พระอริยะกล่าวถึงในหลวง

۞۞۞ เหล่าพระอริยเจ้าพูดถึงในหลวง ۞۞۞

จากกระทู้ ในหลวง (นิยตโพธิสัตว์) จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล

โพสท์ในเวบ ลานธรรมเสวนา โดย เนยยะ เมื่อ ๒๗ ก.ย. ๒๕๕๓



--------------------------------------------------------------------------------------
จาก การที่ได้หาโอกาสศึกษาและมีวาสนาได้กราบไหว้ใกล้ชิดพระอัจฉริยเถราจารย์ ผู้ทรงคุณธรรมเบื้องสูงจำนวนมาก ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ ทำให้ได้รับการบอกกล่าวถึงเรื่องอันพิเศษๆ เป็นอันมาก ที่นอกเหนือจากสามัญมนุษย์ทั่วไป ซึ่งไร้ซึ่งญาณปรีชาจะพึงทราบชัดให้ถูกถ้วนตามความเป็นจริงได้เป็นอันเอนก ปริยาย ดังที่ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะและความรู้รอบตัวต่างๆเป็นธรรม วิทยาทานมาโดยลำดับ ความย่อมเป็นที่แจ้งใจอยู่โดยทั่วไปแล้วนั้น

บัดนี้ เป็นกาลอันสมควรแล้ว ที่จะได้นำเอาเรื่องราวที่บรรดาพระอริยคณาจารย์ทั้งหลาย ที่ได้เคยกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแสดง เพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีแด่พระมหาธรรมราชา ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแห่งประชาชาติไทยพระองค์นั้น และเพื่อยังความเป็นสวัสดิมงคลอันยิ่งให้บังเกิดขึ้นแก่แผ่นดินและมหาชนทั้ง หลายสืบไปตราบชั่วจิรัฏฐิติกาล...
--------------------------------------------------------------------------------------

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน สนทนากับในหลวง

หลวงพ่อสรุปว่า นี่เป็นอันว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ทรงสะเทือนในคำนินทาและสรรเสริญ ก็ทรงอุเบกขาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นถ้าหากว่าวันนี้ อาตมาจะถวายพระพร ให้ทรงอยู่ในด้านของพรหมวิหาร ๔ ก็เห็นว่าจะไม่มีผล เพราะว่าความดี ๔ ประการนี้ พระองค์ทรงมีแล้วเรียบร้อยทุกประการ



ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมมาพุทธเจ้าตรัสว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “คนไม่ถูกนินทาเลย ไม่มีในโลกนี้”

ฉะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ว่าจะมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ประชานิกรของพระองค์เพียงใดก็ตามที พระราชจริยาวัตรของพระองค์ ก็ย่อมไม่เป็นที่ที่ถูกใจของบุคคลบางพวก บางคณะ อาจจะมีอยู่

ในครั้งหนึ่ง อาตมาได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ได้ปรารภกับพระองค์ถึงภารกิจที่อาตมาทำว่า
“การทำการสงเคราะห์ ปวงชนชาวไทย ตามกำลังที่จะรวบรวมได้ จากบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ ทำการแจกอาหารการบริโภค ยารักษาโรค สร้างโรงเรียนตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ แต่การกระทำแบบนี้ กลับมีคนบางพวกบอกว่า อาตมาเป็นพระการเมือง”

พระองค์ก็ตรัสว่า
“ผมก็ทราบเหมือนกัน เขาว่าหลวงพ่อเป็นพระการเมือง”

แต่พระองค์ก็ทรงถามว่า
“หลวงพ่อมีความรู้สึกยังไง”

ก็เลยถวายพระพรไปว่า
“อาตมาไม่มีความรู้สึกอะไร เพราะถือว่าอาตมาไม่เคยสมัครสภาผู้แทนราษฏร และก็ไม่เคยอยากจะเป็นรัฐมนตรี เขาจะหาว่าการเมืองหรือการบ้านก็ช่าง ถือว่าเฉย ๆ ถือตามหลักพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า “นินทา ปสังสา” ขึ้นชื่อว่า นินทาและสรรเสริญ เป็นของธรรมดาของโลก อาตมาไม่หนักใจในคำนินทาและสรรเสริญ เพราะไม่มีความสงสัย”

ต่อนี้พระบาทมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ตรัสว่า
“ผมก็เหมือนกันแหละขอรับ เมื่อก่อนนี้เขาลือว่าผมฆ่าพี่ แต่เวลานี้เขาลือกันว่าผมฆ่าพ่อตา”

