สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ชายผู้ให้กำเนิดนวัตกรรมอันผลักดันโลกไปข้างหน้า
Steve Jobs จากบุรุษซึ่งเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว เจ้าอารมณ์ สู่ความเป็นอัจฉริยภาพที่สุขุมนุ่มลึก สร้างสรรนวัตกรรมใหม่ๆ ของโลก และ Steve Jobs ผู้นี้คือคนเดียวกับ อดีตซีอีโอ และประธานบอร์ด Apple และเค้าคนนี้อีกเช่นกันที่่เป็นผู้ปลุก Pixar Studio จากบริษัทผลิต software สู่ต้นแบบของภาพยนต์ที่สร้างด้วย computer animation เรื่องแรกของโลก Toy Story
Steve Jobs ได้เสียชีวิตอย่างสงบแล้ววันนี้ หากทุกท่านเข้าไปที่หน้าเว็บหลักของ Apple ก็จะพบภาพข้างล่าง
และเมื่อกดเข้าไปก็จะพบคำไว้อาลัยจาก Apple ตามนี้
[แอปเปิลสูญเสียอัจฉริยะผู้สร้างสรรค์ ผู้มีทัศนวิสัย ขณะเดียวกันโลกนี้ได้สูญเสียความมหัศจรรย์ของมนุษยชาติ ท่ามกลางพวกเรา ผู้ที่โชคดีพอที่จะได้ทำงานและรู้จักสตีฟจอบส์ได้สูญเสียเพื่อนสนิท และอาจารย์ผู้มอบแรงบันดาลใจ สตีฟจอบส์ ชายผู้อยู่เบื้องหลังบริษัทที่เขาก่อตั้ง สตีฟจอบส์ จิตวิญญาณที่จะคงอยู่เป็นรากฐานแห่งแอปเปิลไปตลอดกาล]สตีฟ จอบส์ ได้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 56 ปี และบอร์ดผู้บริหารได้ประกาศออกมาบนเพจของแอปเปิลเองว่า
'เราเสียใจที่ต้องกล่าวเรื่องนี้ สตีบจอบส์ ได้จากพวกเราไปแล้วส่วนทางครอบครัวเองก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า
สตีฟ ชายผู้มหัศจรรย์ เต็มไปด้วยจิตน และพลัง ชายที่ทำให้นวัตกรรมอันผลักดันโลกไปข้างหน้า และพัฒนาชีวิตของพวกเราทุกคน เราอาจพูดได้เต็มปากว่าโลกนี้มหัศจรรย์ขึ้นเพราะสตีฟ
ความรักอันยิ่งใหญ่ของเขานั้นมีไว้แด่ภรรยา ลอร์รีน(ผู้เป็นบุตรสาว) และครอบครัวของเขา หัวใจของเขานั้นมอบให้แก่พวกเธอ และทุกคนที่ได้สัมผัสกับความเก่งที่ได้รับประทานมา'
'สตีฟ ได้จากไปอย่างสงบวันนี้ท่ามกลางครอบครัวBill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งว่า:
ในชีวิตของสตีฟนั้น โลกเห็นเขาว่าเป็นผู้มีทัศนวิสัย ในชีวิตเบื้องหลังนั้น เขาคือชายผู้อุทิศแด่ครอบครัว เรายินดีและขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ทุกๆ คนได้อฐิษฐาน ทูลขอพระเจ้าตลอดปีที่แล้ว เพื่อให้สตีฟ หายป่วย โดยในเว็บจะมีข้อมูลของผู้ที่อุทิศตนเพื่อการนี้ และความทรงจำทั้งหลาย
เรายินดีจะตอบรับความช่วยเหลือ และความกรุณาของผู้ที่แบ่งปันความรู้สึกเช่นเดียวกับเราต่อสตีฟ เรารู้ว่าคุณคงจะกล่าวถึงเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราขอให้คุณเคารพสิทธิของเราในช่วงนี้ อันเป็นเวลาแห่งการสูญเสีย'
ฉันเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของ Steve Jobs เมลินดาและผมได้ส่งความเสียใจอย่างสุดซึ้งของเรากับครอบครัวและเพื่อนของเขา ตลอดจนทุกๆ คนที่เคยทำงานร่วมกับสตีปประธานาธิบดีบารัค โอบามาก็กล่าวแสดงความเสียใจด้วยเช่นกัน:
สตีฟกับผมพบกันครั้งแรกเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา และได้กลายมาเป็นคู่แข่ง เพื่อนร่วมงานและเพื่อน ตลอดเกือบครึ่งชีวิตของเรา
โลกไม่ค่อยเห็นใครบางคนที่สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่อย่างสตีฟ ซึ่งจะมีผลสืบไปอีกหลายช่วงอายุคน
สำหรับพวกเราที่โชคดีพอเคยทำงานร่วมกับสตีฟนั้น มันช่างรู้สึกเป็นเกียรติ ฉันจะคิดถึงสตีฟเป็นอย่างยิ่ง
มิเชลและฉันเสียใจที่รู้ว่า Steve Jobs จากไปแล้ว เขาเป็นหนึ่งในนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้ที่กล้าพอที่จะคิดต่าง และห้าวหาญพอที่จะเชื่อว่าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงโลก และมีความสามารถพอที่จะทำมันDick Costolo ซีอีโอของ Twitter ก็ต้องการบอกความในใจของเขาเช่นกัน
โดยการสร้างหนึ่งในบริษัททีประสบความสำเร็จมากที่สุดของโลกจากโรงรถของเขาสตีฟถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นจิตวิญญาณของชาวอเมริกัน โดยการทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและการนำอินเทอร์เน็ตเข้าสู่กระเป๋าของเรานั้น ไม่เพียงแต่เขาได้ทำการปฏิวัติข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้เท่านั้น แต่ใช้งานง่ายและสนุก และด้วยการแปลงพรสวรรค์ของเขาในการเล่าเรื่องนั้น เขาได้นำความสุขไปสู่เด็กนับล้านรวมทั้งผู้ใหญ่ไม่น้อย สตีฟชอบบอกว่าเขาใช้ชีวิตทุกวันเหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้าย และเพราะว่าเขาทำตามคำพูดดังกล่าว เขาจึงสามารถเปลี่ยนชีวิตของเรา ให้คำนิยามใหม่ต่ออุตสาหกรรมทั้งมวล และบรรลุความสำเร็จอันยากยิ่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ เขาได้เปลี่ยนวิธีการที่พวกเราเห็นโลกทั้งใบ
โลกได้สูญเสียผู้ที่มีวิสัยทัศน์ และอาจไม่มีวิธีการสรรเสริญความสำเร็จของสตีฟใดที่จะดีไปกว่าการได้เรียนรู้จากสิ่งที่เขาได้ประดิษฐ์ชึ้นมา มิเชลและผมจะส่งความคิดและคำอธิษฐานของเราไปยังลอเรนภรรยาของสตีฟ, ครอบครัวของเขาและทุกคนที่รักเขา
คงมีช่วงเวลาที่หาได้ยากยิ่งที่จะมีใครบางคนปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงเพื่อยกระดับเท่านั้น แต่ยังสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นมาอีกด้วยSteve Ballmer ซีอีโอของ Microsoft คนปัจจุบัน:
Larry Page ซีอีโอของ Google:"ฉันขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ่้งต่อการจากไปของสตีฟ จ๊อบ หนึ่งในผู้ก่อตั้งอุตสาหกรรมของเราและผู้ที่มีวิสัยทัศน์อย่างแท้จริง หัวใจของฉันจะถูกส่งไปครอบครัวของเขา ทุกคนที่แอปเปิ้ล และทุกคนที่ได้รับการสัมผัสผลงานของเขา."
ผมเศร้ามากที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับสตีฟ เขาเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ผู้ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งและมีความเป็นอัจฉริยะที่สุดยอด เขาเป็นผู้ที่ดูเหมือนว่าจะสามารถพูดด้วยจำนวนคำที่น้อยได้ก่อนที่คุณจะนึกถึงการที่เขาโฟกัสไปที่ประสบการณ์ใช้งานเหนือสิ่งอีกใดเป็นแรงบันดาลใจให้กับผมเสมอมา เขาช่างใจดีอย่างล้นเหลือเมื่อตอนที่เขาเข้ามาแสดงความยินดีตอนที่ผมได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งซีอีโอของ Google และใช้เวลาให้คำปรึกษาและมอบความรู้ต่างๆ แม้ว่าตัวเขาเองจะสุขภาพไม่ดี ผมขอมอบความรู้สึกของผมและของพนักงาน Google ทุกคนไปยังครอบครัวของเขาและครอบครัว Apple ทั้งมวลMark Zuckerberg ซีอีโอ facebook กล่าว:
สตีฟขอขอบคุณสำหรับการเป็นพี่เลี้ยงและเพื่อน ขอบคุณสำหรับการแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่คุณสร้างสามารถเปลี่ยนโลก แล้วฉันจะคิดถึงคุณSergey Brin ผู้ก่อตั้งร่วม Google กล่าว:
นับตั้งแต่วันแรกของ Google เมื่อใดก็ตามที่ผมและ Larry ต้องการหาแรงบันดาลใจที่เกี่ยวกับการเป็นผู้นำและความมีวิสัยทัศน์ พวกเราไม่ต้องมองออกไปไกลเกินเมือง Cupertino เลย สตีฟ ความมุ่งมั่นในความเป็นเลิศจะถูกรับรู้โดยทุกคนที่ได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ของ Apple (รวมทั้ง MacBook ที่ผมกำลังใช้พิมพ์อยู่ตอนนี้) และผมได้เห็นมันในคนไม่กี่ครั้งที่เราได้พบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบันก็มีอะไรจะกล่าวถึงด้วยเช่นกัน:
ในนามของพวกเราทั้งหมดที่ Google และในโลกเทคโนโลยีทั้งมวล คุณจะเป็นผู้ที่ได้รับการคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง ผมขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัว เพื่อน และเพื่อนร่วมงานที่ Apple มา ณ ที่นี้
สู่สุขคตินะครับ
ที่มา: Apple
เรียนรู้กลยุทธ์ของ Apple จากคำกล่าวของ Steve Jobs
การเสียชีวิตของ Steve Jobs เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อให้เกิดกระแสไปทั่วโลกครับ เริ่มตั้งแต่การไว้อาลัย Jobs ผ่านทางสื่อต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อสังคมออนไลน์ทั้ง Facebook และ Twitter เมื่อเข้าไปดูในแวดวงวิชาการ เช่น ใน hbr.org ก็จะพบแต่บทความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Steve Jobs เต็มไปหมด ผมเลยขอเขียนถึง Jobs บ้างนะครับ แต่เป็นในแง่ของกลยุทธ์ของ Apple ที่ Jobs ได้วางรากฐานไว้ ซึ่งต้องยอมรับครับว่าในเชิงของการเปิดเผยข้อมูลแล้ว Apple เป็นบริษัทที่ค่อนข้างปิดตนเองพอสมควร ดังนั้น ผู้ที่จะศึกษาถึงกลยุทธ์ของ Apple แทนที่จะสามารถเข้าไปสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทเขาได้โดยตรง ก็จะต้องศึกษาจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ
สำหรับผมเองในสัปดาห์นี้ก็อยากจะนำเสนอกลยุทธ์ของ Apple ผ่านทางประโยคหรือคำพูดของ Jobs ครับ เนื่องจากพอ Jobs เสียชีวิตก็มีคนนำคำพูดที่ Jobs พูดตามที่ต่างๆ ไว้มารวบรวมไว้ และจากคำพูดเด็ดๆ เหล่านั้นเราพอจะมองเห็นถึงกลยุทธ์ที่ Apple ใช้ได้ แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องและเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ผู้บริหารสูงสุดเขาคิดและพูด กับสิ่งที่บริษัทปฏิบัติจริง
เริ่มจากประโยค ‘Simple can be harder than complex. You have to work hard to get your thinking clean to make it simple.’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Jobs เองให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย หรือ Simple มากน้อยเพียงใดและสิ่งเหล่านั้นก็สะท้อนออกมาในผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่เราจะพบว่าผลิตภัณฑ์ของ Apple นั้นจะได้รับการออกแบบมาให้เรียบง่าย สิ่งต่างๆ ที่ Apple คิดว่าไม่จำเป็นหรือทำให้เกิดความยุ่งยากสลับซับซ้อน ก็พยายามตัดมันออกไป เห็นได้ชัดเจนเมื่อนำเอาผลิตภัณฑ์ของ Apple ไปเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ในลักษณะเดียวกันของบริษัทอื่น แล้วเราจะพบว่าสินค้าของ Apple นั้น ด้อยกว่าในแง่ของคุณสมบัติพิเศษต่างๆ ที่ทาง Apple คิดว่าไม่จำเป็น ซึ่งสุดท้าย ผู้บริโภคก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้คุณสมบัติพิเศษดังกล่าวอยู่ดี
ประโยคถัดมา คือ ‘Don’t be trapped by dogma. Don’t let the noise of others’ opinions drown out your own inner voice. Don’t settle.’ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเองอย่างสูงของ Jobs และจะพบว่า Apple เองก็เป็นบริษัทที่ไม่ชอบทำวิจัยตลาด เนื่องจากมีพื้นความคิดมาจากแนวคิดของ Jobs นั้นเองครับ นอกจากนี้ Apple ยังเป็นบริษัทที่มักจะทำอะไรสวนทางกับชาวบ้านเขาอีกด้วย เช่น การเปิด Apple Store ในปี 2001 ทั้งๆ ที่ในช่วงนั้นบริษัทคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะเห่อในวิธีปฏิบัติของ Dell ที่ขายตรงให้กับลูกค้า ไม่มีหน้าร้าน ซึ่งสุดท้ายแล้ว Apple ก็พิสูจน์ได้ว่าการคิดต่างของตนเองโดยเชื่อมั่นในความคิดของตนเองนั้น นำไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว โดยปัจจุบัน Apple Store ถือเป็นร้านค้าปลีกที่มีรายได้ต่อตารางฟุตสูงที่สุดในโลก
ประโยคต่อมา คือ ‘It’s only by saying no that you can concentrate on the things that are really important.’ ซึ่งตรงกับหลักของกลยุทธ์ในเรื่องของ trade-off ครับ นั่นคือ ให้เลือกหรือระบุให้ชัดเจนไปเลยครับว่าจะไม่ทำอะไร แทนที่จะเลือกว่าจะทำอะไร ซึ่ง Jobs เคยประกาศไว้ชัดเลยครับว่าจะไม่ทำ PDA ทั้งๆ ที่ในช่วงดังกล่าว PDA เป็นสินค้าในใจผู้บริโภคเลย (ท่านผู้อ่านอาจจะยังจำ palm, pocket pc ได้นะครับ) แต่การเลือกที่จะไม่ทำ PDA ของ Jobs นั้น ก็นำไปสู่การพัฒนา iPod ขึ้นมาแทนครับ
ประโยคสุดท้าย คือ ‘A lot of times, people don’t know what they want until you show it to them.’ ซึ่งก็กลายเป็นประโยคเด็ดในการพัฒนาสินค้าหรือตลาดใหม่ๆ เพราะถ้าจะไปถามผู้บริโภคแล้ว ก็จะไม่ได้อะไรใหม่กลับมาเนื่องจากผู้บริโภคไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร แต่การพัฒนาทั้ง iPhone, iPad ขึ้นมาก็พิสูจน์ได้เลยครับว่า Apple เน้นการสร้างความต้องการใหม่ๆ ให้ลูกค้ามากกว่าการตอบสนองความต้องการเดิมๆ
ยังมีประโยคเด็ดๆ จาก Jobs อีกเยอะนะครับที่จะทำให้เราได้เรียนรู้ในกลยุทธ์และวิธีคิดของเขา สำหรับประโยคในสัปดาห์นี้ผมนำมาจาก Businessweek เล่มล่าสุดที่เขาอุทิศทั้งเล่ม (แบบไม่มีโฆษณาคั่น) ให้กับ Steve Jobs เลยครับ ที่นำเสนอในวันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกบริษัทจะต้องเลียนแบบ Apple แต่อยากจะชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและสอดคล้องระหว่างการคิด การพูดของซีอีโอ กับการปฏิบัติของบริษัทครับ
