เรื่องเล่าจาก 2 ครูใต้(ครูไพโรจน์ ศรีเมืองและครูศุภววรณ ใจเรือง)กับวินาทีเฉียดตายและความสูญเสียในรายการวีไอพี
ข่าวคราวความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ยังคงมีออกมาให้เห็นกันอย่างต่อเนื่อง และยังคงสร้างความสูญเสียให้กับหลายครอบครัว ซึ่งในจำนวนนั้น มีครูผู้เสียสละ 2 ราย คือ ครูไพโรจน์ ศรีเมือง และ ครูศุภวรรณ ใจเรือง ที่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายแบบซึ่ง ๆ หน้า ทำให้เป็นที่มาของความสูญเสีย และสภาพร่างกายที่ไม่มีวันสมบูรณ์เหมือนเดิมอีกต่อไป รายการวีไอพี (11 มีนาคม) จึงขอเชิญครูทั้ง 2 คน มาร่วมพูดคุยถึงนาทีเฉียดตายในครั้งนั้น ..
ครูไพโรจน์ ศรีเมือง และ ครูศุภววรณ ใจเรือง ปรากฏตัวขึ้นด้วยสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เต็มร้อย มือข้างขวาของครูไพโรจน์ มีร่องรอยกระสุนทะลุจนใช้งานแทบไม่ได้ อีกทั้งยังถูกกระสุนเข้าที่ชายโครง หมอบอกว่าจะทำให้เดินไม่ได้ แต่โชคดีที่ครูไพโรจน์เป็นคนชอบเล่นกีฬา จึงพยายามออกกำลังกาย ทำให้อาการดีขึ้น ส่วนบาดแผลที่แขนขวาก็ต้องผ่าตัดรักษาเส้นประสาทถึง 2 ครั้ง แต่ก็ยังใช้งานได้ไม่ถนัดอยู่ดี
ขณะที่ครูศุภวรรณ ก็ต้องสวมใส่แว่นดำตลอดเวลา เพื่ออำพรางใบหน้าที่บิดเบี้ยวจากการถูกยิงจ่อเข้าที่ใบหน้าจนสูญเสียเส้นประสาท และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอต้องสูญเสียลูกสาววัย 18 ปี ไปต่อหน้าต่อตา ด้วยการจ่อยิงเข้าที่ศีรษะ จนมือที่เธอใช้ปิดบังศีรษะของลูกเอาไว้ต้องถูกกระสุนทะลุผ่าน สร้างบาดแผลที่เจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เธอสลบไปพร้อม ๆ กับการลมหายใจของลูกสาว และเมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็มารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว และมีบาดแผลถูกปาดคอด้วยมีดสปาร์ต้าด้วย
เมื่อถูกจ่อยิงระยะประชิดถึง 2 นัด ครูศุภวรรณ จึงต้องสูญเสียเส้นประสาทที่ใบหน้าซีกขวาไปทั้งหมด และนั่นทำให้ครูศุภวรรณต้องสูญเสียการได้ยิน พูดไม่ชัด และใบหน้าผิดรูป เนื่องจากเส้นประสาทใช้การไม่ได้ทั้งหมด
สำหรับ ครูไพโรจน์ เป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ พลศึกษา สุขศึกษา และวิชาลูกเสือ ให้กับนักเรียนชั้น ป.5 และ ป.6 ที่โรงเรียนบ้านลือมุ จ.ยะลา ซึ่งสอนมา 35 ปีแล้ว ขณะที่ ครูศุภวรรณ เป็นครูสอนนักเรียนชั้นอนุบาล มา 17 ปี ปัจจุบันสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านเบตง (สุภาพอนุสรณ์) จ.ยะลา
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 คือวันแห่งความทรงจำร้าย ๆ ที่ครูไพโรจน์ต้องจดจำไปตลอดชีวิต เมื่อเขากำลังขับรถกระบะกลับบ้านหลังจากโรงเรียนเลิกในเวลาประมาณ 15.00 น. พร้อมเพื่อนครูรวมเป็น 6 คน จู่ ๆ ก็มีคนร้ายถือปืนเดินออกมา ครูซึ่งเป็นคนขับในขณะนั้น ตกใจมาก! แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์อะไรได้ทัน กระสุนนัดแรกถูกยิงเข้าที่มือของครูอย่างจัง ความรุนแรงของกระสุนทำให้ครูต้องล้มตัวเอียง ก่อนที่กระสุนนัดที่ 2 จะตามมาติด ๆ และโดนเข้าที่ครูรุ่นน้องที่นั่งข้างคนขับ กระสุนเข้าที่แขนและหัวเข่า
