ดาว มยุรี...กับชีวิตหลังมรสุมรักในรายการวีไอพี
หลังจากมีข่าวว่า นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ดาว มยุรี หรือชื่อจริง มยุรี พันธนา ได้ประกาศแยกทางกับสามี เอก มนูญ พิมพาทอง ผู้บริหารบริษัท มาแฟค เคมิคัล จำกัด ทั้งที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานกว่า 26 ปี ด้วยสาเหตุความเจ้าชู้ของฝ่ายชาย แต่ก็ยังมีหลายคนสงสัยว่า ความรักของเธอได้ยุติลงจริง ๆ หรือไม่ รายการวีไอพี (18 มีนาคม) จึงได้เชิญ ดาว มยุรี มาเปิดใจถึงเรื่องดังกล่าว โดยเจ้าตัวระบุว่า การมาออกรายการในครั้งนี้ เพื่อต้องการชี้แจงในประเด็นที่หลายคนยังสงสัยอยู่ แต่ไม่ได้ต้องการโจมตีฝ่ายชายแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ดาว มยุรี เล่าว่า ความ สัมพันธ์ระหว่างตนกับสามีอาจจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่พวกตนทั้งคู่ไม่ได้มีปัญหากัน สามีก็ยังคงเป็นพ่อของลูกอยู่ สามารถมาหาลูกได้ตลอดเวลาโดยตนไม่ได้ปิดกั้น และตนก็ยังคงเป็นหุ้นส่วนบริษัทปุ๋ยร่วมกับสามีเช่นเดิม ซึ่งตนกับสามีแยกกันอยู่ได้ประมาณ 7-8 เดือนแล้ว
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า การออกมาประกาศเรื่องเลิกรากับสามีผ่านสื่อในครั้งนี้ เป็นเพราะตั้งใจจะโปรโมทอัลบั้มใหม่หรือไม่ ดาว มยุรี ชี้แจงว่า ทางค่ายยังไม่มีแผนโปรโมทอัลบั้มใหม่แต่อย่างใด ตนยอมรับว่ามีเพลงพร้อมแล้ว แต่อย่างมากก็แค่ไปออกรายการต่าง ๆ และร้องเพลงเกริ่นเพื่อแนะนำอัลบั้มเท่านั้น แต่ขอปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า เรื่องการเลิกรากับสามีในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการโปรโมทอัลบั้มแต่อย่างใด
ส่วนข่าวเรื่องนักร้องหนุ่มรุ่นน้องร่วมค่ายเป็นมือที่สาม โดยมีหลักฐานเป็นภาพที่เจ้าตัวเป็นผู้โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรมนั้น ดาว มยุรี เผยว่า ที่ตัวเองโพสต์ภาพเหล่านั้นลงใน เว็บไซต์ต่าง ๆ ก็เพราะตนบริสุทธิ์ใจ เนื่องจากตนและน้องเอ็ม กันตวัจจ์ จิตเอื้อ เป็นศิลปินในค่ายเดียวกัน และมีผลงานเป็นเพลงคู่ ซึ่งตนก็จะ สอนน้องในเรื่องการวางตัว การแสดงบนเวที เนื่องจากน้องเป็นนักร้องใหม่ ดังนั้นเวลามีภาพออกสื่อจึงกลายเป็นภาพคู่ ทั้งที่แท้จริงแล้ว ตนก็ไม่ได้ไปทำงานกับน้องเอ็มตามลำพัง โดยภาพที่โพสต์ก็เป็นภาพจากในงานทั้งนั้น หรือถ้าไปกินข้าว ก็จะมีทีมงานไปด้วยหลายคน