Tags : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์
ดร.พสุ เดชะรินทร์
คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "มองมุมใหม่"
สุนทรพจน์ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลกของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple และผู้สร้าง Macintoch
โอวาทที่ Steve Jobs ผู้สร้าง Macintosh แสดงในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัย Stanford เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แก่บัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น แต่ยังรวมไปถึงโลกคอมพิวเตอร์ที่ Silicon Valley และยังคงได้รับการชื่นชมและกล่าวขวัญไปทั่วโลกจนถึงวันนี้
สุนทรพจน์วันนั้น Jobs เพียงแต่เล่าถึงบทเรียนในชีวิตของเขา 3 บท แต่เป็น 3 บทที่ทำให้เขาซึ่งแม้แต่แม่ที่แท้จริงก็ไม่ต้องการ กลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก
บทเรียนบทแรกของ Jobs ซึ่งเขาเรียกมันว่า “การลากเส้นต่อจุด” เริ่มต้นด้วยการเล่าว่า ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัย Reed College ไปได้เพียง 6 เดือน ส่วนเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น Jobs กล่าวว่า มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด
แม่ที่แท้จริงของเขา ซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก แต่เธอมีเงื่อนไขว่า พ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย Jobs เกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะ ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย
กว่า Jobs จะได้พ่อแม่บุญธรรม ซึ่งต่อมาเป็นผู้เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ก็อีกหลายเดือนหลังจากเขาเกิด เนื่องจากแม่ที่แท้จริงของเขาเกิดจับได้ว่า ว่าที่พ่อแม่บุญธรรมของ Jobs ได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริงซึ่งไม่ได้จบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของ Jobs ไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ แต่ต่อมาเธอก็ได้ยอมเซ็นยก Jobs ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้ Jobs ได้เรียนมหาวิทยาลัย
17 ปีต่อมา Jobs ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสมตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง ผู้ไม่เคยเลี้ยงดูเขาแต่กลับต้องการกำหนดชะตาชีวิตของลูกที่ตนไม่เคยเลี้ยงดู เพียง 6 เดือนในมหาวิทยาลัย Jobs ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรมซึ่งเป็นเพียงชนชั้นแรงงานได้สะสมมาตลอดชีวิต หมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง Jobs ตัดสินใจลาออก เพราะเขามองไม่เห็นคุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่สามารถช่วยให้เขาคิดได้ว่า เขาต้องการจะทำอะไรในชีวิต
แม้ว่าตอนนี้เมื่อมองกลับไปเขาจะรู้สึกว่า การตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา เพราะการลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาปกติที่บังคับเรียนซึ่งเขาไม่เคยชอบหรือสนใจ แต่สามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้
แต่เขาก็ยอมรับว่า นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบาก เมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาจึงไม่มีห้องพักในหอพัก และต้องนอนกับพื้นในห้องของเพื่อน ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงินมัดจำขวดเพียงขวดละ 5 เซ็นต์ เพื่อนำเงินนั้นไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่วัด Hare Krishna
อย่างไรก็ตาม เขาชอบที่หลังจากลาออก เขาสามารถที่จะไปเข้าเรียนวิชาใดก็ได้ที่สนใจ และวิชาทั้งหลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ซึ่งเขาใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป ได้กลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา และหนึ่งในนั้นคือ วิชา ศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (calligraphy)
Jobs ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา แต่ 10 ปีหลังจากนั้น เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน และทำให้ Mac กลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรก ที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม
ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และ Mac ก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่างๆ ที่หลากหลาย หรือ font ที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม รวมทั้งเครื่องพีซี ซึ่งใช้ Windows ที่ลอกแบบไปจาก Mac อีกต่อหนึ่งก็เช่นกัน คงจะไม่มีตัวอักษรสวยๆ ใช้อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม Jobs บอกว่า ในเวลาที่เขาตัดสินใจลาออกนั้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถ “ลากเส้นต่อจุด” หรือหยั่งรู้อนาคตได้ว่า วิชาออกแบบและประดิษฐ์ตัวอักษร (คอลิกราฟฟี่) จะกลายเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ในการออกแบบ Mac เขาเพียงสามารถจะลากเส้นต่อจุดระหว่างวิชาลิปิศิลป์กับการคิดค้นเครื่อง Mac ได้อย่างชัดเจน ก็ต่อเมื่อมองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น
ในเมื่อไม่มีใครที่จะลากเส้นต่อจุดไปในอนาคตได้ ดังนั้นคำแนะนำของ Jobs ก็คือ คุณจะต้อง “ไว้ใจและเชื่อมั่น” ว่า จุดทั้งหลายที่คุณได้ผ่านมาในชีวิตคุณ มันจะหาทางลากเส้นต่อเข้าด้วยกันเองในอนาคต ซึ่งจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา โชคชะตา ชีวิต หรือกฎแห่งกรรม ขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่
บทเรียนชีวิตบทที่สองที่ Jobs เล่าต่อไปคือ ความรักและการสูญเสีย Jobs อายุเพียง 20 ปี เมื่อเขาเริ่มก่อตั้ง Apple กับเพื่อนที่โรงรถของพ่อ เพียง 10 ปีให้หลัง Apple เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์และพนักงานมากกว่า 4,000 คน
แต่หลังจากที่เขาเพิ่งเปิดตัว Macintosh ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดของเขา ได้เพียงปีเดียว Jobs ก็ถูกไล่ออกจากบริษัทที่เขาเป็นผู้ก่อตั้งเองกับมือ เมื่ออายุเพียงแค่ 30 ปี หลังจากเขาทะเลาะถึงขั้นแตกหักกับนักบริหารมืออาชีพ ที่เขาเองเป็นผู้ว่าจ้างให้มาบริหาร Apple และกรรมการบริษัทกลับเข้าข้างผู้บริหารคนนั้น
ข่าวการถูกไล่ออกของเขาเป็นข่าวที่ใหญ่มาก และเช่นเดียวกัน มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา Jobs กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่เขาได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา และเขารู้สึกเหมือนตัวเองพังทลาย เขาไม่รู้จะทำอะไรอยู่หลายเดือน และถึงกับคิดจะหนีออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต
แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่งกลับค่อยๆ สว่างขึ้นข้างในตัวเขา และเขาก็พบว่า เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple มิอาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วแม้เพียงน้อยนิด เขาจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาพบว่า การถูกอัปเปหิจาก Apple กลับกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา เพราะความหนักอึ้งของการประสบความสำเร็จได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการเป็นมือใหม่อีกครั้ง และช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จนสามารถเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิตของเขา
ช่วง 5 ปีหลังจากนั้น Jobs ได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar และพบรักกับ Laurence ซึ่งต่อมาเป็นภรรยาของเขา Pixar ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story และขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
ส่วน Apple กลับมาซื้อ NeXT ซึ่งทำให้ Jobs ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง และเทคโนโลยีที่เขาได้คิดค้นขึ้นที่ NeXT ได้กลายมาเป็นหัวใจของยุคฟื้นฟูของ Apple
Jobs กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขมแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก Jobs เชื่อว่า สิ่งเดียวที่ทำให้เขาลุกขึ้นได้ในครั้งนั้น คือเขารักในสิ่งที่เขาทำ ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่คุณจะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว
ส่วนบทเรียนชีวิตบทสุดท้ายในโอวาทของเขาคือ ความตาย เมื่ออายุ 17 ปี Jobs ประทับใจในข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านมา ซึ่งเสนอแนวคิดให้คนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอด 33 ปีที่ผ่านมา Jobs จะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่เขากำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง
Jobs กล่าวว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่าความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่านั้น
วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อปีที่แล้ว เขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่ตับอ่อนชนิดที่รักษาไม่ได้ และจะตายภายในเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ถึงกับบอกให้เขากลับไปสั่งเสียครอบครัวซึ่งเท่ากับเตรียมตัวตาย
แต่แล้วในเย็นวันเดียวกัน เมื่อแพทย์ได้ใช้กล้องสอดเข้าไปตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อนของเขาออกมาตรวจอย่างละเอียด ก็กลับพบว่า มะเร็งตับอ่อนที่เขาเป็นนั้นแม้จะเป็นชนิดที่พบได้ยากก็จริง แต่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด และเขาก็ได้รับการผ่าตัดและหายดีแล้ว
นั่นเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดเท่าที่ Jobs เคยเผชิญมา และทำให้ขณะนี้เขายิ่งสามารถพูดได้เต็มปาก เสียยิ่งกว่าเมื่อตอนที่เขาเพียงแต่ใช้ความตายมาเตือนตัวเองเป็นมรณานุสติว่า ไม่มีใครที่อยากตาย แม้แต่คนที่อยากขึ้นสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนเพื่อจะไปสวรรค์ แต่ก็ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น และเขาคิดว่า มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น Jobs เห็นว่า ความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ความตายกวาดล้างสิ่งเก่าๆ ให้หมดไปเพื่อเปิดทางให้แก่สิ่งใหม่ๆ
ดังนั้น Jobs บอกว่า เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะพาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่า คุณต้องการจะเป็นอะไร
Jobs ปิดท้ายสุนทรพจน์ของเขา ด้วยการหยิบยกวลีที่อยู่ใต้ภาพบนปกหลังของวารสารฉบับสุดท้ายของวารสารเล่มหนึ่งที่เลิกผลิตไปตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน ซึ่งเขาเปรียบวารสารดังกล่าวเป็น Google บนแผ่นกระดาษ และเป็นประดุจคัมภีร์ของคนรุ่นเขา วารสารดังกล่าวมีชื่อว่า The Whole Earth Catalog จัดทำโดย Stewart Brand ส่วนวลีนั้นคือ "จงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ" ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหวังจะเป็นเช่นนั้นเสมอมา
ที่มา Positioning Magazine ตุลาคม 2548
แปลและเรียบเรียงโดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ จาก Fortune ฉบับเดือนกันยายน 2548
รูปภาพ wikipedia
Steve Jobs and Bill Gates Together
14 สุดยอดบทเรียนระดับ MBA จาก Steve Jobs
ความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการสร้าง Apple ให้เป็นบริษัทไฮเทคที่ทรงคุณค่ามากที่สุดในโลก ทำให้ Steve Jobs กลายเป็นตำนานและวีรบุรุษแห่งกรณีศึกษาในบรรดามหาวิทยาลัยธุรกิจชั้นนำไปจนถึงบนเวทีสัมมนา
และต่อไปนี้คือสุดยอดทักษะและกลยุทธ์ 14 อย่างของ Steve Jobs ที่ทำให้เขาสามารถกอบกู้ Apple จากบริษัทที่ใกล้ล้มละลาย ให้กลายเป็นบริษัทที่มีค่าที่สุดในโลกได้ ซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ อันประกอบไปด้วยบรรดาอดีตเพื่อนร่วมงานของ Jobs คู่เจรจาธุรกิจ นักออกแบบชื่อดัง และนักวิเคราะห์วิจารณ์สังคม คุณจะได้เรียนรู้บทเรียนจากความเป็นปรมาจารย์ด้านนวัตกรรมของ Jobs จากทักษะในการสร้างความเกรียวกราว จากความเป็นอัจฉริยะทางการตลาด และจากความพยายามของ Jobs ที่ต้องการสร้าง Apple ให้เป็นบริษัทที่ “หิวและโง่”
