รู้ ดังนั้นเราต้องเป็นมืออาชีพให้ได้ นี่คือข้อที่ 1
รายย่อยได้เปรียบรายใหญ่
ข้อที่ 2 นักเล่นหุ้นทุกคนล้วยเคยเป็นรายย่อยมาหมด เมื่อก่อนผมก็เป็นรายย่อย หลายคนบอกว่ารายใหญ่ได้เปรียบ มันไม่ใช่เลย รายย่อยต่างหากที่ได้ เปรียบเพราะว่าคุณซื้อหนึ่งครั้งคุณเต็มพอร์ต คุณขายหนึ่งครั้งหมดพอร์ต
แต่ถ้ารายใหญ่หลายร้อยล้านหุ้น จะขายยังไงดังนั้นรายย่อยจึงได้เปรียบรายใหญ่มากๆ
ทำธุรกิจยากกว่าเล่นหุ้น
อย่างที่บ้านทำโรงงานเล่นหมี่ พ่อสามารถส่งไปยังลูกนี่คือธุรกิจ ธุรกิจสามารถส่งต่อได้ พี่ชายเป็นหมอ หลานอีกคนเป็นหมอก็ต้องเรียนปีหนึ่งใหม่ อีกอยู่ดี ดังนั้นการทำธุรกิจยากกว่าตลาดหุ้นมาก ตลาดหุ้นถ้าอยากจะเลิกก็เลิก อยากจะไปก็ไปหันหลังพรึบสามช่องก็ออกได้แล้ว
เล่นหุ้นต้องเป็นยาม
การเล่นหุ้นเราต้องรู้ให้จริง ต้องมีการวางแผน เราต้องรู้ตัวว่าจะทำอะไร เราต้องเตรียมตัวไว้ก่อน เปรียบเสมือนกับการเฝ้ายาม คุณต้องใจ เย็นๆ ต้องนิ่งๆ ต้องเป็นยาม
คว้าดาวเด่น
ถ้าตรงนี้ใช่ทางของเราๆ ก็เล่น ถ้าไม่ใช่ทางของเรา เราก็ไม่เล่น แต่ละรอบของมันจะมีดาวเด่นอยู่ คุณต้องคว้าให้เจอ คุณต้องหาให้เจอ รอบที่ผ่นามา เช่น atc จาก 3 บาท เป็น 75 บาท บางคนซื้อ 3 ขาย 3.5 แพ้ชนะกันที่เฉียดรวย
เทคนิค + พื้นฐาน
ใช้เทคนิคเป็นจุดซื้อขาย แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องดูพื้นฐาน เปรียบเสมือนกับคุณขึ้นรถเมล์ คุณจะไปสะพานตากสิน คุณกลัวร้อนเลยนั่งรอในรถ รถ สตาร์ตเครื่องแล้วแต่ไม่ออก บรื้นๆ อยู่นั่นแหละ จังหวะมันผิด อ้าวคันข้างๆ ออกไปแล้ว กระเป๋ารถเมล์มาเขย่ากระป๋องสามที โชเฟอร์เบิ้ลเครื่องอีกสอง ที ไอ้เราก็นั่งรอ ไม่ใช่คันนี้อีกแล้ว เราเปลี่ยนดีกว่า ไปนั่งคันที่ออก ทุกคนโดนมาหมด มันจึงต้องใช้เทคนิค เทคนิเคิลไม่เคยหลอก ปฏิวัติเนี่ยะนะ เทคนิคเคิลก็ยังรู้เลย แต่ก็รู้แค่เล็กๆ เพราะว่าอะไรนะรึ เพราะว่าผมจะปฏิวัติ ผมก็ต้องไปบอกญาติ บอกเพื่อนบอกแฟน เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคนโทร มาบอกว่ามันจะไม่ดีนะ แต่บอกก่อนล่วงหน้าตั้งสิบวัน เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้เทคนิคอล เทคนิคอลช่วยกำหนดการซื้อให้เราได้ แล้วดูหุ้นที่พื้นฐาน ตอนขายเทคนิเคิลไม่เคยหลอกอีกเหมือนกัน
ไม่มีใครถูกเสมอและผิดตลอดไป
จากทั้งหมดนี้ ถ้าเราดูอย่างวิเคราะห์ คุณสมพงษ์บอกซื้อ คุณหมอบอกรออีกหน่อย ไม่มีใครถูกใครผิด เพราะมันวัดผลกันยาวๆ อย่างคุณสมพงษ์ บุคลิคเป็นคนจิตใจดี แตงโมบอกผมไปทำแมนชั่นดีกว่า นี่คือบุคลิคของคน
ดังนั้นคุณต้องถามตัวคุณเองก่อนว่าคุณเป็นคนอย่างไร
คุณสมพงษ์อดทน เค้าไปเยี่ยมชมบริษัท คุณทำแบบเขาได้หรือไม่ การมาพูดครั้งนี้คุณสมพงษ์เขียนมายี่สิบหน้า เวลาเขามองหุ้นเขามองสามปีถึงสิบปี มองเน้นคุณค่า