จากนั้นคนร้ายก็เข้าประชิดและกราดยิงทางแคปด้านหลัง กระสุนเข้าที่ครูอีก 3 คนที่นั่งมาด้วย โดยมีคนหนึ่งที่รอดจากกระสุนไปแบบหวุดหวิด แต่ทว่ากระสุนนัดสุดท้ายที่คนร้ายยิงมาในวันนั้นกลับพุ่งเข้าใส่ครูไพโรจน์ซ้ำอีกครั้งที่ชายโครงด้านขวา และทะลุไปจ่ออยู่ใกล้หัวใจ ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวอยู่ 2 เดือนกว่า ไม่รวมระยะเวลาของการทำกายภาพบำบัดที่บ้าน เคราะห์ดีที่ครูไพโรจน์รอดชีวิตมาได้ แม้จะอาการหนักมากก็ตาม
โดยครูไพโรจน์ บอกว่า ทุกวันนี้ร่างกายของครูจะรับความรู้สึกได้ไว อันเนื่องมาจากผลกระทบของเส้นประสาท ทำให้แม้กระทั่งเสื้อผ้าสัมผัสกับร่างกายก็สามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับครูได้ อีกทั้งไตของครูยังเสียหายไปถึง 40% ทำให้ช่วงเวลาบ่าย ๆ ของทุกวัน เท้าของครูจะต้องบวมขึ้น เนื่องจากไตทำงานได้ไม่เต็มที่
ขณะที่เหตุการณ์ของ ครูศุภวรรณ เกิดขึ้นในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2550 เมื่อครูต้องพาลูกสาววัย 18 ปี ที่กำลังจะจบ ม.6 ไปรับใบ รบ. และประชุมผู้ปกครองเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งคู่จึงเดินทางด้วยรถตู้โดยสาร สายเบตง-หาดใหญ่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านภูเขา เมื่อผ่านเส้นทางดังกล่าวไปได้สักระยะ รถตู้ก็ต้องเบรกและกลับตัวอย่างกะทันหัน เพราะมีต้นไม้ขนาดใหญ่ถูกตัดมาวางขวางถนนไว้อย่างมีนัยยะ แม้คนขับรถตู้โดยสารจะเดาสถานการณ์ได้และพยายามกลับรถเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ทว่าล้อรถกลับถูกตะปูนับร้อยตัวที่คนร้ายโรยไว้ ทำให้รถเสียหลักจนเกือบตกเหว
แม้รถจะพุ่งชนต้นไม้จนรอดจากการตกเหวไปได้อย่างหวุดหวิด แต่คนร้ายที่แต่งกายคล้ายทหาร ก็วิ่งเข้าหารถตู้ที่ครูศุภวรรณโดยสารมาทันที โดยมีคนร้าย 2 คน วิ่งตามหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งไป ก่อนที่จะลงมือใช้มีดสปาร์ต้าสับเข้าที่ใบหน้าจนเละ ส่วนคนร้าย 1 คนที่ขึ้นมาบนรถตู้ ก็จ่อยิงกระสุนเข้าใส่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงประตูรถเข้าที่ท้ายทอยทันที ครูศุภวรรณและลูกสาวที่นั่งอยู่ติดกับชายคนนั้นที่เบาะหลังคนขับ ก็ได้แต่กอดกัน ลูกสาวของครูที่ไม่อยากเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวคือเรื่องจริง ก็พร่ำถามแม่ว่า “นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม?” พร้อมทั้งหันไปยิ้มให้กับผู้ก่อการร้ายคนนั้นอย่างใจดีสู้เสือ และบอกว่า “อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ กลัวนะ”
ถึงครูศุภวรรณจะตะโกนขอชีวิตลูกสาวแบบสุดเสียง ว่า “อย่ายิงลูก” พร้อมทั้งเอามือน้อย ๆ ของแม่ปิดไว้ที่ศีรษะของลูกสาวตามสัญชาตญาณของความเป็นแม่ แต่คนร้ายก็พูดแต่เพียงว่า “ไม่ต้องร้อง ตายทั้งหมด” ภายในเสี้ยววินาทีกระสุนก็พุ่งออกจากกระบอกปืนตรงเข้าสู่มือที่หวังจะปกป้องลูกสาวของครูศุภวรรณ และทะลุเข้าไปยังศีรษะของลูก ทำให้ครูถึงกับช็อกหมดสติในทันที