1. อย่ามองปัจจุบัน
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนเชิดชู Apple เหนือกว่าบริษัทอื่นใด เป็นเพราะ Apple เป็นบริษัทที่เปลี่ยนแปลงและสร้างทุกอย่างใหม่หมด ในขณะที่สิ่งที่บริษัททั่วๆ ไปทำ คือการปรับเปลี่ยนสิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ Apple สร้างความต้องการที่เราไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าเรามีอยู่ และทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าเราต้องมีบางอย่าง ถ้าหากว่าเราอยากจะมีความสุข Steve Jobs เป็นผู้ประกอบการที่เหนือกว่าผู้ประกอบการทั่วๆ ไป เพราะเขามองว่า ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีใครสร้างขึ้น เป็นเพียงสิ่งสะท้อนถึงความดาษดื่นและการขาดไร้ซึ่งจินตนาการเท่านั้น Jobs มองเห็นความเป็นไปได้ ในสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เขาสามารถจับเอาความไม่พอใจและความโหยหาของคน มาเปลี่ยนให้เป็นสินค้า
2. ลูกค้ายอมจ่ายแพง ถ้าคุ้มค่า
เป็นที่รู้กันดีว่า Jobs นั้น เป็นเมธีทางด้านสุนทรียศาสตร์ เขาชอบความงามและความประณีตในทุกรายละเอียด ทั้งวัสดุและการออกแบบที่สามารถสนองความรู้สึกของผู้ใช้ Jobs ยังเป็นนักมนุษยนิยม ที่ชอบใส่ความมีชีวิตชีวาและความเป็นมนุษย์ ลงไปในสิ่งที่เขาสร้าง การได้สุดยอดนักออกแบบอย่าง Jonathan Ive มาร่วมงานในปี 1997 ทำให้ทั้งสองได้ตระหนักในความจริงง่ายๆ ที่ว่า ต้องเริ่มต้นด้วยสิ่งที่เรารัก แล้วจึงค่อยคิดเรื่องเทคโนโลยีทีหลัง ผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ Apple เป็นมากกว่าแค่เครื่องจักร ทั้งๆ ที่ผลิตภัณฑ์ของ Apple ประกอบขึ้นด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงที่สลับซับซ้อน ทว่ากลับใช้งานง่าย ราวกับเป็นอุปกรณ์ในยุคอะนาล็อก คติของ Jobs คือ อย่าถามลูกค้าว่าพวกเขาต้องการอะไร เพราะพวกเขาเองก็ไม่รู้
3. ให้พนักงานของคุณได้พบปะพูดคุยกัน
Jobs ซื้อ Pixar Animation Studios มาจากผู้กำกับฮอลลีวู้ดคนดัง George Lucas เมื่อปี 1986 โดยที่เขาไม่ได้มีความสนใจในสร้างภาพยนตร์การ์ตูนแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่เขาสนใจใน Pixar คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ Pixar Image Computer ราคา 135,000 ดอลลาร์ ซึ่งสามารถสร้างภาพกราฟฟิกที่ซับซ้อนได้ แต่ด้วยราคาที่แสนแพง ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ขายไม่ออก Jobs จึงนำเจ้าเครื่องนี้มาใช้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์ ผลปรากฏว่า เขาทำให้ Pixar กลายเป็นหนึ่งในบริษัทภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลทั้งเงินและกล่อง จนสุดท้าย Jobs สามารถขาย Pixarให้แก่ Walt Disney เป็นเงินถึง 7,400 ล้านดอลลาร์ จากบริษัทที่เขาซื้อมาด้วยเงินเพียง 5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
เหตุผลสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จแบบถล่มทลายของ Pixar คือการออกแบบสถานที่ทำงานของ Jobs ในตอนแรก Pixar studios จะแยกออกเป็น 3 ตึก สำหรับนักคอมพิวเตอร์ นักวาดการ์ตูนและฝ่ายบริหาร แต่ Jobs ฉีกแผนการสร้างสำนักงานแบบนี้ทิ้ง แทนที่จะแยกเป็น 3 ตึก กลับมีเพียงตึกเดียวที่โล่งกว้างโดยมีโถงใหญ่อยู่ตรงกลาง และรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้แม้กระทั่งห้องน้ำ ปรัชญาเบื้องหลังการออกแบบสถานที่ทำงานของ Jobs คือ ส่วนงานที่สำคัญที่สุด ต้องตั้งอยู่ใจกลางของตึก และส่วนงานที่สำคัญที่สุดของ Pixar คือการได้พบปะพูดคุยกันของพนักงาน Jobs เชื่อว่า การพบปะพูดคุยที่ดีที่สุด มักเกิดขึ้นโดยบังเอิญ และเขาคิดถูก พนักงานของ Pixar ค้นพบว่า ไอเดียดีๆ มักจะเกิดขึ้นในเวลาที่พวกเขานั่งคุยกันในช่วงพักเบรก หรือบังเอิญเจอกันในห้องน้ำ
4. รู้จักทุกซอกทุกมุมของธุรกิจอย่างถ่องแท้
หลักการของ Jobs คือ
-เคารพธรรมชาติ เพราะเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อย่าขัดขืนธรรมชาติ แต่ให้น้อมรับ ธรรมชาติมีคำตอบให้กับทุกสิ่ง ดอกทานตะวันคือแรงบันดาลใจในการออกแบบเครื่อง iMac จงใส่ความงาม จิตวิญญาณและความเป็นมนุษย์ลงไปในสิ่งที่คุณสร้าง ทำตลาดและขาย
-ใส่ใจรายละเอียด กล้าลงมือแก้ปัญหาที่คู่แข่งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ กล้าแตะปัญหาที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง และหาวิธีแก้ปัญหาที่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกของลูกค้าที่มีต่อวิธีใช้งานผลิตภัณฑ์
-ทำตัวให้มีค่า ไม่ก็ “ไสหัวไป” เมื่อ Jobs กลับมากอบกู้ Apple ในปี 1997 นั้น ราคาหุ้นของบริษัทตกลงต่ำสุดในรอบ 12 ปี สิ่งแรกที่เขาทำคือ ตัดทุกอย่างที่ไม่จำเป็นทิ้งไปให้หมด รวมถึงคนที่ไม่มีค่า
-อย่าหยุดทำทุกอย่างให้ดีขึ้น Snow Leopard เป็นระบบปฏิบัติการที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่ Jobs ไม่เคยหยุดแก้ไขปรับปรุงมัน แม้ในจุดที่ไม่มีใครเห็นว่าเป็นปัญหา ถ้าหากว่า การปรับปรุงนั้นจะทำให้มันทำงานได้เร็วขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
-อย่าอยู่บนหอคอยงาช้าง Jobs คงเป็น CEO เพียงไม่กี่คนในโลกนี้ ที่ตอบ email ลูกค้าด้วยตัวเอง เขาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้า เขาไม่เคยยอมให้กลุ่มตัวอย่างเล็กๆ มากำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเขาตระหนักถึงความสำคัญของปฏิกิริยาจากลูกค้า
-อย่าเสียเวลากับหลักการสวยหรูบนกระดาษ ซึ่งไร้ความหมาย แต่จงเปลี่ยนความคิดของคุณให้กลายเป็นการกระทำ
-ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรกในตลาด ตราบใดที่ผลิตภัณฑ์ของคุณยอดเยี่ยมกว่าคนที่มาก่อนทั้งหมด
-น้อยคือมาก หลักการ “less is more” ชนะในทุกวงการ บรรจุภัณฑ์ของ Apple ใช้พลาสติกและกระดาษน้อยมาก นอกจากจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ทำให้ลูกค้าสะดวกและมีความสุขมากขึ้น และหมายถึงผลกำไรที่มากขึ้นด้วย
-คลุกวงใน ผู้บริหารต้องคลุกวงในและใส่ใจทุกรายละเอียด และต้องรู้จักทุกแง่ทุกมุมของบริษัทอย่างถ่องแท้
5. เริ่มจากศูนย์
Jobs มีพรสวรรค์ในการจินตนาการสร้างสิ่งใหม่ โดยไม่ต้องเริ่มจากสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน เขาสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นจากศูนย์ และผลก็คือ เขาทำให้วัตถุที่ไร้ชีวิตกลายเป็นสิ่งที่เกือบจะมีชีวิต ตัวอย่างที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ การที่ Jobs คิดเครื่อง iPod ขึ้นมา ในช่วงเวลาที่ Sony กำลังครองตลาดเครื่องเล่นเพลงด้วย Walkman อย่างชนิดที่เกือบจะไร้คู่แข่ง และยังมี CBS เป็นผู้คอยสร้างเนื้อหาให้ การจะเอาชนะคู่แข่งแบบนี้ เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ Jobs ชนะเพราะเริ่มต้นด้วยความคิดว่า เครื่องเล่นเพลงที่ “ควรจะเป็น” ควรจะเป็นอย่างไร แล้วจึงค่อยสร้างสิ่งอื่นๆ เติมเข้าไปในเครื่องเล่นเพลงของเขา
6. เอาอย่าง อย่าลอกเลียน
คุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเป็น the next Jobs หรือไม่ ต่อไปนี้คือ 4 หลุมพรางของคนที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็น Jobs คนต่อไป
- อย่าเลียนแบบ Jobs แต่เปลือก แค่แต่งตัวให้เหมือน Jobs ผู้นิยมสวมเสื้อคอเต่าสีดำและกางเกงยีนส์ ไม่ได้ทำให้คุณสามารถเป็น Jobs คนต่อไปได้ แต่หากคุณเอาอย่าง Jobs ที่ใช้สไลด์ ซึ่งเน้นภาพและมีข้อความเพียงเล็กน้อย ในการนำเสนองาน คุณอาจมีโอกาสพัฒนาตัวเองให้เป็นนักพูดที่สุดยอดเหมือนกับ Jobs ได้
-สิ่งที่บริษัททำหลังจากประสบความสำเร็จ อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่เคยทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ Apple ควบคุมโปรแกรมใช้งานต่างๆ บน iPhone และ iPad อย่างเข้มงวด และสร้างรายได้มหาศาลจากการขายโปรแกรมเหล่านี้ผ่านร้าน iTunes Store ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ Apple เคยทำกับเครื่อง Macintosh ในยุคทศวรรษ 80 ซึ่งเป็นช่วงที่ Apple เปิดเผยข้อมูลระบบ เพราะในตอนนั้น Apple กำลังต้องการให้คนอื่นๆ มาช่วยพัฒนาซอฟต์แวร์ให้อย่างมาก
-เส้นทางที่จะประสบความสำเร็จมีหลายเส้นทาง เส้นทางที่เคยทำให้ Jobs ประสบความสำเร็จ ไม่จำเป็นว่าจะใช้ได้ผลกับคุณด้วย ความจริงแล้ว Apple ทำหลายอย่างที่คนอื่นๆ ไม่เข้าใจ หรือแม้กระทั่งส่ายหน้า เช่น ไม่ฟังลูกค้า ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับสื่ออย่างเปิดเผยหรือเป็นมิตร ไม่ได้เข้าถึงลูกค้าผ่านสื่อ Social Media และไม่ได้บริหารพนักงานแบบเป็นประชาธิปไตยหรือมีส่วนร่วม แต่ Apple ก็ยังเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาก
-บางครั้งเฮงอาจดีกว่าเก่ง กว่าจะถึงวันที่คุณสามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จได้ทั้งหมด ก็อาจจะสายไปแล้วที่จะทำอย่างเดียวกับที่ Apple เคยทำ เพราะโอกาสที่เคยทำให้ Apple ประสบความสำเร็จ อาจหมดไปแล้ว
ต่อไปนี้คือ 3 บทเรียนที่คุณควรเอาอย่าง Jobs
-ให้ในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูด
-ให้ความสำคัญมากที่สุด กับการใช้งานที่ง่ายและการออกแบบให้สวยงาม
-จัดสถานที่ทำงานที่จะทำให้คนทำงานได้ดีที่สุด
7. สำคัญที่สุดคือการออกแบบ
Jobs ให้ความสำคัญกับการออกแบบอย่างมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ทำให้คนอยากซื้อ การออกแบบเป็นส่วนหนึ่งของ Apple มาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม โลโก้รูปแอปเปิลสีรุ้งที่แหว่งด้วยรอยกัด คืองานออกแบบยุคแรกสุด Apple อาจเริ่มต้นด้วยการเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ ที่มีลูกค้าเป็นพวกคลั่งไคล้เทคโนโลยี แต่สิ่งที่ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จ กลับเป็นการที่สามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นเหมือนสินค้าแฟชั่น ที่แทบไม่ต่างจาก Prada หรือ Paul Smith และคำว่า “คอมพิวเตอร์” ก็ได้หายไปจากชื่อของบริษัท
ทุกวันนี้ Apple ไม่ได้ผลิตคอมพิวเตอร์ แต่สร้างสิ่งต่างๆ หรือพูดให้ถูกคือ “ออกแบบ” สิ่งต่างๆ ที่ทำงานให้เรา การออกแบบทำให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Apple กลายเป็นวัตถุที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ และพาเราก้าวเข้าสู่โลกใหม่ยุคหลังวัตถุ (post-object world) คือโลกที่สิ่งสำคัญไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของวัตถุสิ่งของอีกต่อไป หากแต่เป็น “ความรู้สึก” ที่เจ้าของมีต่อวัตถุนั้นและการใช้งานมัน ดังเช่นที่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ Apple ได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่เราสื่อสารถึงกัน วิธีที่เราเชื่อมความสัมพันธ์กัน และอื่นๆ โดยสุดท้ายแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดก็คือ Apple ได้เปลี่ยนวิธีที่เรามองโลกและเข้าใจโลก
8. ทำให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้ม
3 เทคนิคที่ทำให้ Jobs เป็นนักเล่าเรื่องตัวฉกาจที่หาตัวจับยาก
-อธิบายความเจ๋งของผลิตภัณฑ์ในประโยคเดียว Jobs บอกว่า iPod เป็น “1,000 เพลงในกระเป๋าของคุณ” MacBook Air คือ “คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่บางที่สุดในโลก” และ iPad คือ “มหัศจรรย์แห่งการปฏิวัติคอมพิวเตอร์” หลักการของ Jobs คือ ให้ภาพใหญ่ก่อน ด้วยการอธิบายถึงผลิตภัณฑ์ด้วยประโยคเดียว ที่มีความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษรหรือน้อยกว่า
- อธิบายด้วยภาพ Jobs ชอบใช้สไลด์ที่มีแต่ภาพและข้อความเพียงเล็กน้อยไม่เกิน 40 คำ เพราะว่าเขาคิดเป็นภาพ สไลด์ของ Jobs จะไม่มีข้อความที่แบ่งเป็นหัวข้อๆ เด็ดขาด วิธีการที่ Jobs ใช้เรียกว่า Picture Superiority ซึ่งหมายความว่า คนจะรับข้อมูลข่าวสารได้ดีกว่า ถ้ามีทั้งภาพและข้อความ แทนที่จะมีแต่ข้อความเพียงอย่างเดียว ซึ่งบังเอิญถูกต้องตามหลักการทำงานของสมองมนุษย์ โดยคนจะจำข้อมูลที่มีแต่คำพูดได้เพียง 10% เท่านั้น หลังจากผ่านไป 3 วัน แต่จะจำได้มากถึง 65% ถ้าหากข้อมูลนั้นมีภาพด้วย
-กฎไม่เกิน 3 Jobs บอกว่า iPad2 “บางกว่า เบากว่า และเร็วกว่า” iPad1 ตามหลักจิตวิทยาแล้ว ความจำระยะสั้นจะดีขึ้น ถ้าหากข้อมูลที่ได้รับมาไม่เกิน 3 ส่วน แล้วจึงค่อยขยายรายละเอียดของแต่ละส่วน แต่ “ภาพใหญ่” จะต้องไม่เกิน 3