แต่ กรณีอย่างผมเล่นเก็งกำไร สมมุติว่าตอนนี้เวลาประมาณตีสาม ยังไม่เช้า ก็ยังมีเวลาเลือกซื้อ อย่างใจเย็นๆ แล้วจะรู้ว่าตีห้าได้อย่างไร
มันยากมากที่จะรู้ ตอนแรกผมก็เล่นน้อยก่อน ไม่ใช่ว่าทุ่มสุดตัวแล้วปรากฏว่า อ้าว โดนนิ้วอีกแล้ว
หุ้นเด่นในดวงใจ
ทุกคนเล่นหุ้น ต้องมีหุ้นในดวงใจให้ได้ก่อน วันไหนที่คุณมีหุ้นในดวงใจคุณจะนิ่ง เหมือนเช่นเดียวกับคุณสมพงษ์ เขาจะสามารถ let profit run เยอะ เพราะทนได้ยาว เขาอึด วันไหนไม่มีหุ้นในดวงใจ รับประกันเลยว่าไม่มีทางรวยแน่ๆ พอซื้อเสร็จเห็นขึ้นไปช่องสองช่อง เห็นว่าโดนทุบมาล้านนึง เสร็จเลย ขายซะแล้ว พอขึ้นมาอีกหน่อยก็ไม่กล้าซื้อ หรือไม่ก็ซื้อน้อยลง ศึกษาเยอะๆ หาหุ้นในดวงใจให้เจอ
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
แล้วแต่ว่าเราเป็นคนอย่างไร ถ้าอยากชนะต้องศึกษาและรอบรู้ ต้องมีเพื่อนเยอะ ดูว่าเขาศึกษาอย่างไร เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อย่าโทษคนอื่น โทษตัวเราคนเดียว ใครทำอะไรย่อมได้สิ่งนั้น ถ้าคุณเล่นหุ้นปั่น สักวันถ้าคุณไม่เลิกสุดท้ายก็หมดตัว เพราะจุดจบของหุ้นปั่นคือหมดอยู่แล้ว บางครั้งเรารอดเพราะเขาเอาปืนแก็บยิงเรา แต่วันไหนเอาแหครอบที่เดียวเราโดนแน่ อย่าตามหลังมวลชน ศึกษาเยอะ ๆ อ่านเยอะๆ มีหนังสือเยอะเลยตามร้านหนังสือ
ของฝากนักลงทุน
อย่าตามหลังมวลชน จุดที่มั่นใจที่สุดคือจุดที่อันตรายที่สุด จุดที่อันตรายที่สุดคือจุดที่ปลอดภัยที่สุด อย่าคิดคนเดียวอย่าตอบคนเดียวอย่าเล่นหุ้นคนเดียว ถามเองตอบเอง เออเองจัดการด้วยตนเองหมด สุดท้ายก็ตายเอง เราทำอะไรไว้เราก็จะได้สิ่งนั้น
ตัวอย่างความสำเร็จและความล้มเหลวจากเพื่อนฝูง
คนที่อายุเยอะแต่ไม่ยอมปรับตัว ประกอบอาชีพประสบความสำเร็จสุดท้ายล้มเหลวในหุ้น คนมีระเบียบวินัยมากศึกษาตลอดเวลามีความมั่นคง คนนี้เป็นนักแบตทีมชาติ เค้าก็ประสบความสำเร็จ อีกคนอ่อนน้อมถ่อมตน บริการคนตลอดเวลา ทุกคนรักไม่เคยเอาเปรียบเพื่อน คนนี้ก็ประสบความ สำเร็จ เพราะความเอื้อเฟื้อ จึงไม่มีคนไปหลอกอะไรเขา
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเขาไม่เก่งอะไรเลย แต่เขาเป็นคนที่ทุกคนรัก ก็ประสบความสำเร็จได้ ตัวอย่างคนที่ไม่ประสบความสำเร็จก็คือ คนที่ตรงกันข้ามตลอด พอเราบอกแบบนี้ มันก็คิดว่าเอ๊ะ มันต้องเป็นแบบนั้นนะ เป็นคนที่ไม่คิดอะไรลึกๆ ชอบสวนชาวบ้าน
เพราะว่าเหรียญมีสองด้าน เลยพูดได้หมด ไม่เคยโทษตัวเอง เป็นเจ้าของฉายา รู้อย่างนี้ หรือ รู้อะไรไม่เท่ารู้อย่างนี้
ตอนแรกมีหลายสิบล้านตอนนี้เหลือไม่เยอะแล้ว
อีกคนทำการบ้านตลอด คอยเช็คพอร์ตคนอื่นตลอดเวลา แอบดูพอร์ตคนอื่นตลอด เวลาคุยกับมาร์ก็ถามเรื่องของคนอื่น สุดท้ายต้องไปตีกอล์ฟคนเดียวไม่มีเพื่อน ไปกินข้าวกับมาร์ยังต้องหารกันเลย แต่เค้าก็ประสบความสำเร็จได้