ความจริงช่วงหลัง อาตมาไม่ทราบจึงกราบทูลว่า
“การลือที่ว่าฆ่าพ่อตานั้น มีความหมายเป็นยังไง”

พระองค์ก็ตรัสบอกว่า
“เขาลือกันว่าพ่อตาผมเป็นไข้ ผมเอาเหล้ากรอกปาก แล้วเลยพาพ่อตาไปวิ่ง พ่อตาก็เลยตาย”

แล้วจึงได้ทูลถามพระองค์ว่า
“แล้วมหาบพิตร มีความรู้สึกยังไง ในเมื่อคำนินทาปรากฏขึ้น”

พระองค์ก็ตรัสว่า
“เรื่อย ๆ ขอรับ”

ก็หมายความว่า ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ความดีหรือความชั่วที่จะมีขึ้นได้อาศัยการกระทำเป็นสำคัญ แล้วเมื่อเราทำความดีแล้วใครจะว่าชั่ว เราก็ไม่ชั่วไปตาม ถ้าเราทำความชั่ว ใครจะสรรเสริญว่าดี เราก็ไม่ดีไปตาม

นี่เป็นอันว่าน้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ทรงสะเทือนในคำนินทาและสรรเสริญ ก็ทรงอุเบกขาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นถ้าหากว่าวันนี้ (ประมาณปี ๒๕๓๓) อาตมาจะถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงอยู่ในด้านของพรหมวิหาร ๔ ก็เห็นว่าจะไม่มีผล เพราะว่าความดี ๔ ประการนี้ พระองค์ทรงมีแล้วเรียบร้อยทุกประการ.



จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับพิเศษ พิมพ์ครั้งที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ หน้า ๗๙

--------------------------------------------------------------------------------------

"ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์นะ..!!!!"

พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)

วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร

สำหรับปฐมเหตุที่ทำให้ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ กล่าวความเช่นนี้ ก็เกิดมาจากการที่ท่านได้กล่าวเตือนญาติโยมบางรายที่ไปนมัสการว่า

"การที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้น ไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ..!!?!"

และความเป็น "พระโพธิสัตว์" ของในหลวงนั้น ก็เป็นถึงระดับ "นิยตโพธิสัตว์" ผู้เที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณในอนาคตกาลเบื้อง หน้าโน้นอย่างแท้จริงด้วย สมจริงดังที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองทีเดียวว่า
--------------------------------------------------------------------------------------
"ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนามเคยเป็นช้างนาฬาคิริง ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ"

ภควา อันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า เสด็จล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานสิ้นกาลช้านานแล้ว ฯ

ในลำดับ นั้น อันว่าช้างปาลิไลยหัตถีตัวนี้ก็เป็นพระบรมโพธิสัตว์สร้างพระบารมีมาเป็นอัน มาก จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคล ในอนาคตกาลพระสุมงคลทศพลญาณเจ้านั้น มีพระองค์สูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุมีประมาณแสนปีเป็นกำหนด ไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่าง ดังสีทองเป็นอันงามประดุจกลางวัน แล้วจะบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ห้อยย้อยไปด้วยสิ่งของเครื่องประดับ มีประการต่างๆ ด้วยพระพุทธานุภาพ ฝูงมนุษย์ทั้งหลายในพระศาสนาของพระสุมงคล มิได้กระทำซึ่งกสิกรรม วาณิชกรรม ได้อาศัยซึ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น ประพฤติเลี้ยงชีวิตแห่งอาตมา มนุษย์ทั้งหลายมีความผาสุกสบาย ขวนขวายแต่การเล่นเต้นรำแต่งตัวอยู่เป็นนิจ เสมอเหมือนเทพบุตร เทพธิดา ซึ่งได้ทิพยสมบัติในสวรรค์เทวโลกฯ สมเด็จพระสุมงคลทศพลญาณเจ้า ก่อสร้างพระบารมีมาทั้ง ๑๐ ประการ จึงสำเร็จแก่พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ ฯ อันว่ากองพระบารมีครั้งหนึ่ง พระองค์กระทำมาแต่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่นั้น ปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดอย่างเอกอุดมทาน ฯ