"คง เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ข่าวดังกล่าวจะทำให้ตนถูกจับตามอง เนื่องจากคนภายนอกจะมองว่าครอบครัวของตนมีความสุขดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมา ตนยอมเป็นผู้ให้อภัยมาตลอด เพื่อลูก เพื่อครอบครัว ดังนั้น เมื่อจู่ ๆ ตนก้าวออกมาประกาศเรื่องนี้ จึงทำให้หลายคนตกใจและคิดกันไปต่าง ๆ นานา ถึงแม้ตนจะเผชิญกับปัญหาเรื่องความรัก มันก็ไม่ได้มีผลต่องานที่ทำ เนื่องจากงานร้องเพลงเป็นงานที่ตนรัก ยิ่งทำงานก็ยิ่งช่วยให้ตนคลายเครียดมากขึ้น เพราะตนได้เจอกับแฟนเพลงและได้เที่ยวสบายใจ แต่ยอมรับว่าในบางช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำงาน ตนอาจหวนคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามีบ้าง" ดาว มยุรี กล่าว
เธอเล่าต่อว่า เมื่อปี 2555 เคยไปปฏิบัติธรรม ได้พบกับความสงบ กระทั่งทำให้คิดว่า อาจเป็นเพราะธรรมะ ที่ทำให้ตนพ้นกรรม เพราะเมื่อตนเจอปัญหาอีกครั้ง หลังจากที่เคยเจอกับความเจ็บช้ำกับเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ตนกลับไม่รู้สึกโกรธหรือเกลียดสามีเลย ซึ่งปัจจุบันนี้ตนกับ สามีก็ไม่ได้ทะเลาะกัน ถือว่าเป็นการจากกันด้วยดี ยังมีคุยกันบ้าง ปรึกษาเรื่องงานกันบ้าง หรือติดต่อผ่านผู้จัดการ เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในฐานะสามีภรรยาอีกต่อไป เหมือนตนปล่อยวางทุกอย่างแล้ว จึงไม่อยากอยู่ด้วยกัน เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับตน
"หลังจากเลิกกันใหม่ ๆ ก็อาจจะมีใจหายบ้าง แต่ตนก็ลุกขึ้นมาโฟกัสเรื่องทำงานแทนจากนั้นทุกอย่างก็ดีขึ้น ซึ่งตั้งแต่ตัดสินใจเช่นนี้ หรือตัดใจก้าวออกมา ทุกอย่างก็โล่งมากขึ้น อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปเที่ยวกับเพื่อนก็ได้ แต่ที่ห่วงคือเรื่องลูก เพราะบางครั้งตนทำงานไม่เป็นเวลา อาจจะต้องกลับดึกบ้าง" นักร้องสาวลูกทุ่ง เล่า
ส่วนเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบนั้น เธอบอกว่า ลูก จะอยู่กับตนตลอด ตอนนี้เรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องค่าเทอมลูก ตนยังดูแลอยู่ แต่ในอนาคตจะเป็นอย่างไรตนยังไม่รู้ ที่แน่ ๆ ตนยึดความสุขของลูกเป็นหลัก ปกติลูกจะอยู่กับตน แต่ถ้าช่วงไหนลูกมีวันหยุดยาว สามีก็อาจจะมารับไปเที่ยว ซึ่ง ตนก็ให้ลูกทำตัวเหมือนปกติ โดยก่อนหน้านี้ตนเคยคุยกับลูกถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนกับสามีแล้ว เพราะตนไม่อยากปิดบังลูก ซึ่งลูกตนก็เข้าใจและยอมรับได้ แต่บางครั้งเมื่อมีข่าวอะไรขึ้นมาลูกก็จะตกใจ ซึ่งตนก็ต้องค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับลูกอีกที
ดาว มยุรี เผยว่า ลูกของตนเคยพูดว่า มันเป็นกรรม แต่ตนก็จะพยายามสอนเขาว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป อาจแค่มาถึงจุดที่อยู่ด้วยกันไม่ได้ และ ถึงแม้ลูกจะพูดว่าเข้าใจ แต่ตนคิดว่าลูกยังเด็กยังไม่ถึงขั้นที่จะรับได้ทุกอย่าง ส่วนเรื่องการปรับตัวหลักจากต้องดูแลลูกคนเดียวตามลำพัง ตนพยายามทำทุกอย่างตามปกติ ซึ่งยอมรับว่าอาจจะมีเวลาให้ลูกน้อย ซึ่งลูกก็จะมีบ่นบ้าง โทรตามบ้าง แต่ตนก็จะพยายามหาเวลาให้ลูกตลอด หากมีเวลาว่างก็จะไปกินข้าว ดูหนัง หรือไปเที่ยวกัน แต่ถ้าตนติดงานก็จะมีผู้จัดการคอยช่วยดูแลลูกแทน หรือหากลูกไปเรียนแต่ตนติดงานต่างจังหวัดวันนั้นก็อาจจะให้น้าไปรับลูกที่ โรงเรียนแทน หรือถ้าสามีตนว่างเขาก็จะเป็นคนไปรับลูกเอง ดังนั้นลูกตนจึงมีความสุขดี ไม่ได้ขาดอะไร