อีกคนย้ำคิดย้ำทำเสียดายตลอดเวลา เป็นคนละเอียดไม่เอาเปรียบใคร สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ
ที่พูดมาทั้งหมดก็คือ มันมีช่องทางของแต่ละคน แล้วแต่เราจะเลือกทางไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันคงไม่เกินความสามารถของพวกเราจะอยู่รอดต้องเป็นมืออาชีพ
เป็นอย่างไรบ้างครับ สุโค่ยมั๊ยครับ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของบทความชีวิตจริงของเสี่ยยักษ์น่ะครับ ถ้าอยากอ่านเต็มๆ ก็ลอง search หาอ่านกันดูได้เลยครับ ผมเชียร์!! ^___^
มีสองเซียน..ที่แตกต่าง..แต่รวยโคตร..
คนนึงรวย..เล่นถือยาว..หมอนิเวศน์..
อีกคนนึง..รวยเล่นรอบ..คือเสี่ยยักษ์..
อยากรู้จัก..เชิญหาอ่าน..สุขใจเอย..
ราตรีสวัสดิ์ครับ
คนนึงรวย..เล่นถือยาว..หมอนิเวศน์..
อีกคนนึง..รวยเล่นรอบ..คือเสี่ยยักษ์..
อยากรู้จัก..เชิญหาอ่าน..สุขใจเอย..
ราตรีสวัสดิ์ครับ
หนังสือเล่มนี้ ผมยังอ่านไม่จบน่ะครับ ต้องขอบคุณพี่ HedgeHunter ที่แนะนำให้ผมซื้อมาอ่านครับ ขนาดอ่านได้แค่ครึ่งเล่ม ก็ขอยกให้เป็นหนังสือที่ดีเยี่ยมเล่มนึงเลยครับ
หนังสือหุ้นเล่มนี้ ?The winning investment habits of Warren Buffet and George Soros? ได้เล่าและอธิบายถึง ความเหมือนที่แตกต่างของ 2 สุดยอดปรมจารย์ แห่งโลกการลงทุนและโลกการเงิน นั่นก็คือ วอเรน บัฟเฟต และ จอร์จ โซรอส สองสุดยอดเทรดเดอร์และนักลงทุนระดับโลก ที่แตกต่างกันด้วยวิธีการ แนวคิด เครื่องมือ และสไตล์ของการลงทุนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง มาวิเคราะห์ถึงหลักการเล่นหุ้นที่ บัฟเฟต และ โซรอส นั้นมีเหมือนกัน และเป็นแนวคิดและทัศนคติ ซึ่งผลักดันให้กลายมาเป็น เซียนในการเล่นหุ้นของทั้งสองคนนี้ครับ
เท่าที่ผมได้อ่านมาครึ่งเล่ม ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะทำให้หลายๆคน เข้าใจว่าการลงทุนนั้น ไม่จำเป็นต้องทำตามผู้อื่น หากแต่คุณต้องหาสไตล์การเทรดของตัวเองให้เจอ หาวิธีเทรดที่คิดว่าดีที่สุดและเหมาะสมกับตัวคุณเอง เพราะแม้วิธีการหรือสไตล์ต่างกันแต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่ามือใครมันถึงกว่ากันเพราะแต่ละบทที่ผ่านไปนั้น จะยิ่งทำให้เราได้ฉุกคิดถึงตัวแปรสำคัญในการเล่นหุ้นของพวกเรานั่นก็คือ ?เรื่องของจิตใจ?หรือ ?จิตวิทยาการลงทุน? ซึ่งน่าจะเป็นส่วนสำคัญอาจจะที่สุดก็ว่าได้ ถึงแม้ว่านักเล่นหุ้นส่วนใหญ่อาจจะหลงลืมหรือคิดไม่ถึงก็ตาม
ไม่มีอะไรที่จะต้องอธิบายมากมายครับสำหรับหนังสือเล่มนี้ ยังไงก็เป็นหนึ่งใน Must Read Book ครับ ลองหาซื้ออ่านกันได้ตามสบายครับ อิอิ
ทิ้งท้ายเล่มนี้ด้วยคำพูดของสองเซียนครับ
Warren Buffet ? ?1. Never lose money 2. Never forgot rule no .1?