9. จากปาก Steve Jobs
“การสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ไม่เกี่ยวกับการทุ่มเงินไปกับการวิจัยและพัฒนาให้มากๆ ตอนที่ Apple คิดเครื่อง Mac นั้น IBM ทุ่มเงินไปกับ R&D มากกว่าเรา ไม่ต่ำกว่า 100 เท่า แต่มันไม่เกี่ยวกับเงิน แต่เกี่ยวกับคนที่คุณมี คุณมีผู้นำอย่างไร และคุณเข้าใจเรื่องการสร้างสรรค์มากน้อยแค่ไหน”
Fortune 9 พฤศจิกายน 1998
“เป็นเรื่องยากมากที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์โดยอาศัยแค่กลุ่มตัวอย่าง เพราะคนมักจะไม่ค่อยรู้ว่า อะไรที่พวกเขาต้องการ จนกว่าคุณจะทำมันออกมาให้เขาเห็น”
BusinessWeek 25 พฤษภาคม 1998
“(นวัตกรรมของ Apple) เกิดมาจากการปฏิเสธ 1,000 สิ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าเราไม่ได้เดินไปผิดทาง หรือพยายามมากเกินไป”
BusinessWeek online 12 ตุลาคม 2004
“ไม่มีใครพยายามจะกลืนเรา ตราบใดที่มีผมอยู่ที่นี่ ผมคิดว่าพวกเขาคงกลัวเรื่องรสชาติ”
ที่ประชุมผู้ถือหุ้น Apple 22 เมษายน 1998
“เราออกแบบปุ่มบนหน้าจอให้ดีซะจนคุณนึกอยากจะเลียมัน”
Fortune 24 มกราคม 2000 ในการเปิดตัว Aqua user interface ของ Mac OS X
“(iTune) จะเข้าไปอยู่ในประวัติศาสตร์ในฐานะจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมเพลง”
Fortune 12 พฤษภาคม 2003
“ผมอยากจะเป็นเจ้าของและควบคุมเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ”
BusinessWeek online 12 ตุลาคม 2004
“(Android) อยากจะฆ่า iPhone แต่เราไม่ยอม”
ตอบคำถามพนักงาน Apple 28 มกราคม 2010
(เกี่ยวกับความล้มเหลว) “การเป็นคนรวยที่สุดที่นอนอยู่ในสุสาน ไม่มีความหมายอะไรกับผม แต่ถ้าได้เข้านอน ด้วยความรู้สึกว่า ได้ทำอะไรที่แสนวิเศษ นั่นจึงจะมีความหมาย เวลาที่คุณคิดสิ่งใหม่ๆ คุณมักจะทำผิด ต้องรีบยอมรับความผิดนั้นโดยเร็ว และปรับปรุงแก้ไขในครั้งต่อไป”
The Wall Street Journal 25 พฤษภาคม 1993
10. ท้าทายความคาดหวังของคนอื่น
Apple ไม่ใช่ทั้งบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่บริษัทโทรศัพท์ ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ที่เขียนซอฟต์แวร์ และไม่ใช่บริษัทออกแบบแฟชั่น ถ้าเช่นนั้น Apple คืออะไร และความเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงของ Jobs อยู่ตรงไหน คำตอบคือ ค้าปลีก ร้าน Apple Store มียอดขายสูงลิ่วทำลายสถิติ ลูกค้าสามารถแวะเวียนไปพักผ่อนหย่อนใจที่ Wi-Fi Clubhouse ได้ทุกเมื่อ ในขณะที่อุตสาหกรรมเพลงขายเพลงไม่ได้ แต่ Steve Jobs ขายได้ เขายังขายหนังสือและโปรแกรมซอฟต์แวร์ และมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่า เขาจะขายอะไรต่อไป อาจจะเป็นแฟชั่น Apple บ้าน Apple รถ Apple และเชื่อเถอะว่า มีคนมากมายที่เต็มใจจะรอซื้อ บทเรียนจาก Jobs ในข้อนี้คือ อย่ายอมรับความคาดหวังของคนอื่นที่มีต่อคุณ ที่คาดหวังให้คุณต้องเป็นอย่างนั้น หรือทำอย่างนี้ อย่ายอมให้คนอื่นตัดสินคุณค่าของตัวคุณ
11. เป็นคู่แข่งของตัวเอง
Jobs เชื่อมั่นตั้งแต่แรกว่า Apple สามารถจะประสบความสำเร็จในตลาดอุปกรณ์สื่อสารพกพาได้ เพราะ Apple เป็นเพียงบริษัทเดียวที่เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ ในขณะที่คู่แข่งทั้งหมดล้วนแต่เป็นบริษัทฮาร์ดแวร์ และบริษัทน้องใหม่ในอุตสาหกรรมอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่อย่าง Apple ก็สามารถสอนมวยและให้บทเรียนระดับ MBA ให้แก่รุ่นพี่ๆ ทั้งอุตสาหกรรมได้จริงๆ ถึงวิธีที่จะทำให้ลูกค้าบริโภคข้อมูลบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ ด้วยความสวยงามของผลิตภัณฑ์ ความน่าทึ่งของแบรนด์ และประสบการณ์ของผู้ใช้ที่แตกต่าง สมแล้วที่ Jobs คืออัจฉริยะทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค เขาสามารถสร้างความแตกต่างอย่างชาญฉลาด ให้แก่สินค้าที่ดูเหมือนๆ กันไปหมด และยังนำความมหัศจรรย์ของเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย พึ่งพาได้ และสร้างแรงบันดาลใจ Jobs มีความสามารถในการคิดสร้างสิ่งที่เราจะต้องการ ก่อนที่เราจะรู้ตัวว่าเราต้องการมัน และสร้างสิ่งนั้นให้ง่ายต่อการใช้งาน
12. ปิดแล้วเปิดใหม่
Jobs นำเทคนิคของ Hollywood มาใช้กับ Silicon Valley อย่างได้ผล ผู้ยิ่งใหญ่ของ Hollywood ในสมัยก่อน ได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ที่เน้นแต่เรื่องเทคนิคและเคร่งขรึมจริงจังในทศวรรษ 1910-20 ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมบันเทิง Jobs ก็ทำในสิ่งเดียวกัน เขากำลังปฏิวัติอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมบันเทิงอิเล็กทรอนิกส์ ด้วย 3 วิธีการเดียวกับ Hollywood ได้แก่ หนึ่ง Jobs เข้าใจลูกค้า เขาเข้าใจดีว่า คนส่วนใหญ่ชอบบริโภคเนื้อหา มากกว่าจะเป็นผู้สร้างเนื้อหา ดังนั้นทั้ง iPad, iPhone และ iPod จึงถูกสร้างขึ้นอย่างดีที่สุด เพื่อส่งเสริมการบริโภคให้ง่ายที่สุด
ข้อ 2 Jobs ผู้เป็นเอตทัคคะด้านสุนทรียศาสตร์ เข้าใจดีว่า สิ่งที่ถูก “ตัด” ออกไป สำคัญมากกว่าสิ่งที่ใส่เข้ามา เขาจะไม่เพิ่มสิ่งใดแม้แต่เพียงสิ่งเดียว หากว่ามันจะทำลายความงามของผลิตภัณฑ์ของเขา ข้อสุดท้าย Jobs เข้าใจดีถึง “พลังดารา” คือการที่คนเข้าไปชมภาพยนตร์ เพียงเพราะมีดาราคนโปรดเพียงคนเดียว Jobs ทำให้ผลิตภัณฑ์ทุกตัวของเขาเป็นเหมือน “ดารา”
13. ความลับ คือโฆษณาที่ดีที่สุด
Jobs รู้ดีมานานแล้วว่า โฆษณาที่ดีที่สุดไม่ใช่จะใช้เงินซื้อหาได้ และโฆษณาที่ดีที่สุด ก็คือเรื่องใหม่ๆ Jobs เปิดตัวผลิตภัณฑ์ทุกตัวของเขา เหมือนกับมันเป็นข่าวใหม่ๆ ข่าวหนึ่ง วิธีการของเขาประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เขาได้โฆษณาฟรีๆ บนสื่อ ที่ต่างพากันรายงานการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของเขาในฐานะของข่าว เคยมีการประเมินว่า Jobs ได้โฆษณาฟรีๆ ที่สามารถคิดเป็นเม็ดเงินได้ถึง 400 ล้านดอลลาร์ ในการเปิดตัว iPhone จากการที่สื่อทั่วโลกต่างพากันทำข่าวนี้ จริงๆ แล้ววิธีการของ Jobs เป็นหลักจิตวิทยาง่ายๆ แต่ฉลาด เขาแค่บอกว่า เขามีความลับ
1 สัปดาห์ก่อนหน้าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Jobs จะส่งคำเชิญให้ไปร่วมงานที่ลึกลับ ทำให้คนรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เกิดการคาดเดากันอย่างใหญ่โตและข่าวลือ สื่อก็ร่วมเล่นเกมค้นหาความลับด้วย แต่ Jobs ก็จะปกปิดความลับของเขาอย่างยิ่งยวด จนกว่าจะเฉลยในวันสุดท้าย Jobs ใช้วิธีการนี้อย่างได้ผลมาตลอด 20 ปีแห่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของ Apple
14. จงเป็นคนที่หิวและโง่
โอวาทอันโด่งดังที่ Steve Jobs ซึ่งไม่เคยเรียนจบปริญญา ได้กล่าวแก่บัณฑิตจบใหม่ของมหาวิทยาลัย Stanford University เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2005 เขาได้เล่าเรื่อง 3 เรื่อง เรื่องแรก เกี่ยวกับการเรียนมหาวิทยาลัยของเขา หลังจากเข้าเป็นนักศึกษาใหม่ที่มหาวิทยาลัย Reed College ใน Portland รัฐ Oregon ได้เพียง 6 เดือน Jobs ก็พบว่ามันช่างไร้ประโยชน์ เขาตัดสินใจลาออก ซึ่งทำให้เขาไม่ต้องเรียนวิชาที่ถูกบังคับให้เรียนโดยที่เขาไม่สนใจ และสามารถเรียนวิชาที่เขารู้สึกสนใจได้ หนึ่งในนั้นคือวิชา “อักษรวิจิตร” (calligraphy) เกี่ยวกับการการออกแบบตัวอักษรให้สวยงาม แม้ว่าในตอนนั้นเขาเอง ยังมองไม่เห็นเลยว่า วิชานี้จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเขาอย่างไร แต่ 10 ปีให้หลัง ในขณะที่ Jobs กำลังออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก วิชานี้กลับเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล และทำให้ Mac เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวอักษรสวยงาม ที่แม้แต่ Windows ยังลอกเลียนไปใช้
Jobs บอกกับบัณฑิตใหม่ในวันนั้นว่า คุณไม่รู้หรอกว่า “จุด” ต่างๆ ในชีวิตของคุณ จะไปเชื่อมต่อกันได้อย่างไรในอนาคต เพราะคุณจะสามารถลากเส้นต่อจุดเหล่านั้นได้ ก็ต่อเมื่อเวลาที่คุณได้มองย้อนกลับไปข้างหลังเท่านั้น คุณจึงต้องเชื่อมั่นว่า จุดต่างๆ เหล่านั้น จะเชื่อมต่อกันเองในอนาคต คนเราต้องมีความเชื่อมั่นศรัทธาในบางอย่าง ไม่ว่าบางอย่างนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ความกล้าในตัวคุณเอง โชคชะตา หรือกรรม เพราะความเชื่อมั่นศรัทธาว่าจุดต่างๆ ในชีวิตของคุณ จะเชื่อมต่อกันเป็นถนนที่คุณจะเดินในอนาคต จะทำให้คุณบังเกิดความเชื่อมั่นที่จะเดินตามหัวใจของคุณ แม้ว่าอาจจะต้องเดินออกไปจากหนทางที่คุณคุ้นเคย แต่คุณจะค้นพบสิ่งที่แตกต่าง
เรื่องที่สองคือเรื่องที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเองกับมือ แต่ Jobs บอกว่า นั่นล่ะ คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา ความหนักของความสำเร็จ ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายของการได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และได้ปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ จนสามารถก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของเขา ช่วงนั้น Jobs ได้สร้างบริษัท NeXT และ Pixar และได้พบรักกับภรรยา
เรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับความตาย ตอนที่เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน Jobs บอกว่า การคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดที่เขาเคยพบมาในชีวิต ที่ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจเรื่องยากที่สุดในชีวิตได้ การรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ทำให้เกือบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยคิดว่าสำคัญ ความคาดหวัง ความหยิ่งทรนง ความกลัวว่าจะอับอายและล้มเหลว ล้วนกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายไปสิ้น เมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย คงเหลือแต่เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างแท้จริงเท่านั้น การรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ทำให้เขารอดพ้นจากกับดักความคิดที่ว่า เขามีอะไรต้องสูญเสีย คนเราทุกคนเกิดมาในโลกนี้อย่างตัวเปล่า จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เดินตามหัวใจตัวเอง
Jobs ปิดท้ายโอวาทของเขาด้วยคำแนะนำสุดท้าย ที่เขานำมาจากคำบรรยายใต้ภาพปกนิตยสารชื่อ Whole Earth Catalog ฉบับสุดท้าย ก่อนที่นิตยสารฉบับนั้นจะปิดตัวลง ซึ่งเขาได้อ่านเมื่อตอนอายุเท่าๆ กับบัณฑิตจบใหม่ในวันนั้น เป็นประโยคที่เขาหวังให้ตัวเองทำได้เสมอมา และประโยคนั้นคือ “จงเป็นคนที่หิวและโง่” **
Positioning Magazine 7 ตุลาคม 2554
เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปลและเรียบเรียง
คำคมจาก สตีฟ จ็อบส์ ชายผู้เปลี่ยนโฉมวงการไอที
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Apple
แม้ "สตีฟ จ็อบส์" ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน และผู้บริหารสูงสุดของบริษัทแอปเปิ้ล จะได้ลาโลกนี้ไปอย่างสงบแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (5 ตุลาคม) แต่แน่นอนว่าเครื่องมือสื่อสารและอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ที่เขาได้คิดค้นพัฒนาขึ้นในฐานะผลิตภัณฑ์จากบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิ้ล จะยังคงอยู่กับเราและถูกพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่สิ้นสุด
ไม่เพียงแต่เจ้าอุปกรณ์เครื่องมือเหล่านี้จะเป็นมรดกทางความคิดที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น คำพูดคำกล่าวหลาย ๆ ครั้งของจ็อบส์ก็นับเป็นวาทะที่คมคาย ให้แง่คิด แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนช่างฝัน และความทะเยอทะยานที่จะสานฝันนั้นให้เป็นจริง สร้างทั้งแรงกระตุ้นและแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ได้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นวาทะที่เขาตั้งใจร่างขึ้นมาพูดโดยเฉพาะ หรือบางวาทะที่เขาตั้งใจกล่าวมันออกมาแบบธรรมดา ๆ ก็ตาม
วันนี้เราจึงนำคำคมของ สตีฟ จ็อบส์ ที่เว็บไซต์ไวร์ดดอทคอม และ บิสซิเนสอินไซเดอร์ดอทคอม ได้คัดและรวบรวมเอาไว้ มาให้คุณได้อ่าน เพื่อสัมผัสกับตัวตนและความคิดของชายผู้หนึ่งที่มีอิทธิพลต่อโลกไอทีอย่างยิ่งยวดเช่น สตีฟ จ็อบส์ คนนี้..