เพราะด้วยเหตุที่ท่าน เจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทฺธาจาโร) ซึ่งเป็นพระขีณาสวสงฆ์ผู้ทรงญาณวิสัยอันลึกล้ำ สามารถแทงตลอดในการทุกสิ่งอัน และได้แจ้งในใจในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าเป็นอย่างดีที่สุด หลวงปู่สิมจึงได้ถวายความจงรักภักดีในพระองค์ท่านอย่างยิ่ง แม้ตราบเท่าวาระสุดท้ายแห่งชีวิตท่านอย่างน่าซาบซึ้งประทับใจที่สุด ไม่มีใดจะเทียมทันได้ ซึ่งการทั้งปวง อาจเข้าไปชมได้ในหัวข้อ "จงรักภักดีด้วยชีวิต"

--------------------------------------------------------------------------------------
"พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์เองบ้างเลย.."

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่
--------------------------------------------------------------------------------------
ครั้งหนึ่ง มีผู้พูดถึง "ผู้ยิ่งใหญ่" ระดับประเทศบางท่านให้ หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี พระมหาโพธิสัตว์ใหญ่ที่หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมากล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองว่า "เป็นหนึ่งในสิบแห่งอนาคตพุทธวงศ์ เบื้องหน้า" พึงสังเกตว่า ดูหลวงพ่ออุตตมะท่าน "เฉย" มากๆ ก่อนที่จะปรารภออกมาอย่างราบเรียบที่สุด เหมือนมิได้ไยดีใดๆว่า

"เขาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรมากเหมือนกับในหลวงหรอก"

หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี
--------------------------------------------------------------------------------------
"วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก"

หลวงพ่อมองหน้าผมแล้วย้ำว่า...

"ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"

โดย...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา

ได้กล่าวไว้กับลูกศิษย์คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่บวชอยู่กับท่านฯ

"มีแต่คนที่ไม่ฉลาดเท่านั้น ที่จะไม่รู้ว่า ในหลวงพระองค์นี้ดีอย่างไร"

โดย...พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม สกลนคร

--------------------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่ดู่รักในหลวงมาก

ในสมัยที่หลวงปู่มีชีวิต ท่านจะกำชับให้ลูกศิษย์ของท่านเอาบุญจากการภาวนา รวมเข้ากับบุญของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ถวายให้ในหลวง รวมทั้งแผ่เมตตาให้เทพเทวาผู้ปกรักษาพระองค์ท่านให้มีความสุข แล้วก็กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรของพระองค์ท่าน ให้ไปเกิดในสุคติภูมิ หลวงปู่กล่าวว่า หากไม่มีในหลวง พระพุทธศานาก็ตั้งอยู่ไม่ได้ หลายครั้ง ที่ลูกศิษย์จะรับทราบได้ว่า หลวงปู่จะเข้าที่เพื่ออธิษฐานช่วยในหลวง ในยามที่พระองค์ทรงพระประชวร

นอกจากนี้ ท่านยังกำชับให้แผ่เมตตาให้ประเทศชาติ ดังเช่นการอธิษฐานช่วยประเทศชาติของหลวงปู่เกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ด้วยเช่นกัน(หลวงปู่เกษมจะมีคาถากำกับด้วยว่า รัฐะ ปาลา สมัคคา สทา โหนตุ)

สรุปก็คือ นักปฏิบัติต้องไม่ลืมประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

เพราะสามสถาบันนี้เกื้อกูลให้เราได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ได้รับความสัปปายะแก่การปฏิบัติธรรมสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน

สำหรับองค์ของหลวงปู่ดู่เองนั้น ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้กาลเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี กิจวัตรอันหนึ่งที่ท่านทำอยู่มิได้ขาด คือ การสวดมนต์ถวายพระพรแด่ในหลวงทุกวันตลอดมา ขอให้พระองค์มีพระชนมายุยิ่งยืนนานเป็นมิ่งขวัญคนไทยตลอดไป

หลวงพ่อยังได้กล่าวไว้อีกว่า เพราะพระเจ้าแผ่นดิน (ร.9) ท่านปฏิบัติ (ธรรม) ต่อไปพุทธศานาในเมืองไทยจะเจริญขึ้น เพราะท่านเป็นผู้นำเป็นแบบอย่าง

สมัยหนึ่งเมื่อหลวงปู่ดู่ ยังทรงสังขารอยู่นั้นบ่ายของวันที่แดดร่มลมตก จู่ ๆ ท่านก็เปรยกับคณะศิษย์ที่ประกอบด้วย "คนตาดี" หลายคนว่า