ลมหายใจของคนเป็นแม่ที่ต้องสูญเสียลูกไปต่อหน้าต่อตา ถึงกับหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงเต้นแผ่ว ๆ เท่านั้น ซึ่งทำให้หมอตัดสินใจปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิตของครูเอาไว้ และเจาะคอเพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงต้องผ่าตัดตาขวาที่สูญเสียเส้นประสาทไปจนไม่สามารถปิดตาลงได้ ด้วยการใส่ทองถ่วงเอาไว้ให้ครูปิดตาลงได้ง่ายขึ้น ถึงอย่างนั้นเวลานอนครูศุภวรรณก็ต้องปิดตาด้วยพลาสเตอร์ทุกครั้งเวลานอน
นอกจากนี้หูข้างขวาของครูก็ยังไม่สามารถรับเสียงได้เหมือนแต่ก่อน อีกทั้งใบหน้าซีกขวายังไม่สามารถขยับได้ ทำให้ปากเบี้ยว และพูดไม่ชัด รวมถึงไม่สามารถทรงตัวได้แบบปกติ โดยในตอนนั้นครูศุภวรรณเข้าใจว่าลูกสาวยังมีชีวิตอยู่ และคนรอบข้างก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากบอกข่าวร้ายกับครูในช่วงเวลานั้น ต่างก็ใช้ข้ออ้างสารพัดเพื่อบอกปัดไม่ให้ครูได้เจอลูกสาว
จนกระทั่งวันหนึ่งความลับก็ปิดไม่มิด ครูศุภวรรณได้รับรู้ว่าลูกสาวของครูเสียชีวิตลงตั้งแต่ในที่เกิดเหตุ แม้จะเสียใจแต่ด้วยหัวอกของคนเป็นแม่ ครูกลับรู้สึกสบายใจที่รู้ว่าลูกไม่ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวด “ดีแล้ว ที่แม่เป็นคนรอด ลูกเป็นคนตาย ถ้าลูกรอดแล้วลูกต้องอยู่ในสภาพเหมือนแม่ในขณะนี้ คงจะต้องเจอกับทุกข์ที่มากกว่าแม่” ครูศุภวรรณพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
และนี่คือเหตุการณ์ความสูญเสียจากปากของครูผู้เสียสละทั้ง 2 คน ที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่แบบเสี่ยงตายในพื้นที่สีแดง ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งขึ้นหลังจากผ่านวินาทีเฉียดตายมาแล้ว ต้องขอแสดงความเสียใจกับความสูญเสีย และเป็นกำลังใจให้กับความเข้มแข็งของครูทั้งสองคนด้วยนะคะ
ครูไพโรจน์ ศรีเมือง และ ครูศุภววรณ ใจเรือง ปรากฏตัวขึ้นด้วยสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เต็มร้อย มือข้างขวาของครูไพโรจน์ มีร่องรอยกระสุนทะลุจนใช้งานแทบไม่ได้ อีกทั้งยังถูกกระสุนเข้าที่ชายโครง หมอบอกว่าจะทำให้เดินไม่ได้ แต่โชคดีที่ครูไพโรจน์เป็นคนชอบเล่นกีฬา จึงพยายามออกกำลังกาย ทำให้อาการดีขึ้น ส่วนบาดแผลที่แขนขวาก็ต้องผ่าตัดรักษาเส้นประสาทถึง 2 ครั้ง แต่ก็ยังใช้งานได้ไม่ถนัดอยู่ดี
ขณะที่ครูศุภวรรณ ก็ต้องสวมใส่แว่นดำตลอดเวลา เพื่ออำพรางใบหน้าที่บิดเบี้ยวจากการถูกยิงจ่อเข้าที่ใบหน้าจนสูญเสียเส้นประสาท และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอต้องสูญเสียลูกสาววัย 18 ปี ไปต่อหน้าต่อตา ด้วยการจ่อยิงเข้าที่ศีรษะ จนมือที่เธอใช้ปิดบังศีรษะของลูกเอาไว้ต้องถูกกระสุนทะลุผ่าน สร้างบาดแผลที่เจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เธอสลบไปพร้อม ๆ กับการลมหายใจของลูกสาว และเมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็มารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว และมีบาดแผลถูกปาดคอด้วยมีดสปาร์ต้าด้วย