ด้านการออกแบบและนวัตกรรมใหม่ ๆ
"ความรู้สึกในใจอย่างหนึ่งมันบอกผมเสมอว่า อยากจะเป็นเจ้าของและควบคุมเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานในทุก ๆ อย่างที่เราทำได้"
- จาก Business Week Online 12 ตุลาคม 2004
"การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณลงทุนไปเท่าไรกับการค้นคว้าวิจัยและพัฒนา ตอนที่แอปเปิ้ลคลอดแมคออกมา ไอบีเอ็มลงทุนไปกับการค้นคว้าวิจัยและพัฒนามากกว่าเดิมตั้งร้อยเท่า แต่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเงินหรอก มันเป็นเรื่องของบุคลากรที่คุณมีต่างหาก อยู่ที่ว่าคุณถูกปูทางไว้อย่างไร และคุณทำตามที่วางแผนได้แค่ไหน"
- จากนิตยสาร Fortune วันที่ 9 พฤศจิกายน 1998
"มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์สักอย่างมาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย หลาย ๆ ครั้งที่ผู้คนไม่รู้ตัวเองว่าต้องการอะไร จนกระทั่งคุณได้สร้างมันขึ้นมาและสาธิตวิธีการใช้ให้เขาเห็นนั่นแหละ"
- จาก Business Week วันที่ 25 พฤษภาคม 1998
"เราบอกว่า 'ไม่ใช่' กับสิ่งต่าง ๆ กว่า 1,000 อย่าง เพื่อที่จะมั่นใจว่าเราไม่ได้เสียเวลาหรือกำลังพยายามอยู่กับสิ่งที่มันเข้ากันไม่ได้"
- จาก Business Week Online วันที่ 12 ตุลาคม 2004
"นี่คือคาถาอย่างหนึ่งของผมเลยนะ 'เรียบง่ายและตรงจุด' อะไรที่เรียบง่ายสร้างได้ยากสิ่งที่ซับซ้อนเป็นไหน ๆ คุณต้องทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะสกัดความคิดออกมาให้ตกผลึกและสะอาดที่สุด แต่มันก็คุ้มค่าเมื่อคุณทำมันได้สำเร็จ เมื่อถึงจุด ๆ นั้น แม้แต่ภูเขาคุณก็สามารถเคลื่อนย้ายมันได้"
- จาก Business Week วันที่ 25 พฤษภาคม 1998
เกี่ยวกับบริษัทแอปเปิ้ล
"หนทางที่จะรักษาแอปเปิ้ลเอาไว้ได้ไม่ใช่การรัดเข็มขัด แต่เป็นการหาทางปรับโฉมใหม่ให้หลุดออกจากสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ต่างหาก"
- จากหนังสือ Apple Confidential 2.0
"รู้ไหมว่าผมน่ะมีแผนที่จะช่วยให้แอปเปิ้ลพ้นจากภาวะซบเซานี้ไปได้ ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่ายืนยันว่านี่คือผลผลิตที่สมบูรณ์แบบและเป็นยุทธวิธีที่ดีที่สุดของแอปเปิ้ล แต่ก็คงไม่มีใครสนใจฟังผมหรอก"
- จากนิตยสาร Fortune 18 กันยายน 1995
"ถ้าผมยังทำงานอยู่ที่แอปเปิ้ล ผมจะดูแล Macintosh ให้สมกับที่มันควรคู่ แล้วก็จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งใหม่ ๆ ต่อไป สงครามของคอมพิวเตอร์พีซีมันสิ้นสุดแล้ว จบลงอย่างเด็ดขาด และ Microsoft ก็ชนะไปนานแล้วด้วย"
- จากนิตยสาร Fortune 19 กุมภาพันธ์ 1996
"มันไม่ได้เกี่ยวกับว่า Microsoft นั้นสุดจะวิเศษหรือว่าเก่งเรื่องการลอกเลียนหรอก แต่มันเป็นเพราะ Mac หยุดอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ ไปตั้ง 10 ปีต่างหาก นี่คือปัญหาของแอปเปิ้ลล่ะ"
- จากหนังสือ Apple Confidential 2.0
เกี่ยวกับการเรียนรู้และการทำงาน
"มันดีกว่านะที่จะได้เป็นโจรสลัด แทนที่จะต้องอยู่พวกเดียวกับทหารเรือน่ะ"
- จากหนังสือ Odyssey: Pepsi to Apple
"การได้ชื่อว่าเป็นผู้จากไปที่ร่ำรวยที่สุดในบรรดาหลุมศพทั้งหมดไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผม การได้รู้สึกกับตัวเองก่อนเข้านอนว่า วันนี้เราได้ทำสิ่งที่แสนมหัศจรรย์ลงไปต่างหากล่ะที่เป็นสิ่งสำคัญ"
- จาก The Wall Street Journal 25 พฤษภาคม 1993
"ผมรู้สึกอย่างกับว่าโดนใครต่อยฮุคที่ท้องแล้วลมก็ไหลออกจากตัวจนหมดยังงั้นแหละ ผมเพิ่งจะ 30 แล้วก็ยังอยากที่จะมีโอกาสได้เริ่มต้นสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อีก ผมรู้ดีว่ายังมีคอมพ์เจ๋ง ๆ ซ่อนอยู่ในตัวผมอีกเครื่องหนึ่ง แต่แอปเปิ้ลก็ไม่ให้โอกาสผมที่จะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา"
- จากนิตยสาร Playboy เดือนกันยายน 1987
"สตีฟ จ็อบส์ คนนี้เป็นคน ๆ เดียวที่ผมได้รู้จัก คนที่สูญเงินกว่าไปถึงหนึ่งในสี่ของพันล้านดอลลาร์ในเวลาแค่ปีเดียว...มันเป็นเรื่องของการเรียนรู้จริง ๆ อย่าคิดว่าการก้าวพลาดนั้นคือความผิดพลาด ไม่มีใครที่จะประสบความสำเร็จได้โดยไม่เคยผ่านความล้มเหลวหรือความผิดพลาด มีแต่คนที่ไปสู่จุดหมายได้ด้วยการเคยพลาดและเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อรับมือกับมัน เพื่อให้ครั้งต่อไปเข้าที่เข้าทางกว่าเดิม เขามองความผิดพลาดเป็นเหมือนกับคำเตือนให้ระวังมากกว่าที่จะมองว่ามันเป็นความบกพร่อง ถ้าไม่เคยเจอกับความล้มเหลวก็เท่ากับว่ายังใช้ชีวิตไม่เต็มที่นั่นแหละ"
- จากหนังสือ Apple Confidential 2.0
"เรื่องกลับกลายเป็นว่าการที่ผมออกจากแอปเปิ้ลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้น ภาระอันหนักอึ้งที่ได้รับหลังจากประสบความสำเร็จ ถูกแทนที่ด้วยความโล่งสบายเบาหวิวกับการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง มันปลดปล่อยผมให้เป็นอิสระและกลับไปสู่ช่วงที่เต็มไปด้วยความคิดริเริ่มใหม่ ๆ อีกครั้ง"
- สุนทรพจน์จากพิธีสำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 20 มิถุนายน 2005
"คุณจะขายน้ำใส่น้ำตาลแบบนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลือ หรือจะเลือกโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ล่ะ"
- คำพูดของ สตีฟ จ็อบส์ ต่อ จอห์น สกัลลีย์ ประธานบริษัท Pepsi เพื่อโน้มน้าวให้เขามานั่งตำแหน่งซีอีโอของแอปเปิ้ล จากหนังสือ Odyssey: Pepsi to Apple
"มันจะได้รับการบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมดนตรี และเป็นสัญลักษณ์ของวงการเพลงยุคใหม่ ผมไม่สามารถประเมินค่ามันไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว"
- ความคิดเห็นเกี่ยวกับ iTunes Music Store จากนิตยสาร Fortune 12 พฤษภาคม 2003
"iMac จะเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับปีต่อไปในราคา 1,299 เหรียญ ไม่ใช่คอมพิวเตอร์เลหลังจากปีที่ผ่านมาในราคาแค่ 999 เหรียญ"
- พูดแนะนำถึง iMac ที่เมืองคูเปอร์ติโน แคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1998
"มันจะทำให้คุณตะลึงจนอ้าปากค้างแน่"
- พูดถึงคอมพิวเตอร์ตัวแรกจาก NeXT จากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ วันที่ 8 พฤศจิกายน 1989
"ผมเชื่อว่ามันจะเป็นความก้าวหน้าก้าวใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ วอลท์ ดิสนีย์ ได้สร้างสโนว์ไวท์ ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 50 ปีที่แล้ว"
- ความคิดเห็นต่อภาพยนตร์การ์ตูนอนิเมชั่น Toy Story จากนิตยสาร Fortune วันที่ 18 กันยายน 1995
"มันก็ยากนะที่จะคิดว่าบริษัทมูลค่าตั้งสองพันล้าน กับพนักงานอีกตั้ง 4,300 คนไม่สามารถต่อกรกับพนักงานหกคนที่นุ่งกางเกงยีนส์ธรรมดา ๆ มาทำงานได้"
- พูดถึงแอปเปิ้ล หลังจากที่เขาได้ลาออกจากบริษัทและไปก่อตั้ง NeXT ขึ้น จากนิตยสาร Newsweek วันที่ 30 กันยายน 1985
"ตามความคิดของผม มีบริษัทคอมพิวเตอร์ 2 แห่งที่มีซอฟท์แวร์เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ก็คือ Apple และ NeXT และผมก็ชักจะรู้สึกไม่ค่อยดีกับ Apple ซะแล้วสิ"
- จากนิตยสาร Fortune วันที่ 26 สิงหาคม 1991
"ทำไมผมจะต้องรู้สึกว่าอยากจะบริหารดิสนีย์ด้วยล่ะ มันคงเมคเซ้นส์กว่านะถ้าผมจะขายพิกซาร์ให้ไปแล้วผมก็ปลดเกษียณตัวเองน่ะ"
- จากนิตยสาร Fortune วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2004
"เขาสองคนก็เหมือนกับเด็กน้อยที่หลงอยู่ในป่านั่นแหละ ผมคิดว่าผมช่วยเปลี่ยนพวกเขาทั้ง อัลวี่ และ เอ็ด ให้กลายเป็นนักธุรกิจได้น่ะ"
- พูดถึง อัลวี่ และ เอ็ด ผู้ร่วมก่อตั้ง Pixar หลังจากที่จ็อบส์เล็งเห็นว่าทั้งสองสามารถไปได้ไกลกว่าการเป็นแค่นักทำคอมพิวเตอร์กราฟฟิก จากนิตยสาร Time วันที่ 1 กันยายน 1986
"ตามความคิดของผม Pixar มีโอกาสที่จะเป็น Disney เบอร์ต่อไปได้นะ ..ไม่ใช่ว่าแทนที่ แต่ผมหมายถึงเป็น Disney ลำดับต่อไปน่ะ"
- จากนิตยสาร Business Week 23 พฤศจิกายน 1998
เกี่ยวกับชีวิตการทำงาน
"การทำงานจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณ และหนทางเดียวที่จะมีความสุขไปกับสิ่งที่ทำก็คือการเชื่อมั่นว่าคุณได้ทำในสิ่งที่ยอดเยี่ยม และหนทางเดียวที่จะทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือการที่คุณรักงานที่คุณทำ หากคุณยังไม่เจอหนทางของตัวเอง จงพยายามค้นหาต่อไป อย่าได้หยุดยั้ง และเมื่อไรก็ตามที่คุณพบมัน คุณจะรู้ได้จากหัวใจของคุณเอง มันก็เหมือนกับเรื่องของมิตรภาพหรือความสัมพันธ์ดี ๆ ที่ยิ่งผ่านไปนานวันก็จะยิ่งรู้สึกว่ามันใช่ เพราะฉะนั้นจงค้นหาต่อไปอย่าได้หยุด จนกว่าจะเจอ"