ส่วนน้องเฟรช ณัฐธิดา พิมพาทอง ลูกของตนนั้น ตอนนี้เขาโตแล้ว ดังนั้นเขาจะมีโลกส่วนตัวของเขา เช่นอยู่ในห้องเล่นคอมพิวเตอร์ หรือมีงานอดิเรกปั้นดินน้ำมันญี่ปุ่น ซึ่งตนก็จะให้อิสระแก่ลูก แต่ถ้าเห็นว่าเรื่องไหนลูกทำไม่ถูก ตนก็จะอบรมลูก และไม่ตามใจ เพราะตนกลัวอยู่ 2 เรื่อง คือ กลัวลูกจะก้าวร้าว และกลัวลูกไม่มีสัมมาคารวะ
"เรื่อง ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เหมือนทำให้ตนได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต ทำให้ตนแกร่งขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ตนรู้จักความรักมากขึ้น รู้จักการใช้ชีวิตครอบครัว และรู้จักรักตัวเอง เพราะที่ผ่านมาตนรักคน อื่นมากไป ซึ่งตนก็อยากฝากถึงคนที่เจอเหตุการณ์คล้ายกัน หากเป็นไปได้ให้อดทนก่อน ถ้ามีลูกก็อดทนเพื่อลูก ถ้าทนไม่ได้จริง ๆ ค่อยก้าวออกมา แล้วมองย้อนกลับไปว่า ตัวเราและตัวเขาบกพร่องอย่างไรบ้าง เราควรจะรักตัวเองมากขึ้น หรือควรจะรักเขาให้มากขึ้น และต้องพิจารณาเรื่องความสุขกับความทุกข์ที่มีอยู่ ว่าเราควรจะวางตัวอย่างไร เพื่อปรับระบบชีวิตของตนเอง ว่าจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป"
ส่วนเรื่องการวางแผนในอนาคตนั้น ดาว มยุรี บอกว่า เนื่องจากตนรักงานร้องเพลงมาก ดังนั้นอาจจะร้องเพลงต่อไป แต่ถ้ามีโอกาสก็อาจหันไปทำงานเบื้องหลัง เช่น ดันน้อง ๆ หน้าใหม่สู่การเป็นศิลปิน ส่วนเรื่องธุรกิจอื่น ๆ คงต้องว่ากันอีกที เพราะตอนนี้ตนอยากทำงานร้องเพลงให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ ดาว มยุรี เล่าว่า ความ สัมพันธ์ระหว่างตนกับสามีอาจจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่พวกตนทั้งคู่ไม่ได้มีปัญหากัน สามีก็ยังคงเป็นพ่อของลูกอยู่ สามารถมาหาลูกได้ตลอดเวลาโดยตนไม่ได้ปิดกั้น และตนก็ยังคงเป็นหุ้นส่วนบริษัทปุ๋ยร่วมกับสามีเช่นเดิม ซึ่งตนกับสามีแยกกันอยู่ได้ประมาณ 7-8 เดือนแล้ว
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า การออกมาประกาศเรื่องเลิกรากับสามีผ่านสื่อในครั้งนี้ เป็นเพราะตั้งใจจะโปรโมทอัลบั้มใหม่หรือไม่ ดาว มยุรี ชี้แจงว่า ทางค่ายยังไม่มีแผนโปรโมทอัลบั้มใหม่แต่อย่างใด ตนยอมรับว่ามีเพลงพร้อมแล้ว แต่อย่างมากก็แค่ไปออกรายการต่าง ๆ และร้องเพลงเกริ่นเพื่อแนะนำอัลบั้มเท่านั้น แต่ขอปฏิเสธอย่างชัดเจนว่า เรื่องการเลิกรากับสามีในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการโปรโมทอัลบั้มแต่อย่างใด