"พวกแกลองดูทีซิว่า มีพระรูปไหนอยู่กับในหลวงบ้าง"

เข้าใจว่าท่านคงหมายถึง กายทิพย์หรือบารมีที่พระมหาเถระแต่ละองค์อธิษฐานพิทักษ์รักษาในหลวง

ศิษย์ท่านหนึ่งก็ "เข้าที่" ตามหลวงปู่สั่ง พักหนึ่งก็ลืมตาแล้วตอบว่า "หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปางครับ"

หลวงปู่ยิ้มแล้วว่า "นั่นองค์หนึ่งละ มีใครอีก"

ศิษย์แสนซนคนหนึ่งตอบทันที "หลวงพ่อนั่นแหละครับ"

ท่านมองหน้าแล้วถาม "ทำไมแกจึงว่าอย่างนั้น"

ศิษย์อธิบายว่า "อ้าว ก็หลวงพ่อรู้ได้ว่ามีองค์นั้น องค์นี้อยู่กับในหลวง แสดงว่าหลวงพ่อก็ต้องไปมาด้วยน่ะสิไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ยังไง"

เมื่อเข้าเนื้อท่านโบกมือให้ยุติเรื่องทันที ศิษย์ก็ถึงที่ยิ้มไป...

ที่มา http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1795720

--------------------------------------------------------------------------------------
“เราอย่าเห็นสิ่งปลีกย่อยดีกว่าส่วนรวมส่วนใหญ่นะ ส่วนใหญ่นั่นล่ะเป็นของสำคัญ พ่อกับแม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อะไรที่เป็นหลักของชาติ เป็นหัวใจของชาติให้พากันรักกันสงวน อย่าพากันทำลาย ลูกเต้าจะอวดดีกว่าพ่อกว่าแม่มันไม่ดีละ

คิดดูในพุทธศาสนา พระเจ้าอชาตศัตรูทำลายพระราชบิดา ก็ไม่เห็นเจริญอะไร ท่านว่า เย เกจิ พุทธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คตา เส น เต คมิสฺสนฺ อบายภูมิ พวกสัตว์ทั้งหลายถ้านึกลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีความเทิดทูนในสิ่งที่ดีงามที่มีคุณมีประโยชน์ทั้งหลายแล้ว ผู้นั้นเจริญ ผู้ใดไปทำลายหลักใหญ่แล้วจะเอาให้ส่วนเล็กๆนี้ขึ้นครองบ้านครองเมืองมันก็ ไม่ดี ให้พากันรักษาหลักใหญ่เอาไว้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือหัวใจของชาติไทยเรา นี่ให้พากันจำเอาไว้นะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนี้คือหัวใจของ ชาติไทยเรา ให้พากันเทิดทูน อย่าพากันดูถูกเหยียดหยามทำลาย เช่นอย่างจะทำลายจะไม่ให้มีพระเจ้าอยู่หัว มันคนเกิดมาแล้วพ่อแม่ตายหมด มีแต่ลูกกำพร้าหยิมแหยมๆ มันใช้ไม่ได้นะ สกุลใดที่มีคนคับแคบอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นแล้วสกุลนั้นไม่เจริญ สกุลใดที่มีความกว้างขวาง มีจิตใจอันกว้างขวาง พิจารณารอบคอบเพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวมผู้นั้นเป็นผู้ดี

นี่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ของพวกเราคือหัวใจของคนไทยทั้งชาติ ให้พากันทะนุถนอมนะ อย่าพากันไปทำลาย จะมีแต่ลูกหยอมแหยมๆ พ่อแม่ผู้ให้ความร่มเย็นไม่มีมันไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรต้องรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ ในประเทศไทยเราก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี นี้คือหัวใจของชาติให้พากันเคารพเทิดทูน อะไรที่เป็นหลักใหญ่ของชาติของส่วนรวมให้พากันรักษา พากันเทิดทูน อย่าพากันทำลายโดยอวดดี