เมื่อถูกจ่อยิงระยะประชิดถึง 2 นัด ครูศุภวรรณ จึงต้องสูญเสียเส้นประสาทที่ใบหน้าซีกขวาไปทั้งหมด และนั่นทำให้ครูศุภวรรณต้องสูญเสียการได้ยิน พูดไม่ชัด และใบหน้าผิดรูป เนื่องจากเส้นประสาทใช้การไม่ได้ทั้งหมด
สำหรับ ครูไพโรจน์ เป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ พลศึกษา สุขศึกษา และวิชาลูกเสือ ให้กับนักเรียนชั้น ป.5 และ ป.6 ที่โรงเรียนบ้านลือมุ จ.ยะลา ซึ่งสอนมา 35 ปีแล้ว ขณะที่ ครูศุภวรรณ เป็นครูสอนนักเรียนชั้นอนุบาล มา 17 ปี ปัจจุบันสอนอยู่ที่โรงเรียนบ้านเบตง (สุภาพอนุสรณ์) จ.ยะลา
เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 คือวันแห่งความทรงจำร้าย ๆ ที่ครูไพโรจน์ต้องจดจำไปตลอดชีวิต เมื่อเขากำลังขับรถกระบะกลับบ้านหลังจากโรงเรียนเลิกในเวลาประมาณ 15.00 น. พร้อมเพื่อนครูรวมเป็น 6 คน จู่ ๆ ก็มีคนร้ายถือปืนเดินออกมา ครูซึ่งเป็นคนขับในขณะนั้น ตกใจมาก! แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์อะไรได้ทัน กระสุนนัดแรกถูกยิงเข้าที่มือของครูอย่างจัง ความรุนแรงของกระสุนทำให้ครูต้องล้มตัวเอียง ก่อนที่กระสุนนัดที่ 2 จะตามมาติด ๆ และโดนเข้าที่ครูรุ่นน้องที่นั่งข้างคนขับ กระสุนเข้าที่แขนและหัวเข่า
จากนั้นคนร้ายก็เข้าประชิดและกราดยิงทางแคปด้านหลัง กระสุนเข้าที่ครูอีก 3 คนที่นั่งมาด้วย โดยมีคนหนึ่งที่รอดจากกระสุนไปแบบหวุดหวิด แต่ทว่ากระสุนนัดสุดท้ายที่คนร้ายยิงมาในวันนั้นกลับพุ่งเข้าใส่ครูไพโรจน์ซ้ำอีกครั้งที่ชายโครงด้านขวา และทะลุไปจ่ออยู่ใกล้หัวใจ ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวอยู่ 2 เดือนกว่า ไม่รวมระยะเวลาของการทำกายภาพบำบัดที่บ้าน เคราะห์ดีที่ครูไพโรจน์รอดชีวิตมาได้ แม้จะอาการหนักมากก็ตาม
โดยครูไพโรจน์ บอกว่า ทุกวันนี้ร่างกายของครูจะรับความรู้สึกได้ไว อันเนื่องมาจากผลกระทบของเส้นประสาท ทำให้แม้กระทั่งเสื้อผ้าสัมผัสกับร่างกายก็สามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับครูได้ อีกทั้งไตของครูยังเสียหายไปถึง 40% ทำให้ช่วงเวลาบ่าย ๆ ของทุกวัน เท้าของครูจะต้องบวมขึ้น เนื่องจากไตทำงานได้ไม่เต็มที่
ขณะที่เหตุการณ์ของ ครูศุภวรรณ เกิดขึ้นในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2550 เมื่อครูต้องพาลูกสาววัย 18 ปี ที่กำลังจะจบ ม.6 ไปรับใบ รบ. และประชุมผู้ปกครองเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งคู่จึงเดินทางด้วยรถตู้โดยสาร สายเบตง-หาดใหญ่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านภูเขา เมื่อผ่านเส้นทางดังกล่าวไปได้สักระยะ รถตู้ก็ต้องเบรกและกลับตัวอย่างกะทันหัน เพราะมีต้นไม้ขนาดใหญ่ถูกตัดมาวางขวางถนนไว้อย่างมีนัยยะ แม้คนขับรถตู้โดยสารจะเดาสถานการณ์ได้และพยายามกลับรถเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ทว่าล้อรถกลับถูกตะปูนับร้อยตัวที่คนร้ายโรยไว้ ทำให้รถเสียหลักจนเกือบตกเหว