ส่วนข่าวเรื่องนักร้องหนุ่มรุ่นน้องร่วมค่ายเป็นมือที่สาม โดยมีหลักฐานเป็นภาพที่เจ้าตัวเป็นผู้โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก และอินสตาแกรมนั้น ดาว มยุรี เผยว่า ที่ตัวเองโพสต์ภาพเหล่านั้นลงใน เว็บไซต์ต่าง ๆ ก็เพราะตนบริสุทธิ์ใจ เนื่องจากตนและน้องเอ็ม กันตวัจจ์ จิตเอื้อ เป็นศิลปินในค่ายเดียวกัน และมีผลงานเป็นเพลงคู่ ซึ่งตนก็จะ สอนน้องในเรื่องการวางตัว การแสดงบนเวที เนื่องจากน้องเป็นนักร้องใหม่ ดังนั้นเวลามีภาพออกสื่อจึงกลายเป็นภาพคู่ ทั้งที่แท้จริงแล้ว ตนก็ไม่ได้ไปทำงานกับน้องเอ็มตามลำพัง โดยภาพที่โพสต์ก็เป็นภาพจากในงานทั้งนั้น หรือถ้าไปกินข้าว ก็จะมีทีมงานไปด้วยหลายคน
"คง เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ข่าวดังกล่าวจะทำให้ตนถูกจับตามอง เนื่องจากคนภายนอกจะมองว่าครอบครัวของตนมีความสุขดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมา ตนยอมเป็นผู้ให้อภัยมาตลอด เพื่อลูก เพื่อครอบครัว ดังนั้น เมื่อจู่ ๆ ตนก้าวออกมาประกาศเรื่องนี้ จึงทำให้หลายคนตกใจและคิดกันไปต่าง ๆ นานา ถึงแม้ตนจะเผชิญกับปัญหาเรื่องความรัก มันก็ไม่ได้มีผลต่องานที่ทำ เนื่องจากงานร้องเพลงเป็นงานที่ตนรัก ยิ่งทำงานก็ยิ่งช่วยให้ตนคลายเครียดมากขึ้น เพราะตนได้เจอกับแฟนเพลงและได้เที่ยวสบายใจ แต่ยอมรับว่าในบางช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำงาน ตนอาจหวนคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามีบ้าง" ดาว มยุรี กล่าว
เธอเล่าต่อว่า เมื่อปี 2555 เคยไปปฏิบัติธรรม ได้พบกับความสงบ กระทั่งทำให้คิดว่า อาจเป็นเพราะธรรมะ ที่ทำให้ตนพ้นกรรม เพราะเมื่อตนเจอปัญหาอีกครั้ง หลังจากที่เคยเจอกับความเจ็บช้ำกับเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ตนกลับไม่รู้สึกโกรธหรือเกลียดสามีเลย ซึ่งปัจจุบันนี้ตนกับ สามีก็ไม่ได้ทะเลาะกัน ถือว่าเป็นการจากกันด้วยดี ยังมีคุยกันบ้าง ปรึกษาเรื่องงานกันบ้าง หรือติดต่อผ่านผู้จัดการ เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในฐานะสามีภรรยาอีกต่อไป เหมือนตนปล่อยวางทุกอย่างแล้ว จึงไม่อยากอยู่ด้วยกัน เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับตน
"หลังจากเลิกกันใหม่ ๆ ก็อาจจะมีใจหายบ้าง แต่ตนก็ลุกขึ้นมาโฟกัสเรื่องทำงานแทนจากนั้นทุกอย่างก็ดีขึ้น ซึ่งตั้งแต่ตัดสินใจเช่นนี้ หรือตัดใจก้าวออกมา ทุกอย่างก็โล่งมากขึ้น อยากทำอะไรก็ทำ อยากไปเที่ยวกับเพื่อนก็ได้ แต่ที่ห่วงคือเรื่องลูก เพราะบางครั้งตนทำงานไม่เป็นเวลา อาจจะต้องกลับดึกบ้าง" นักร้องสาวลูกทุ่ง เล่า