ดังที่ท่านว่าอึ่งอ่างกับวัวนั่นละ เราก็เห็นในนิทานอีสปแต่ก่อนเรียนหนังสือ อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้นนี่ วัวมันตัวขนาดไหน ลูกอยู่ในรู แม่ไปหากิน ลืมแล้วนิทานอีสป มันเป็นอย่างไรละทีนี้ (ลูกเห็นวัว พอแม่กลับมาเล่าให้แม่ฟังว่าเจอตัวอะไรไม่รู้ใหญ่มาก แม่ก็พองตัว ลูกว่าใหญ่กว่านี้อีก) ได้ไหมๆ สุดท้ายสิ่งที่ได้คือพุงแตก นี่ระวังนะ ตัวเล็กๆ อย่าไปพองตัว มันไม่สมควรจะพอง อึ่งอ่างกับวัว วัวมันตัวใหญ่ขนาดไหน อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้น มาพอง มันตัวเท่านี้ไหมๆ เรื่อย สุดท้ายเลยตาย เข้าใจไหม นี่อึ่งอ่างกับวัวมันไม่ดีอย่างนั้นละ”

โดย...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี

--------------------------------------------------------------------------------------
“พวกเราถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะยังประเทศไทยให้อยู่รอดได้ ด้วยหลักการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ตราบใดที่พวกเรายังตั้งใจปฏิบัติอยู่ และอุทิศส่วนกุศลให้แก่เทพเจ้าต่าง ๆ ที่รักษาประเทศของเราอย่างสม่ำเสมอ ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็ยังพอมีกำลังที่จะไปคานกับอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเสวยบุญของตนอยู่และมีเทพเจ้ารักษาอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเขาเสวยบุญอย่างเดียวจริง ๆ โดยการไม่ได้สร้างของใหม่ขึ้นเลย มีแต่สร้างบาปกรรม แต่ในเมื่อวาระบุญมันส่งผลก็ทำให้เขาเป็นใหญ่เป็นโตในแผ่นดินขึ้นมา ถ้าพวกเราไม่หมั่นตั้งใจบำเพ็ญภาวนา โดยเฉพาะอุทิศส่วนกุศลให้แก่เทพเจ้าต่าง ๆ แล้ว โอกาสที่ประเทศไทยของเราจะล่มจมสูญสลายมีสูงมากเพราะนักการเมืองสมัยนี้ไม่ คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน นอกจากผลประโยชน์ของพวกพ้องและตัวกูเอง

ในหลวงนอกจากเหนื่อย ยังชราภาพมากแล้ว สุขภาพไม่ไหวแล้ว อย่างที่อาตมาบอกว่า อยู่ได้วันหนึ่งถือว่ากำไรวันหนึ่ง ถ้าหากว่าพวกเราตั้งหน้าตั้งตาประกอบกรรมทำดี พระองค์ท่านก็ยังมีกำลังใจที่จะอยู่ต่อ แต่ถ้าหากว่ามือไม่พายแล้วยังเอาเท้าราน้ำอีก มีแต่จะช่วยเหยียบย่ำซ้ำเติมให้ประเทศชาติล่มจมไปง่ายขึ้น ขอบอกว่าถ้าพระองค์ท่านหมดกำลังใจ ตัดสินใจไปเสียวันไหน เราจะเดือดร้อนกว่าที่คิด เพราะว่าบางพวก บางกลุ่ม บางศาสนา เขารออยู่อย่างเดียวว่า เมื่อไหร่ในหลวงจะสวรรคต เขาถือเป็นดีเดย์เลย ไปเมื่อไหร่มันเอาแน่ แล้วถ้าถึงเวลานั้น ที่เดือดร้อนที่สุดจะกลายเป็นพระอย่างอาตมานี่แหละ จะโดนเสียก่อน เพราะว่าพระนั้นมีจุดบอดตรงที่ว่า เครื่องแต่งตัวแปลกแยกกว่าชาวบ้านอย่างชัดเจน ที่อยู่ก็มีหลักแหล่งอย่างแน่นอน ชนิดที่หลบไปไหนไม่ได้ เขาจะใช้กำลังคนหรือกฎหมายก็ตาม สามารถที่จะบีบบังคับจัดการได้ง่าย

ดังนั้นถ้ามีวิธีใดก็ตาม ที่คิดว่าเราจะสร้างกุศล สร้างกำลังกายกำลังใจ เพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญยิ่งยืนนานต่อไปได้ ให้ขวนขวายและเร่งทำกันให้มากไว้ โดยเฉพาะในส่วนของหลักธรรมต่าง ๆ ถ้าเรายึดถือและปฏิบัติกระทำโดยพร้อมเพรียงกัน ประเทศชาติจะสงบร่มเย็น เพราะว่าต่างคนต่างทำความดี ต่างคนต่างตัดรัก โลภ โกรธ หลง ของตนเอง ไม่ไปกระทบกระทั่งใคร ไม่แห่ตามข่าวลือต่าง ๆ ไป ถ้าเป็นดังนั้นในหลวงท่านก็คงมีกำลังใจที่จะอยู่ไปอีกสักระยะหนึ่ง