แม้รถจะพุ่งชนต้นไม้จนรอดจากการตกเหวไปได้อย่างหวุดหวิด แต่คนร้ายที่แต่งกายคล้ายทหาร ก็วิ่งเข้าหารถตู้ที่ครูศุภวรรณโดยสารมาทันที โดยมีคนร้าย 2 คน วิ่งตามหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งไป ก่อนที่จะลงมือใช้มีดสปาร์ต้าสับเข้าที่ใบหน้าจนเละ ส่วนคนร้าย 1 คนที่ขึ้นมาบนรถตู้ ก็จ่อยิงกระสุนเข้าใส่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงประตูรถเข้าที่ท้ายทอยทันที ครูศุภวรรณและลูกสาวที่นั่งอยู่ติดกับชายคนนั้นที่เบาะหลังคนขับ ก็ได้แต่กอดกัน ลูกสาวของครูที่ไม่อยากเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวคือเรื่องจริง ก็พร่ำถามแม่ว่า “นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม?” พร้อมทั้งหันไปยิ้มให้กับผู้ก่อการร้ายคนนั้นอย่างใจดีสู้เสือ และบอกว่า “อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ กลัวนะ”
ถึงครูศุภวรรณจะตะโกนขอชีวิตลูกสาวแบบสุดเสียง ว่า “อย่ายิงลูก” พร้อมทั้งเอามือน้อย ๆ ของแม่ปิดไว้ที่ศีรษะของลูกสาวตามสัญชาตญาณของความเป็นแม่ แต่คนร้ายก็พูดแต่เพียงว่า “ไม่ต้องร้อง ตายทั้งหมด” ภายในเสี้ยววินาทีกระสุนก็พุ่งออกจากกระบอกปืนตรงเข้าสู่มือที่หวังจะปกป้องลูกสาวของครูศุภวรรณ และทะลุเข้าไปยังศีรษะของลูก ทำให้ครูถึงกับช็อกหมดสติในทันที
ลมหายใจของคนเป็นแม่ที่ต้องสูญเสียลูกไปต่อหน้าต่อตา ถึงกับหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงเต้นแผ่ว ๆ เท่านั้น ซึ่งทำให้หมอตัดสินใจปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิตของครูเอาไว้ และเจาะคอเพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงต้องผ่าตัดตาขวาที่สูญเสียเส้นประสาทไปจนไม่สามารถปิดตาลงได้ ด้วยการใส่ทองถ่วงเอาไว้ให้ครูปิดตาลงได้ง่ายขึ้น ถึงอย่างนั้นเวลานอนครูศุภวรรณก็ต้องปิดตาด้วยพลาสเตอร์ทุกครั้งเวลานอน
นอกจากนี้หูข้างขวาของครูก็ยังไม่สามารถรับเสียงได้เหมือนแต่ก่อน อีกทั้งใบหน้าซีกขวายังไม่สามารถขยับได้ ทำให้ปากเบี้ยว และพูดไม่ชัด รวมถึงไม่สามารถทรงตัวได้แบบปกติ โดยในตอนนั้นครูศุภวรรณเข้าใจว่าลูกสาวยังมีชีวิตอยู่ และคนรอบข้างก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากบอกข่าวร้ายกับครูในช่วงเวลานั้น ต่างก็ใช้ข้ออ้างสารพัดเพื่อบอกปัดไม่ให้ครูได้เจอลูกสาว
จนกระทั่งวันหนึ่งความลับก็ปิดไม่มิด ครูศุภวรรณได้รับรู้ว่าลูกสาวของครูเสียชีวิตลงตั้งแต่ในที่เกิดเหตุ แม้จะเสียใจแต่ด้วยหัวอกของคนเป็นแม่ ครูกลับรู้สึกสบายใจที่รู้ว่าลูกไม่ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวด “ดีแล้ว ที่แม่เป็นคนรอด ลูกเป็นคนตาย ถ้าลูกรอดแล้วลูกต้องอยู่ในสภาพเหมือนแม่ในขณะนี้ คงจะต้องเจอกับทุกข์ที่มากกว่าแม่” ครูศุภวรรณพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
และนี่คือเหตุการณ์ความสูญเสียจากปากของครูผู้เสียสละทั้ง 2 คน ที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่แบบเสี่ยงตายในพื้นที่สีแดง ด้วยหัวใจที่เข้มแข็งขึ้นหลังจากผ่านวินาทีเฉียดตายมาแล้ว ต้องขอแสดงความเสียใจกับความสูญเสีย และเป็นกำลังใจให้กับความเข้มแข็งของครูทั้งสองคนด้วยนะคะ
Post a Comment