George Soros ? ?Survive first and make money afterward.?
George Soros ? ?Survive first and make money afterward.?
ฟังดูง่ายๆ แต่ทำยากมากๆครับ แต่ผมพิสูจน์มาแล้วจากการเทรดในฐานะ Prop. Trade ถ้าคุณทำได้ตามหนังสือเล่มนี้ ยังไงคุณก็เป็นผู้ชนะในตลาดครับ หุหุ
เล่มที่ 8 ?Reminiscences of stock operator?
นี่คือหนึ่งในหนังสือหุ้นที่ถือว่าเป็นอมตะเล่มหนึ่งเลยครับ จากการติดตามจากความเห็นของเทรดเดอร์ดังๆใน Market Wizards ที่ผมได้แนะนำให้อ่านในตอนที่ 2 นั้น หนังสือเล่มนี้ถือเป็นแรงบันดาลใจของเทรดเดอร์เหล่านั้น แทบทั้งสิ้นครับ ไม่น่าเชื่อน่ะครับ ว่าหนังสือที่เขียนเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว จะยังคงกระพันและเป็นแรงบันดาลใจให้นักลงทุนและเทรดเดอร์ในปัจจุบันได้ครับ สุดยอดจริงๆครับ
เรื่องราวคร่าวๆนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 1907 ในขณะที่ตลาดหุ้นของอเมริกาได้ดำเนินมาถึงจุดวิกฤตขั้นสูงสุด และเกิดการ Panic Sell ในตลาดอย่างรุนแรง เป็นผลให้นักลงทุนและนักเล่นหุ้นจำนวนมากต้องหมดตัวกลายเป็นยาจกไปตามๆกัน (คล้ายๆกับวิกฤติต้มยำกุ้งบ้านเรานั่นแหล่ะครับ แต่ของเค้านี่ โหดกว่าเยอะ) แต่นั่นกลับทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมา หลังจากนั้น กลายเป็น Talk of the Town เลยทีเดียว
เขาเป็นนักเล่นหุ้นที่ผ่านร้อนผ่านหนาวจากตลาดหุ้นตั้งแต่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น!
เขาคือ... Jesse Livingston Livermore ?