อย่าประมาทเป็นอันขาดหลายท่านว่าในหลวงจะอยู่เป็นร้อยปีสุขภาพของคนแก่ระดับ นั้น โดยเฉพาะใช้งานมามากในตอนหนุ่ม ๆ มาแสดงออกให้เห็นซึ่งความชำรุดทรุดโทรมในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นได้ว่า ทันทีที่ในหลวงเข้าโรงพยาบาลครั้งแรก จะเห็นความทรุดโทรมอย่างชัดเจนเลย เหมือนกับรถยนตร์ที่ใช้งานหนัก ๆ ตอนที่ยังใหม่ พอถึงเวลาช่วงท้าย การชำรุดที่ต้องซ่อมแซมก็หนักกว่าปกติทั่วไป จะไปประมาทว่าท่านจะอยู่เป็นร้อยปี เดี๋ยวก็น้ำตาเล็ดอีก

ถ้าเราได้วันหนึ่งเอาวันหนึ่ง พยายามเร่งขวนขวายความดีของเราให้มากที่สุด ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านให้มากที่สุด โดยหวังว่าเทพเจ้าต่าง ๆ ทั้งหลาย ทั้งที่รักษาพระองค์ท่านก็ดี ทั้งที่รักษาประเทศชาติก็ดี จะได้รับส่วนกุศลนี้ไปและมีกำลังช่วยกันค้ำจุนพระวรกายพรองค์ท่าน ให้ดำรงขันธ์อยู่ต่อไปได้อีกสักระยะหนึ่ง ช่วยกันค้ำจุนสถานการณ์บ้านเมืองของเรา อย่าให้มีอันเป็นไปมากกว่านี้

ถ้าหากว่าโดยวาระกรรมของเราแล้ว ประเทศชาติของเราช่วงนี้มันอยู่ในจุดที่แย่ และจะแย่มากขึ้น ดังนั้นวิธีแก้กรรมที่ง่ายที่สุดก็คือ ทำความดีให้เยอะไว้ เหมือนอย่างกับไฟมันร้อนมาก ก็พยายามหาน้ำดับมันให้ได้ แม้ว่าน้ำจะไม่พอดับไฟ อย่างน้อย ๆ มันบรรเทาเบาบางลงก็ยังดี ไม่ทราบว่าญาติโยมคิดผิดหรือเปล่าที่มาที่นี่ มาทีไรได้การบ้านหนัก ๆ กลับไปทุกที ก็ได้แต่เตือนสติพวกเราเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะว่าสถานการณ์ต่าง ๆ มันเร็วมากในปัจจุบัน แค่ข่าวลือวูบเดียวเท่านั้นเอง ทำเอาหุ้นตกฮวบลงไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ในเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างมันมาเร็ว เราก็ต้องตั้งหลักและยืนหยัดให้ได้

สิ่งที่จะทำให้เรายืนหยัดได้ในสังคมปัจจุบันก็คือ แน่วแน่มั่นคงและเข้มแข็งในกำลังใจของเราเอง ที่จะไม่ไหลตามกระแสบริโภคนิยม ไม่ไปตามรัก โลภ โกรธ หลง ของคนส่วนใหญ่เขา ถ้าทำอย่างนั้นได้ เราก็จะเหมือนก้อนหินกลางน้ำ อย่างน้อย ๆ ถ้ามันก้อนเล็กไม่สามารถให้คนอื่นเกาะพักพิงได้ ก็ยังยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ไม่เป็นภาระแก่คนอื่นเขา แต่ถ้าเราเป็นหินใหญ่กลางน้ำได้ ก็เป็นที่เกาะ ที่อาศัยพักพิงของคนอื่นด้วย ยืนหยัดด้วยตัวเองได้ด้วย ก็จะช่วยประเทศชาติได้มากกว่านี้

อาตมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ส่วนหนึ่งของประเทศ และสถาบันหนึ่งที่เป็นหลักยึด ก็ได้แต่นำสิ่งที่จะพอบอกกล่าวกันได้มาพูด

...เพราะว่าหลายต่อหลายอย่างก็เป็นการฝืนกฎของกรรมมากเกินไป บางทีการรู้เรื่องต่าง ๆ แต่พูดไม่ได้ อกมันจะแตกตายเหมือนกัน”

(ส่วนหนึ่งจากคำเทศน์เรื่อง “โชคดีที่เรามีในหลวง”)

พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

เทศน์ก่อนทำกรรมฐาน ณบ้านอนุสาวรีย์

วันเสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒

(แหล่งที่มา :palungjit.com)

--------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๘ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

ได้ปรารภกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า

มีใครเป็นห่วงพระเจ้าแผ่นดินองค์น้อย (ในหลวง) บ้าง???"