- งานสำเร็จการศึกษา มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เดือนมิถุนายน 2005
แม้ถึงที่หมายแล้วก็อย่าได้หยุดเฉย
"ผมคิดว่าเมื่อคุณได้ลงมือทำอะไรแล้วผลลัพธ์มันออกมาน่าพอใจ จงลงมือทำในสิ่งอื่นที่น่ามหัศจรรย์ต่อไป อย่าได้หยุดนั่งอยู่กับความสำเร็จนั้นนานนัก ลองมองหาว่าควรจะทำอะไรต่อไปก็เท่านั้นเอง"
- จาก NBC Nightly News เดือนพฤษภาคม 2006
ความเชื่อมั่นในอนาคต
"คุณไม่สามารถที่จะลากต่อจุดได้ด้วยการเอาแต่มองไปข้างหน้า แต่คุณจะเชื่อมแต่ละจุดเข้าด้วยกันได้โดยการมองย้อนกลับไปต่างหาก ฉะนั้นคุณจึงต้องมีความเชื่อมั่นในจุดแต่ละจุดที่คุณกำลังสร้างขึ้นมา ว่าในที่สุดมันก็จะหาทางเชื่อมต่อกันได้เองในอนาคตอย่างแน่นอน คุณต้องมีศรัทธาที่แน่วแน่ในสิ่งที่คุณทำ เพราะความเชื่อที่เรามีจะต่อจุดแต่ละจุดเข้าหากันได้ในที่สุด ความเชื่อนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตผมด้วย"
- งานสำเร็จการศึกษา มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เดือนมิถุนายน 2005
ความคิดเกี่ยวกับความตาย
"ไม่มีใครอยากจะตายหรอกนะ ไม่มีใครอยากจากโลกนี้ไป แม้กระทั่งคนที่อยากขึ้นสวรรค์เองก็คงไม่อยากขึ้นสวรรค์ด้วยวิธีนี้เหมือนกัน แต่ไม่ว่าอย่างไร 'ความตาย' ก็คือจุดหมายปลายทางที่เราทุกคนมีร่วมกัน ไม่มีใครหลีกหนีมันได้พ้น ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นล่ะ เพราะความตายเปรียบเสมือนกับสิ่งประดิษฐ์หนึ่งสำหรับชีวิต เอาไว้ใช้เพื่อดึงพวกคนรุ่นเก่า ๆ ออกไปและเปิดทางให้รุ่นใหม่ได้เข้ามาแทนที่ และตอนนี้คนรุ่นใหม่เหล่านั้นก็คือพวกคุณ แต่ก็อีกไม่นานนักหรอกนะ ในที่สุดคุณก็จะแก่ลงและก็จะหายไปจากโลกนี้เช่นเดียวกัน ขอโทษทีนะที่ผมพูดตรงไปหน่อย แต่ยังไงซะสิ่งนี้ก็คือความจริงอยู่ดีนั่นล่ะ"
- พิธีสำเร็จการศึกษา มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เดือนมิถุนายน 2005
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากวาทะทั้งหลายของเขา คำพูดซึ่งแฝงให้เห็นตัวตนที่เป็นนักคิด นักลงมือทำ อย่างไม่มีหยุดหย่อนของ สตีฟ จ็อบส์ เราหวังว่ามันจะเป็นแรงบันดาลใจและแรงขับดันให้กับคุณ ๆ ทั้งหลาย ได้ลองคิด ลองฝัน และกล้าที่จะลงมือทำ อย่างที่ชายผู้นี้ได้ทำและได้พลิกโฉมโลกไอทีนี้มาแล้วทั้งใบ.... "สตีฟ จ็อบส์" ...
Credit : http://hilight.kapook.com/view/63480
Steve Jobs ตอนที่หนึ่ง
อาทิตย์ที่ผ่านมามีการขายหุ้นลอตใหญ่ที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนไปทั่วโลก
แต่อันที่ทำให้สั่นสะเทือนไปทั่วนั่นคือ การเข้าซื้อบริษัท Pixar ของบริษัท Walt Disney.
Pixar เป็นเพียงแค่บริษัททำหนังการ์ตูนเท่านั้นเอง มีผลงานออกมาโดยเฉลี่ยเพียงสองปีต่อหนึ่งเรื่องเท่านั้นเอง แต่มีมูลค่าที่ซื้อขายในดีลครั้งนี้ถือ 6.7 พันล้านเหรียญ หรือ เกือบ ๆ สามแสนล้านบาท ราคาสูงกว่าบริษัทของท่านนายกเราสักสี่ห้าเท่าเห็นจะได้.
ทำไมการซื้อบริษัททำหนังเล็ก ๆ ต้องใช้เงินทุนขนาดนั้น หลายคนคงแปลกใจ แต่คนวงในนั้นรู้ดีว่า มูลค่าของ Pixar ไม่ได้มีแค่การผลิตหนังการ์ตูน แต่เป็นบริษัทดาวรุ่งในโลกดิจิตอลที่กำลังมีบทบาทขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกปัจจุบัน และที่สำคัญคือเจ้าของ Pixar คือ Steve Jobs เท่ากับการซื้อขายครั้งนี้ซื้อ Pixar แถม Steve Jobs.
Steve Jobs เป็นใคร สำคัญขนาดไหน เป็นนายกรัฐมนตรีประเทศอะไรรึเปล่า ไม่ใช่ทั้งนั้น แต่ถ้าหากใคร ๆ ก็รู้จัก Bill Gates แล้วละก็ ควรศึกษา Steve Jobs ไว้ให้ดี เพราะเป็นคนเดียวในวงการ IT ที่ใคร ๆ ต่างก็ยอมรับว่ามีวิสัยทัศน์เหนือ Bill Gates.
จากเด็กกำพร้าที่แม่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยใจแตก จนต้องยอมยกลูกให้คนอื่นเลี้ยงดู Steve Jobs เติบโตมาในย่าน Silicon Vallay แถบ ๆ เมือง San Jose, California.
แม่แท้ ๆ ของเขาให้พ่อแม่บุญธรรมของ Jobs ซึ่งมีฐานะไม่ร่ำรวยนัก ทำสัญญาว่าจะต้องส่งเสียให้เขาเรียนจนจบมหาวิทยาลัย (ค่าใช้จ่ายระดับมหาวิทยาลัยของอเมริกานั้นแพงมาก ๆ).
หลังจากเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีแรก Jobs ซึ่งรู้สัญญาอันนี้ ตัดสินใจเลิกเรียนต่อซึ่งอาจเป็นการประชดแม่แท้ ๆ และไม่ทำให้เป็นภาระต่อพ่อแม่บุญธรรม หันมาลงทะเบียนเรียนเฉพาะวิชาที่ชอบ และเข้าชมรมศึกษาด้านจิตวิญญาน ถึงขนาดเคยมาธุดงค์หาหนทางหลุดพ้นที่ประเทศอินเดีย (ยุคนั้นปัญญาชนอเมริกันเป็นพวกต่อต้านสังคมกันเยอะ พวกที่เรารู้จักกันดีคือกลุ่ม ฮิปปี้).
ในขณะที่ Jobs กำลังจะหลุดพ้นจากทางโลก ก็เป็นช่วงเวลาที่ Bill Gates กับ Paul Allen เขียนโปรแกรมที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์ได้เป็นครั้งแรกของโลก และได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Microsoft มาเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกลงในไมโครคอมพิวเตอร์ Altair.
แต่ยังไม่ดังหรอก ไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรก เหมาะสำหรับพวกวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ใช้งานคำนวณที่ดีกว่ากดเครื่องคิดเลขนิดหน่อยเท่านั้น.
แต่เมื่อ Steve Jobs กลับสู่ทางโลก และได้พบกับเพื่อนเก่า Steve Wozniak อัจฉริยะคอมพิวเตอร์นั่นแหละ วงการคอมพิวเตอร์ก็ได้ปฏิวัติเข้าสู่ยุค personal computer.
แต่อันที่ทำให้สั่นสะเทือนไปทั่วนั่นคือ การเข้าซื้อบริษัท Pixar ของบริษัท Walt Disney.
Pixar เป็นเพียงแค่บริษัททำหนังการ์ตูนเท่านั้นเอง มีผลงานออกมาโดยเฉลี่ยเพียงสองปีต่อหนึ่งเรื่องเท่านั้นเอง แต่มีมูลค่าที่ซื้อขายในดีลครั้งนี้ถือ 6.7 พันล้านเหรียญ หรือ เกือบ ๆ สามแสนล้านบาท ราคาสูงกว่าบริษัทของท่านนายกเราสักสี่ห้าเท่าเห็นจะได้.
ทำไมการซื้อบริษัททำหนังเล็ก ๆ ต้องใช้เงินทุนขนาดนั้น หลายคนคงแปลกใจ แต่คนวงในนั้นรู้ดีว่า มูลค่าของ Pixar ไม่ได้มีแค่การผลิตหนังการ์ตูน แต่เป็นบริษัทดาวรุ่งในโลกดิจิตอลที่กำลังมีบทบาทขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกปัจจุบัน และที่สำคัญคือเจ้าของ Pixar คือ Steve Jobs เท่ากับการซื้อขายครั้งนี้ซื้อ Pixar แถม Steve Jobs.
Steve Jobs เป็นใคร สำคัญขนาดไหน เป็นนายกรัฐมนตรีประเทศอะไรรึเปล่า ไม่ใช่ทั้งนั้น แต่ถ้าหากใคร ๆ ก็รู้จัก Bill Gates แล้วละก็ ควรศึกษา Steve Jobs ไว้ให้ดี เพราะเป็นคนเดียวในวงการ IT ที่ใคร ๆ ต่างก็ยอมรับว่ามีวิสัยทัศน์เหนือ Bill Gates.
จากเด็กกำพร้าที่แม่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยใจแตก จนต้องยอมยกลูกให้คนอื่นเลี้ยงดู Steve Jobs เติบโตมาในย่าน Silicon Vallay แถบ ๆ เมือง San Jose, California.
แม่แท้ ๆ ของเขาให้พ่อแม่บุญธรรมของ Jobs ซึ่งมีฐานะไม่ร่ำรวยนัก ทำสัญญาว่าจะต้องส่งเสียให้เขาเรียนจนจบมหาวิทยาลัย (ค่าใช้จ่ายระดับมหาวิทยาลัยของอเมริกานั้นแพงมาก ๆ).
หลังจากเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในปีแรก Jobs ซึ่งรู้สัญญาอันนี้ ตัดสินใจเลิกเรียนต่อซึ่งอาจเป็นการประชดแม่แท้ ๆ และไม่ทำให้เป็นภาระต่อพ่อแม่บุญธรรม หันมาลงทะเบียนเรียนเฉพาะวิชาที่ชอบ และเข้าชมรมศึกษาด้านจิตวิญญาน ถึงขนาดเคยมาธุดงค์หาหนทางหลุดพ้นที่ประเทศอินเดีย (ยุคนั้นปัญญาชนอเมริกันเป็นพวกต่อต้านสังคมกันเยอะ พวกที่เรารู้จักกันดีคือกลุ่ม ฮิปปี้).
ในขณะที่ Jobs กำลังจะหลุดพ้นจากทางโลก ก็เป็นช่วงเวลาที่ Bill Gates กับ Paul Allen เขียนโปรแกรมที่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์ได้เป็นครั้งแรกของโลก และได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Microsoft มาเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกลงในไมโครคอมพิวเตอร์ Altair.
แต่ยังไม่ดังหรอก ไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรก เหมาะสำหรับพวกวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ใช้งานคำนวณที่ดีกว่ากดเครื่องคิดเลขนิดหน่อยเท่านั้น.
แต่เมื่อ Steve Jobs กลับสู่ทางโลก และได้พบกับเพื่อนเก่า Steve Wozniak อัจฉริยะคอมพิวเตอร์นั่นแหละ วงการคอมพิวเตอร์ก็ได้ปฏิวัติเข้าสู่ยุค personal computer.