หนังสือหุ้นเล่มนี้มีลักษณะเป็นเหมือนบทสัมภาษณ์และชีวประวัติ ที่อัดแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยสุดยอดแนวคิดการเก็งกำไรและการลงทุนของ Livermore ครับ ถึงขนาดที่มีการเปรียบเปรยกันว่าถ้า The Intelligence Investor ของ Benjamin Graham เป็นเหมือน Bibleของนักลงทุนสาย Fundamental แล้ว หนังสือหุ้นเล่มนี้ก็คงเปรียบเหมือน ?พิชัยสงครามซุนวู? ของ โลกการเก็งกำไรแหละครับ ซึ่งผมก็ชอบมากมายเพราะผมเป็นสายบู๊หรือ Day Trading นั่นเอง แหะแหะ
ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ ชีวิตของเขาตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวันที่เค้าได้จากโลกไปนั้นเป็นเหมือนบทละครที่ถูกเขียนขึ้นมาเลยครับ มีครบรสชาติทั้งทุกข์และสุข ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งการได้เสพสุขอย่างอภิมหาเศรษฐีแห่งตลาดหุ้น หรือ ยาจกผู้ยากไร้ที่กระทั่งต้องยืมเงินยืมทองจากคนรู้จัก มาประทังชีวิต ไม่น่าเชื่อน่ะครับ ว่าคนคนเดียวเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว จะได้กลายมาเป็นต้นแบบให้กับนักเล่นหุ้นทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค และวิธีการเล่นหุ้นของเขา ซึ่งได้กลายมาเป็นเสาหลักของโลกการเก็งกำไร ตราบจนทุกวันนี้
สิ่งที่ผมได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ นอกจากเรื่องเล่าอันน่าติดตามของ Livermore แล้วนั้น ที่เด็ดดวงยิ่งกว่า ก็คือ หลักการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค, เทคนิคการเล่นหุ้น, การบริหารเงินทุน (Money Management) และ จิตวิทยาการลงทุน (Psychology of Trading) ครับ ยิ่งใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมตนเองเวลาเล่นหุ้น คิดว่าไม่ควรพลาดหนังสือหุ้นเล่มนี้ด้วยประการทั้งปวงครับ ไม่แน่น่ะครับ คุณอาจจะเป็นคนใหม่ไปเลยก็ได้ หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
เฮียโซรอส..เฮียบัฟเฟต..เก่งขนาด..
หลากสไตล์..หลากวิธี..กำไรเจ๋ง..
จะให้ดี..หาวิธี..เทรดเองเป็น..
รับรองเฮง..เล่นไม่เจ๊ง..รวยแน่นอน..
เชื่อว่าหลายๆคนหรือแทบจะทุกคนคงรู้จักสุดยอดนักธุรกิจ ผู้บุกเบิกธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของเมืองไทย และเจ้าของนิคมชื่อดังอย่าง ?นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร? หรือบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยใช้ชื่อ ?AMATA?
เค้าคือสุดยอดไอดอลของผมครับ
....วิกรม กรมดิษฐ์...
ผมติดตามผลงานของคุณวิกรม ตั้งแต่หนังสือเล่มแรกของเค้าคือ ?ผมจะเป็นคนดี? เป็นหนังสือที่คุณพ่อของผมแนะนำแกมบังคับให้อ่านครับ แรกๆผมก็ไม่อยากอ่านเท่าไหร่ แต่เมื่อได้อ่านแล้ว ผมก็ถอนตัวไม่ขึ้น ติดตามผลงานของคุณวิกรม มาโดยตลอด เนื่องจากผมรู้เลยว่าคนคนนี้มีอะไรหลายๆที่ผมมี นั่นก็คือ ?ความกล้า? นั่นเองครับ
ไม่ใช่ความกล้า แบบบ้าบิ่น ไม่รู้ผิดรู้ชอบน่ะครับ แต่เป็น
ความกล้า...ที่จะเปลี่ยนตนเอง
ความกล้า...ที่จะทำในสิ่งที่ฝัน
ความกล้า...ที่จะลองในสิ่งใหม่ๆ
ความกล้า...ที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ
ความกล้า...ที่จะทำในสิ่งที่ฝัน
ความกล้า...ที่จะลองในสิ่งใหม่ๆ
ความกล้า...ที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ
สิ่งเหล่านี้แหล่ะครับ ที่หล่อหลอมจนมาเป็นภูมิคุ้มกันในการใช้ชีวิตอย่างดีเลย
ออกทะเลไปไกลแล้ว มาเข้าเรื่องหนังสือแนะนำดีกว่าครับ เหอๆ
หนังสือชุดนี้เขียนโดยคุณวิกรม ครับ ชื่อว่า ?CEO มองซีอีโอโลก?
โดยตามเป้าหมายของคุณวิกรมนั้น จะเขียน 10 เล่มครับ 2 เล่มต่อปี จนถึงตอนนี้ก็ได้ออกตีพิมพ์มาแล้ว 6 เล่มครับ เนื้อหาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของบุคคลสำคัญระดับโลก
มีทั้ง ผู้นำระดับประเทศ นักประพันธ์ ผู้นำศาสนา นักกีฬา นักแสดง หรือผู้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือสังคมฯ
ยิ่งได้อ่าน ก็จะยิ่งรู้ว่าประสบการณ์และชีวิตของเหล่านักสร้างสรรค์ ที่สร้างผลงานระดับโลกนั้น เขามี Creativity อย่างไร สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีมาแต่กำเนิด หากแต่พวกเขาต้องอดทน รอคอย และฝึกฝน กว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอุปสรรคที่เขาต้องฝ่าฟันมานั้นเป็นอย่างไร
หนังสือเล่มนี้ มีคำตอบให้ครับ
เล่มที่ 10 ?แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน แบบ Buffet?
ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆมากมายครับสำหรับหนังสือเล่มนี้ ครบถ้วนกระบวนการ เนื้อหาอัดแน่น อ่านง่าย สบายตา น่าติดตามจริงๆ สำหรับ ?แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน แบบ Buffet? ที่เขียนโดยคุณ ภาววิทย์ กลิ่นประทุม หรือพี่แพท แห่ง S2M นั่นเอง
หนังสือเล่มนี้นี่เองครับ ที่นำพาให้ผมได้มารู้จักกับพี่ป้อมเจ้าของเว็บชื่อกระฉ่อนอย่าง S2M และนักเขียนไฟแรงอย่างพี่แพท ภาววิทย์ ครับ...เป็นหนังสือที่ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจที่จะมีงานเขียนเป็นของตัวเองบ้างอะไรบ้าง แหะแหะ
สำหรับสรุปเนื้อหานั้น ผมขอนำเอาข้อความแนะนำหนังสือจากเว็บ S2M มาลงน่ะครับ
เนื้อหาที่สำคัญที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอนั้น คือ การพาท่านมาสู่ อาชีพที่สามารถต้าน Cycle ของธุรกิจได้ .. แม้โดยธรรมชาติไม่ว่าคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมใด ย่อมต้องมีขาขึ้นขาลง
?ไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้? แต่อาชีพที่สามารถต้าน Cycle มันได้เกิดขึ้นแล้ว...
ก็คืออาชีพ ?นักลงทุนนั่นเอง? -- อาชีพที่นั่งอยู่ชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร .....
หนังสือเล่มนี้..
เหมาะกับผู้ที่จะเริ่มต้นในการก้าวสู่ชีวิตนักลงทุน
และรวมถึงผู้ที่คร่ำหวอดในวงการหุ้นที่ต้องการกระตุ้น"ต่อมความรวย"
สุดท้ายก็อยากให้อ่านคำนิยม ของพี่ป้อม แห่ง S2M เกี่ยวกับหนังสือเล่มครับที่ว่า
" เสน่ห์ของผลงานเล่มนี้อีกสิ่งหนึ่งคือ การที่เป็นหนังสือที่บรรจุด้วยตอนสั้นๆหลายตอน การค่อยๆอ่านในช่วงเวลาว่างจึงทำได้แบบไม่ยาก เพียงหาที่คั่นหนังสือเล็กๆไว้เตรียมเสียบในบทที่อ่านถึง เพื่อจะมาอ่านต่อในเวลาว่างครั้งต่อไปนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ไม่จำเป็นต้องกลับไปทบทวนเนื้อหาเก่าๆ บทความสั้นๆเหล่านั้นล้วนได้ใจความในบทสรุปแบบตอนต่อตอน จะคอยสะกิดไอเดียในชีวิตนักลงทุนได้ในทุกเวลาว่างที่มี "
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ 10 หนังสือที่ผมแนะนำ หวังว่าคงจะมีอย่างน้อยก็ซักเล่มที่จะเข้าไปอยู่ในดวงใจชั้นหนังสือที่บ้านหรือบนโต๊ะทำงานของทุกท่านน่ะครับ
ปิดท้ายด้วย..สองหนังสือ..ของสองท่าน..
หนึ่งท่านนั้น..คือไอดอล..ของตัวผม..
อีกหนึ่งหนุ่ม..คือต้นแบบ..บทความคม..
น่าติดตาม..น่าชวนอ่าน..น่าซื้อเอย...
หนึ่งท่านนั้น..คือไอดอล..ของตัวผม..
อีกหนึ่งหนุ่ม..คือต้นแบบ..บทความคม..
น่าติดตาม..น่าชวนอ่าน..น่าซื้อเอย...
Credit : Wizard Kid (aka.เทรดเดอร์เจ้ากวี)
เรียบเรียง : Ruengdd
Post a Comment