เมื่อทุกคนกล่าวรับว่าเป็นห่วง เนื่องจากมีข่าวที่น่าเป็นกังวลมาให้ได้ยินอยู่

คุณแม่บุญเรือน (พระอริยะเจ้ามหาอุบาสิกา-ฆราวาสนักปฏิบัติธรรมชั้นสูงผู้เมตตา ทรงอภิญญา และฤทธิ์ปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์ยิ่งในยุคนั้น) ก็ว่าต่อไปอีกหน่อยว่า

“ถ้าเป็นห่วง ก็ขอให้แม่อธิษฐานช่วยพระองค์ท่านซิ”

(ตามอริยประเพณี พระอริยะจะทำการสิ่งใดโดยปราศจากเหตุ หรือไม่มีผู้อาราธนามิได้)

เมื่อศิษย์ทุกคนกล่าวคำขอให้คุณแม่ใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยในหลวงให้ทรงพระเจริญ และ แคล้วคลาดจากสรรพภยันตรายทั้งปวงแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม จึงได้กำหนดที่จะไปเข้า "นิโรธสมาบัติ" คุ้มครองถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บ้านนาซา (เป็นเคล็ดให้เรื่องร้าย "สร่างซา" ลงไป) ของนางสาววาย วิทยานุกรณ์ (น้องสาวพระมหารัชชมังคลาจารย์ วัดสัมพันธวงศ์) (เป็นเคล็ดให้เรื่องราวที่ไม่ดีมีอันต้อง "วาย" หายสูญไป) ที่ปากน้ำประแสร์ จ.ระยอง เป็นเวลาถึง ๑ ปีเต็ม โดยเวลานั้น คุณแม่บุญเรือน ได้สั่งห้ามมิให้ศิษย์คนใดเข้ามารบกวนท่านในช่วงเวลานั้นเป็นอันขาด...!!!

ที่มา...หนังสืออนุสรณ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดสารนาถธรรมาราม ระยอง พ.ศ. ๒๕๕๑

--------------------------------------------------------------------------------------
แม่ไปเมืองจีน คนจีนถามแม่ว่ามาจากประเทศไหน แม่บอกว่า...มาจากประเทศไทย ลูกรู้ไหมคนจีนดีใจจับมือแม่ แล้วบอกว่าแม่โชคดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของท่านนับถือพระพุทธศาสนา แม่ได้ยินแล้วน้ำตาคลอ รู้สึกดีใจมากที่ต่างประเทศรู้ว่า พระเจ้าอยู่หัวของเรามีพระเมตตาต่อพสกนิกรของพระองค์ท่าน...ทำให้แม่หวนนึก ถึงพระแม่กวนอิมฯ เมื่อครั้งเสด็จมาประทับระยะแรก ๆ

ในปีพุทธศักราช ๒๕๒๔ พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า.....

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นพระโพธิสัตว์ ดังนั้นพระองค์ท่านจึงเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่...ที่จะมาสร้างพระมหาเจดีย์ประวัติศาสตร์ไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ...”

ที่มา...หนังสือ หนึ่งทศวรรษ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ (อวโลกิเตศวร)

ที่เสด็จลงมาโปรดมนุษย์ ณ ตำหนักพระแม่กวนอิม โชคชัย ๔

--------------------------------------------------------------------------------------

“...เพราะ อาตมาถือว่าทุกคนเกิดมาต้องรักชาติ ถ้าไม่รักชาติแล้ว เราจะมีแผ่นดินอยู่หรือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราชาวไทยทุกคนต้องเทิดทูนไว้เหนือกว่าสิ่งอื่นใด...”

โดย...พระอาจารย์ใหญ่ กวงเซง ไต้ซือ
ตำหนักพระแม่กวนอิม โชคชัย ๔

--------------------------------------------------------------------------------------