Jobs ใช้ประสบการณ์ที่เป็นครีเอทีฟ คิดเกมส์คอมพิวเตอร์ Atari ผสมผสานกับความเป็นวิศวกรชั้นยอดของ Wozniak ให้กำเนิด Apple computer ซึ่งเป็น personal computer เครื่องแรกทำด้วยมือบรรจุลงในกล่องฉลุไม้ มีคีย์บอร์ดเหมือนเครื่องพิมพ์ดีด ใช้ทีวีบ้านเป็นมอนิเตอร์ และเมื่อเขานำงานนี้ไปเร่ขาย ก็เป็นที่สนใจของบรรดานักศึกษามหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาสามารถมีคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้ง่าย ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเซียนคอมพิวเตอร์.
Apple computer ประกอบในโรงรถบ้านของของ Steve Jobs ขายดิบขายดีแบบเทปอินดี้ แต่ Steve Jobs มองมากกว่านั้น เขามองว่าถ้าผลิตในระบบอุตสาหกรรม คนทั่วไปก็สามารถเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์ได้ บริษัทขนาดเล็ก ขนาดกลาง ก็จะมีปัญญาจัดหาคอมพิวเตอร์มาใช้งานสำนักงาน ไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ราคาแพง ที่ผูกขาดโดยบริษัท IBM.
Apple computer ประกอบในโรงรถบ้านของของ Steve Jobs ขายดิบขายดีแบบเทปอินดี้ แต่ Steve Jobs มองมากกว่านั้น เขามองว่าถ้าผลิตในระบบอุตสาหกรรม คนทั่วไปก็สามารถเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์ได้ บริษัทขนาดเล็ก ขนาดกลาง ก็จะมีปัญญาจัดหาคอมพิวเตอร์มาใช้งานสำนักงาน ไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ราคาแพง ที่ผูกขาดโดยบริษัท IBM.
หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ Apple computer เติบโตพรวดพราดกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ใน fortune 500 เพียงแค่ปีสองปี มีคนเขียน software ช่วยให้ Apple ช่วยทุ่นแรงคนในสำนักงานได้มหาศาล เป็นที่ตื่นตะลึงต่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM และ Microsoft ซึ่งแม้จะเป็นผู้บุกเบิก software แต่ก็ได้แค่เป็นหนึ่งในบริษัทเล็ก ๆ ที่มองดู Apple เติบโตด้วยตาปริบ ๆ นี่คือชัยชนะครั้งแรกของ Jobs ที่มีต่อ Bill Gates. Apple โตอย่างน่ากลัว เป็นที่หวั่นเกรงต่อยักษ์ใหญ่อย่าง IBM จนเดือดร้อน ต้องตั้งแผนก PC ของตนเองขึ้นมา ดึงบริษัทต่าง ๆ มาร่วมมือกันสร้าง Personal Computer สายพันธุ์ใหม่ที่ดีกว่า Apple Computer และรับประกันความน่าเชื่อถือได้โดย IBM และตอนนี้เองที่ Microsoft มาขอเป็นผู้ออกแบบระบบปฏิบัติการให้กับ PC. PC เหนือชั้นกว่า Apple ที่เป็นระบบเปิด ใคร ๆ ก็สามารถสร้างคอมพิวเตอร์เลียนแบบ IBM ได้ และเมื่อใช้กับ chip ของ Intel และระบบปฏิบัติการของ Microsoft มันก็จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของ computer. Apple ถูกยักษ์ใหญ่นำยักษ์เล็กมารุมรังแกจนใคร ๆ คิดว่างานนี้คงไปไม่รอดแล้ว แต่ Jobs ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้โดยง่าย แม้เขาจะยังไม่มีแนวคิดใหม่ในบริษัทตัวเอง แต่เขารู้ว่าบริษัท Xerox แอบซุ่มทำระบบปฏิบัติการยุคใหม่ที่ใช้งานง่ายเพียงแค่ลากเมาส์แล้วก็ชี้ ไม่ต้องพิมพ์คำสั่งเหมือนระบบเดิม ๆ เสียแต่ว่าทาง Xerox ไม่เคยมีนโยบายผลิตมันออกมาจริงจัง เพราะระบบสำนักงานไร้กระดาษ มันอาจจะย้อนมาทำร้ายตัว Xerox เอง. เหมือนวานรได้แก้ว เมื่อ Jobs บุกบริษัท Xerox ขอเข้าดูระบบนี้ด้วยตัวเอง แล้วก็เดินออกมาตั้งโปรเจคใหม่ พร้อม ๆ กับดึงพนักงาน Xerox มาร่วมทำงานด้วย. หลังจากล้มลุกคลุกคลานไปสองสามตลบกับ Lisa computer ที่แม้จะดีเลิศ แต่แพงจนจับไม่ลง เครื่องขายไม่ออก ไม่มีคนมาเขียน software ให้ Steve Jobs จึงต้องสร้างโปรเจคใหม่ Apple Macintosh ซึ่งจะกลายเป็นการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ครั้งที่ 2. Microsoft แม้ตอนนี้จะเริ่มร่ำรวยแล้วจากการขายระบบ Dos ให้กับคอมพิวเตอร์ทุกยี่ห้อที่ใช้ระบบฮาร์ดแวร์ของ IBM แต่ก็ยังกระจอกมาก เมื่อเทียบกับบริษัทที่ขายโปรแกรม word processor อย่าง word star และโปรแกรม Spread sheet อย่าง Lotus เมื่อ Bill Gates รู้ว่า Jobs กำลังสร้างคอมพิวเตอร์สายพันธุ์ใหม่ จึงบุกเข้าบริษัท Apple พร้อม ๆ กับได้สัญญาในการผลิตซอฟท์แวร์ Office ที่เมื่อผสมกับระบบปฏิบัติการของ Macintosh แล้ว มันจะเป็นสุดยอดซอฟท์แวร์ที่จะทำให้คนที่กลัวคอมพิวเตอร์ กล้าที่จะใช้คอมพิวเตอร์ทำงาน เพราะมันจะง่ายแค่ใช้ปลายนิ้วกด. Bill Gates ได้เครื่อง Macintosh ต้นแบบไปเพื่อเขียนโปรแกรม เขาก็พบว่าอนาคตของคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ Hardware แล้ว คอมพิวเตอร์ จะขึ้นกับระบบปฏิบัติการที่เหนือชั้นกว่า Dos ของ Microsoft ใครครอง OS ได้ ผู้นั้นจะครองโลก. ดังนั้นนอกจากจะพัฒนาซอฟท์แวร์ให้ Macintosh แล้ว เขายังแอบพัฒนา Microsoft Windows ไปพร้อม ๆ กัน โดยที่ MS Office ที่เขียนให้ Macintosh จะทำงานบน Windows ได้ด้วยเช่นกัน. Macintosh เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยโฆษณาชิ้นประวัติศาสตร์ที่สร้างโดยผู้กำกับดัง Ridley Scott (ผกก. Gladator) ทำให้คนเริ่มสนใจ Mac ในทันที และเมื่อทุกคนได้สัมผัสกับ Mac เขาก็พบว่า Mac ไม่เหมือนคอมพิวเตอร์ใดในโลก มันทลายกำแพงที่ผู้คนตั้งขวางคอมพิวเตอร์ไว้โดยสิ้นเชิง คอมพิวเตอร์ไม่ใช่แค่เครื่องมือของ วิศวกร เลขานุการณ์ นักบัญชี ต่อไป แต่เดี๋ยวนี้แม้แต่ ช่างศิลป์ ผู้บริหาร นักเรียนอนุบาล ครู และทุก ๆ คน สามารถนำคอมพิวเตอร์มาช่วยทำงานได้หมด และ Macintosh นี่เองที่วางรากฐานให้กับระบบการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานกันในทุกวันนี้. แต่กลับกลายเป็น Bill Gates ที่ลอกเลียนการทำงานของ Macintosh ไปสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองได้อย่างมหาศาล. |
Steve Jobs ตอนที่สอง แม้จะสามารถทำให้ Apple ปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ได้ถึงสองครั้งในเวลาไม่กี่ปี และผ่าทางตันให้ Apple สามารถสู้กับ IBM PC ได้. แต่เรื่องของบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว Steve Jobs แม้จะเป็นผู้บริหารใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ครอบครองหุ้นจนควบคุมบอร์ดบริหารได้ทั้งหมด. ด้วยความเป็นศิลปินของเขา ทำให้สร้างความขัดแย้งภายในบริษัทอย่างมากมาย โดยเฉพาะนโยบายของเขาที่สร้างกลุ่ม Macintosh ขึ้นมาแข่งกับทีม Apple II ดั้งเดิมของตัวเอง โดยที่ Jobs โยกตัวเองไปเป็นหัวหน้าทีมแมคเต็มตัว. แล้วก็ดึง John Scully จากบริษัท Pepsi มาเป็น CEO ของ Apple แทนตัวเอง แต่ Steve Jobs ก็ยังเข้ามาก้าวก่ายการทำงานอยู่. และเมื่อโปรเจค Macintosh ประสบความสำเร็จ ก็ถึงเวลาที่เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล. John Scully ซีอีโอคนใหม่เสนอบอร์ดบริหารให้ปลด Steve Jobs จากตำแหน่งประธานบริษัท. Steve Jobs รับข่าวนี้ด้วยความเจ็บปวด เขาขายหุ้นทั้งหมดของ Apple ทิ้งได้เงินมหาศาล ทุก ๆ รอดูว่า Jobs จะนำเงินนี้ไปทำอะไร. ไม่นาน Jobs แถลงข่าวเปิดตัว Computer สายพันธุ์ใหม่ ที่จะเหนือชั้นกว่า Macintosh เพราะจะเน้นการทำงานเป็นเครือข่าย ในชื่อ Next Computer ที่มีระบบปฏิบัติการชั้นยอดที่ชื่อว่า Next Step ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเชิงวัตถุ. Next ออกแบบได้สวยงามน่าใช้ OS ก็ฉลาดทันสมัย แต่มันก้าวล้ำยุคเกินไป ซีพียูก้าวตามไม่ทัน และราคาก็สูงลิบลิ่วจนคนทั่วไปไม่อาจซื้อมาใช้ได้. ในขณะที่ Apple Macintosh พัฒนาต่อจนล้ำหน้าคอมพิวเตอร์ทุกชนิด และสามารถขายได้ไม่แพงมากแต่กำไรมหาศาล สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับบริษัท Apple ยิ่งกว่าสมัยที่ Steve Jobs อยู่เสียอีก. Apple หลงระเริงอยู่กับเงินทองที่ได้จากการผูกขาดระบบปฏิบัติการชั้นเยี่ยมมาใช้บนคอมพิวเตอร์ที่ผลิตเอง เปิดช่องว่างให้ Microsoft Windows ก้าวเข้ามา. หลังจากล้มลุกคลุกคลานกับ Windows 1.0 และ 2.0 ไมโครซอฟท์ออก Windows 3.0 พร้อมกับประกาศว่านี่คือระบบที่ใกล้เคียงกับ Apple Macintosh. Windows 3.0 ถูกสบประมาทจาก Apple ว่าห่างชั้นกันหลายเท่า แต่ทว่ากับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่เคยสัมผัสกับ Apple เพราะสู้ราคาไม่ไหว ต่างพอใจเป็นอย่างมาก เพราะมันดีกว่า Dos ที่เขาเคยใช้หลายเท่า. Apple ยังชะล่าใจ จำหน่ายเครื่องในราคาแพงต่อ ในขณะที่ microsoft ใช้เวลาปีเดียวในการจำหน่าย ms windows จนมีผู้ใช้จำนวนสูงกว่า mac OS. Bill Gates มีกำลังใจในการพัฒนา windows เวอร์ชั่นต่อไปให้ใกล้เคียง macintosh แต่ในเวอร์ชั่นทดสอบ มีปัญหามากมายเพราะ CPU ของ intel นั้นประสิทธิภาพต่ำกว่า motorola ของ mac อีกทั้งกินหน่วยความจำมหาศาล. แต่เมื่อออกสู่ตลาด เป็นช่วงที่ intel พัฒนา pentium จนมีประสิทธิภาพสูง memory ก็มีราคาต่ำลง ทำให้ Windows 95 ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลาย. ถึงตอนนี้ยอดผู้ใช้ mac และ windows ห่างกันถึงสิบต่อหนึ่ง. กลับไปยัง Steve Jobs เขาไม่ประสบความสำเร็จกับ next computer จึงยุบแผนก hardware หันมาขายแต่ระบบปฏิบัติการ next step ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการชั้นเยี่ยมสำหรับงานในองค์กรใหญ่ ๆ. ในช่วงถดถอยของ next step นี้เองที่ Jobs หันไปให้ความสนใจกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของการทำภาพเคลื่อนไหวบนจอหนัง. George Lucus ผู้ให้กำเนิด Star Wars ตั้งบริษัทใหม่มาเพื่อพัฒนาการทำ Special Effect ชื่อว่า Pixar. แต่ Pixar ยังไม่ใช่หน่วยงานที่ทำกำไร ไม่มีใครมองเห็นว่ามันจะพัฒนาขึ้นไปถึงขั้นทำหนังทั้งเรื่องได้. มีแต่ Steve Jobs ที่มองเห็นศักยภาพ เขาคิดว่าเทคโนโลยีของ Pixar จะเกื้อหนุน Next computer จึงซื้อบริษัทนี้จาก George Lucus ด้วยเงินแค่ 10 ล้านดอลลาร์ (มูลค่าปัจจุบันสูงขึ้น 700 เท่า). แม้ Next Computer จะไปไม่รอด แต่ Jobs ก็จัดการเปลี่ยนเป้าหมายของ Pixar จากบริษัทผลิต software ไปเป็นบริษัทสร้างหนัง. Jobs โชคดีที่ Pixar ไม่ได้มีแค่คนเขียนโปรแกรม แต่มีผู้กำกับอนิเมชั่นชั้นยอดเช่น John Lasseter อยู่ด้วย. หนังสั้นชุดแรก ๆ ของบริษัท แม้ระบบสร้างภาพเคลื่อนไหวยังพัฒนาไปไม่มาก แต่ John Lasseter ก็สามารถนำเอาสิ่งที่ไม่มีชีวิตเช่นโคมไฟ มาเคลื่อนไหวสร้างเรื่องราวได้กับมีชีวิตจริง และจากจุดกำเหนิดจุดนี้เองที่ทำให้ pixar มีโลโก้เป็นโคมไฟ. |
หนังสั้นชุดต่อมา Tin Toy เขาทำให้ตุ๊กตาตะกั่วขึ้นมามีชีวิต และในที่สุดหนังเรื่องนี้ก็เป็นต้นแบบของ ภาพยนตร์ computer animation เรื่องแรกของโลก Toy story.