ส่วนเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบนั้น เธอบอกว่า ลูก จะอยู่กับตนตลอด ตอนนี้เรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องค่าเทอมลูก ตนยังดูแลอยู่ แต่ในอนาคตจะเป็นอย่างไรตนยังไม่รู้ ที่แน่ ๆ ตนยึดความสุขของลูกเป็นหลัก ปกติลูกจะอยู่กับตน แต่ถ้าช่วงไหนลูกมีวันหยุดยาว สามีก็อาจจะมารับไปเที่ยว ซึ่ง ตนก็ให้ลูกทำตัวเหมือนปกติ โดยก่อนหน้านี้ตนเคยคุยกับลูกถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนกับสามีแล้ว เพราะตนไม่อยากปิดบังลูก ซึ่งลูกตนก็เข้าใจและยอมรับได้ แต่บางครั้งเมื่อมีข่าวอะไรขึ้นมาลูกก็จะตกใจ ซึ่งตนก็ต้องค่อย ๆ ทำความเข้าใจกับลูกอีกที
ดาว มยุรี เผยว่า ลูกของตนเคยพูดว่า มันเป็นกรรม แต่ตนก็จะพยายามสอนเขาว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป อาจแค่มาถึงจุดที่อยู่ด้วยกันไม่ได้ และ ถึงแม้ลูกจะพูดว่าเข้าใจ แต่ตนคิดว่าลูกยังเด็กยังไม่ถึงขั้นที่จะรับได้ทุกอย่าง ส่วนเรื่องการปรับตัวหลักจากต้องดูแลลูกคนเดียวตามลำพัง ตนพยายามทำทุกอย่างตามปกติ ซึ่งยอมรับว่าอาจจะมีเวลาให้ลูกน้อย ซึ่งลูกก็จะมีบ่นบ้าง โทรตามบ้าง แต่ตนก็จะพยายามหาเวลาให้ลูกตลอด หากมีเวลาว่างก็จะไปกินข้าว ดูหนัง หรือไปเที่ยวกัน แต่ถ้าตนติดงานก็จะมีผู้จัดการคอยช่วยดูแลลูกแทน หรือหากลูกไปเรียนแต่ตนติดงานต่างจังหวัดวันนั้นก็อาจจะให้น้าไปรับลูกที่ โรงเรียนแทน หรือถ้าสามีตนว่างเขาก็จะเป็นคนไปรับลูกเอง ดังนั้นลูกตนจึงมีความสุขดี ไม่ได้ขาดอะไร
ส่วนน้องเฟรช ณัฐธิดา พิมพาทอง ลูกของตนนั้น ตอนนี้เขาโตแล้ว ดังนั้นเขาจะมีโลกส่วนตัวของเขา เช่นอยู่ในห้องเล่นคอมพิวเตอร์ หรือมีงานอดิเรกปั้นดินน้ำมันญี่ปุ่น ซึ่งตนก็จะให้อิสระแก่ลูก แต่ถ้าเห็นว่าเรื่องไหนลูกทำไม่ถูก ตนก็จะอบรมลูก และไม่ตามใจ เพราะตนกลัวอยู่ 2 เรื่อง คือ กลัวลูกจะก้าวร้าว และกลัวลูกไม่มีสัมมาคารวะ
"เรื่อง ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เหมือนทำให้ตนได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต ทำให้ตนแกร่งขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ตนรู้จักความรักมากขึ้น รู้จักการใช้ชีวิตครอบครัว และรู้จักรักตัวเอง เพราะที่ผ่านมาตนรักคน อื่นมากไป ซึ่งตนก็อยากฝากถึงคนที่เจอเหตุการณ์คล้ายกัน หากเป็นไปได้ให้อดทนก่อน ถ้ามีลูกก็อดทนเพื่อลูก ถ้าทนไม่ได้จริง ๆ ค่อยก้าวออกมา แล้วมองย้อนกลับไปว่า ตัวเราและตัวเขาบกพร่องอย่างไรบ้าง เราควรจะรักตัวเองมากขึ้น หรือควรจะรักเขาให้มากขึ้น และต้องพิจารณาเรื่องความสุขกับความทุกข์ที่มีอยู่ ว่าเราควรจะวางตัวอย่างไร เพื่อปรับระบบชีวิตของตนเอง ว่าจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป"
ส่วนเรื่องการวางแผนในอนาคตนั้น ดาว มยุรี บอกว่า เนื่องจากตนรักงานร้องเพลงมาก ดังนั้นอาจจะร้องเพลงต่อไป แต่ถ้ามีโอกาสก็อาจหันไปทำงานเบื้องหลัง เช่น ดันน้อง ๆ หน้าใหม่สู่การเป็นศิลปิน ส่วนเรื่องธุรกิจอื่น ๆ คงต้องว่ากันอีกที เพราะตอนนี้ตนอยากทำงานร้องเพลงให้ดีที่สุด
Post a Comment