ก่อน Toy story ฉาย ใคร ๆ ก็พากันสบประมาทว่า computer animation นั้นแข็งโป๊ก ไม่น่าจะทำให้คนสนใจได้เท่ากับ amination ที่วาดด้วยมือซึ่งนุ่มนวลกว่า โดยเฉพาะ Disney เพิ่งประสบความสำเร็จมหาศาลกับ The Lion King.
แต่ Toy story สร้างความตื่นตะลึงให้กับ Box office เมื่อผู้คนต่างยอมรับกับตัวละครคอมพิวเตอร์ซึ่งแม้จะดูแข็ง แต่สามารถสร้างมุมมองและการเคลื่อนไหวในรูปแบบที่เขียนด้วยมือทำได้ยากออกมา ตัวละครก็เหมือนมีชีวิตจริง ส่งผลให้ Buzz Lightyear และ Woody กลายเป็นตัวละครอมตะ แล้วหนังเรื่องนี้ก็ถล่ม Box office มโหฬาร.
Pixar เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับการกลับมาอีกครั้งของ Steve Jobs ที่หายไปนานจนคนลืมไปแล้วว่าเขาเคยยิ่งใหญ่กว่า Bill Gates แต่คราวนี้เขากลายเป็นคนของ Hollywood ไปแล้ว.
Pixar เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับการกลับมาอีกครั้งของ Steve Jobs ที่หายไปนานจนคนลืมไปแล้วว่าเขาเคยยิ่งใหญ่กว่า Bill Gates แต่คราวนี้เขากลายเป็นคนของ Hollywood ไปแล้ว.
Steve Jobs ตอนที่สาม
Pixar เข้าสู่วงการ Animation ด้วยการหนุนหลังจากบริษัท Disney เจ้าพ่อแห่งหนังการ์ตูนโลก ที่สัญญากันเป็นผู้จัดจำหน่ายให้.
Disney เอง ก็คงสนใจกับเทคโนโลยีด้านนี้ แม้ตัวเองจะเน้นการวาดภาพแบบสองมิติเป็นหลัก แต่ก็ได้พยายามเทคโนโลยีสามมิติเข้าไปเสริมงานตัวเองมาโดยตลอด.
Toy story ลบคำสบประมาทของใครต่อใครที่ว่า คอมพิวเตอร์กราฟฟิกนั้นไม่มีชีวิตชีวาลงสิ้นเชิง เพียงแต่ว่ายังดูแข็ง ๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ตัวละครและฉากประกอบในหนังล้วนเป็นสิ่งของไม่มีชีวิตเช่นของเล่นต่าง ๆ.
แต่เมื่อ A bug's life เทคโนโยลีคอมพิวเตอร์กราฟฟิคของ Pixar ได้พัฒนาไปอีกขั้น เมื่อใช้ตัวละครในหนังเป็นบรรดาเหล่าแมลง มีแบคกราวด์เป็นต้นไม้ใบหญ้า ทั้งการแสดงและบรรยากาศมันเหมือนกับเป็นหนังที่ถ่ายทำจากสถานที่จริง ซึ่งจุดนี้แม้แต่การวาดภาพด้วยมือก็ยังทำได้ยาก.
Disney เอง ก็คงสนใจกับเทคโนโลยีด้านนี้ แม้ตัวเองจะเน้นการวาดภาพแบบสองมิติเป็นหลัก แต่ก็ได้พยายามเทคโนโลยีสามมิติเข้าไปเสริมงานตัวเองมาโดยตลอด.
Toy story ลบคำสบประมาทของใครต่อใครที่ว่า คอมพิวเตอร์กราฟฟิกนั้นไม่มีชีวิตชีวาลงสิ้นเชิง เพียงแต่ว่ายังดูแข็ง ๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ตัวละครและฉากประกอบในหนังล้วนเป็นสิ่งของไม่มีชีวิตเช่นของเล่นต่าง ๆ.
แต่เมื่อ A bug's life เทคโนโยลีคอมพิวเตอร์กราฟฟิคของ Pixar ได้พัฒนาไปอีกขั้น เมื่อใช้ตัวละครในหนังเป็นบรรดาเหล่าแมลง มีแบคกราวด์เป็นต้นไม้ใบหญ้า ทั้งการแสดงและบรรยากาศมันเหมือนกับเป็นหนังที่ถ่ายทำจากสถานที่จริง ซึ่งจุดนี้แม้แต่การวาดภาพด้วยมือก็ยังทำได้ยาก.
ทีเด็ดของ A bug's life คือหลังจากหนังจบ ในช่วงเครดิต มีการแสดงให้เห็น shot หลุด ๆ ของนักแสดงตัวแมลง ที่ทำให้คนดูนั้นลืมไปเลยว่า นักแสดงในหนังนั้นเป็นของปลอม แต่เป็นมีชีวิตนอกจอแบบนักแสดงจริง ๆ.
ถึงจุดนี้ การ์ตูนของ Pixar ทำรายได้สูสีกับการ์ตูนแบบดั้งเดิมของ Disney แล้ว.
และเมื่อ Pixar เอาเรื่องราวของปลาการ์ตูนมาถ่ายทอดบนจอ นั่นแหละทุก ๆ คนที่ได้ดู ยอมรับแล้วว่า คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สามารถถ่ายทอดจินตนาการจากสมองมนุษย์ลงไปบนจอภาพยนตร์ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด.
ถึงจุดนี้ การ์ตูนของ Pixar ทำรายได้สูสีกับการ์ตูนแบบดั้งเดิมของ Disney แล้ว.
และเมื่อ Pixar เอาเรื่องราวของปลาการ์ตูนมาถ่ายทอดบนจอ นั่นแหละทุก ๆ คนที่ได้ดู ยอมรับแล้วว่า คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่สามารถถ่ายทอดจินตนาการจากสมองมนุษย์ลงไปบนจอภาพยนตร์ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด.
Finding Nemo ทำรายได้ทำลายสถิติ Box Office ตลอดกาลหนังการ์ตูนที่ The Lion King ทำไว้อย่างสง่างาม มันไม่ได้ทำได้แค่ที่อเมริกา แต่ทั่วโลกแม้แต่ประเทศที่เคยเห็นว่าหนังการ์ตูนเป็นแค่หนังหลอกเด็ก Finding Nemo ก็ทลายกำแพงนั้นไปได้เรียบร้อย.
ถึงตอนนี้ ยักษ์ใหญ่อย่าง Disney เริ่มเห็นแล้วว่า Pixar เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว และไม่ใช่แค่ Pixar เจ้าใหม่ ๆ อย่าง Dream Work, Fox ต่างก็ทำเงินจากหนังการ์ตูนคอมพิวเตอร์ได้สูงกว่าการ์ตูนแบบ Disney.
Pixar ไปได้สวย Steve Jobs วางมือจากการบริหารปล่อยให้ John Lasseter ดำเนินเอง ในขณะที่บริษัท Apple ที่เขาให้กำเนิดกำลังย่ำแย่เพราะต้องขายคอมพิวเตอร์ราคาแพง แข่งกับ PC compatible ที่ถูกกว่า แต่มีความสามารถใกล้เคียง Apple ขึ้นทุกทีด้วย Microsoft Windows.
Bill Gates กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก เขาครอบงำธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ทั้งหมด และ Apple กำลังจะกลายเป็นเพียงเรื่องกล่าวขาน.
Apple จำเป็นต้องพัฒนา Mac OS ของตัวเองให้เหนือกว่า MS Windows แต่ Mac OS ออกแบบมานานด้วยเทคโนโลยีเก่า ๆ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองขนานใหญ่ Apple พยายามสร้างทีมพัฒนาเอง แต่ไม่มีโปรเจคไหนประสบความสำเร็จ.
มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะได้ระบบใหม่โดยเร็ว นั่นคือ ไปซื้อระบบที่ดีอยู่แล้วมาพัฒนาต่อ.
ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ที่น่าสนใจตอนนั้นก็มี be OS กับ NeXT step ที่มีจุดเด่นคนละอย่าง be OS มีความสามารถในด้าน multimedia เยี่ยมยอด แต่ NeXT step มีอะไรมากกว่าแค่ระบบปฏิบัติการ.
NeXT step มี Steve Jobs เป็นผู้บริหาร.
Apple ตัดสินใจซื้อ NeXT ทั้งบริษัท นั่นหมายความว่า Apple ได้ Steve Jobs มาร่วมเป็นผู้บริหาร และนั่นคือการกลับสู่อาณาจักรที่เขาเคยสร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่.
ผลประกอบการ Apple ยังไม่ดีขึ้น CEO ต้องลาออก และในทันที Board บริหารรู้ทันทีว่าไม่มีใครเหมาะสมกว่า Steve Jobs.
Jobs ตกลงรับตำแหน่ง CEO แต่ขอเป็นเพียง CEO ชั่วคราว.
วงการคอมพิวเตอร์ต่างพากันหันมามองว่านี่คือ Return of the King นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการพยายามฟื้นฟูบริษัท Apple.
แต่ผู้คนก็ยังสงสัย ในเมื่อ Microsoft ยังครอบงำวงการอยู่ Jobs แค่มันสมองของ Jobs จะสู้ได้หรือ.
งานแรกที่ Jobs ทำ สร้างความขุ่นเคืองให้กับบรรดาสาวกของ Apple เมื่อ Jobs ประกาศเพิ่มทุนบางส่วนมาสนับสนุนการเงิน แต่ทุน 150ล้านเหรียญนั้นได้มาจาก Microsoft ของ Bill Gates ซึ่งช๊อกวงการทั้งหมด Microsoft ครอบงำ Apple ได้ แล้วโลก it ยังจะมีใครจะมาสู้กับ Microsoft.
Bill Gates เป็นบุคคลที่เข้าใจได้ยาก เขาดูเป็นมนุษย์หน้าเงิน ทำวิถีทางในด้านธุรกิจเพื่อบีบคู่แข่ง ไม่คำนึงเรื่องจริยธรรม แต่เขาเอาทรัพย์สินกว่าครึ่งไปบริจาคเพื่อการกุศล.
Bill Gates ทำลายล้างคู่แข่งอย่างไม่ไว้หน้าไม่ว่าจะเป็น Netscape ที่ Gate ลงทุนแถม internet exploror ไปกับ Windows เพื่อกันไม่ให้คนใช้ netscape แต่ Bill Gate เอาเงินไปพยุง Apple คู่แข่งสำคัญที่สุดของตัวเอง มองได้หลายอย่าง Bill Gates ไม่เห็น Apple ในสายตา แต่บางคนก็มองว่า Bill Gates สร้างตัวเองขึ้นมาได้จากการลอกเลียนแนวคิดของ Apple สมัยที่ MS windows ยังพัฒนาไม่ถึงไหน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ Bill Gates ใช้ส่วนตัวก็เป็น Macintosh การยื่นมือมาช่วยเหลือ Apple อาจเป็นเพียงความชอบส่วนตัว.
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Apple ฟื้นวิกฤติการเงินขึ้นมาได้ แต่ก้าวต่อไป ทำอย่างไรผู้คนจะหันมาใช้ Apple.
ผลิตภัณฑ์แรกที่ Jobs ทำ เขาเอาแนวคิดดั้งเดิมของ Macintosh เครื่องแรกมาใช้ ทำให้มันง่ายที่สุดสำหรับผู้คน เขาเอาจอภาพรวมไปกับคอมพิวเตอร์ ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สวยงาม มีสีสัน ใส่อุปกรณ์จำเป็นเช่น CD ROM Modem ลงไปในคอมพิวเตอร์ทั้งหมด แล้วเอาอะไรที่ไม่จำเป็นเช่น floppy disk drive ออกไป เปลี่ยน port เชื่อมต่ออุปกรณ์เป็น port สมัยใหม่ที่เรียกว่า USB แล้วถอดสิ่งเชื่อมต่อดั้งเดิมเช่น serial port และ pararell port ทิ้งไป รวมทั้งแบบ hitech แต่ราคาแพงเกินเหตุเช่น scsi ที่เคยเป็นมาตรฐานของแมคอินทอชทิ้งไปด้วย.
และด้วยเหตุนี้เอง iMac จึงกลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่สวยงาม ราคาไม่แพง และมีการ setup ที่ไม่ยุ่งยาก ในหนังโฆษณาแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เด็กนักเรียน แกะกล่องคอมพิวเตอร์มาวางบนโต๊ะ เสียบสายสองสามเส้นก็สามารถ connect internet ได้เลย ในขณะที่ PC แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะ set up เสร็จ.
ด้วยการออกแบบที่ยอดเยี่ยม การตลาดที่โดนใจ iMac กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของคนอยากจะมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้ต่ออินเตอร์เนต ซึ่งกำลังเป็นกระแสหลักของโลก it.
Steve Jobs กอบกู้ Apple ฟื้นจากวิกฤติได้อย่างน่ามหัศจรรย์ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่เขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำต่อ.
ถึงตอนนี้ ยักษ์ใหญ่อย่าง Disney เริ่มเห็นแล้วว่า Pixar เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว และไม่ใช่แค่ Pixar เจ้าใหม่ ๆ อย่าง Dream Work, Fox ต่างก็ทำเงินจากหนังการ์ตูนคอมพิวเตอร์ได้สูงกว่าการ์ตูนแบบ Disney.
Pixar ไปได้สวย Steve Jobs วางมือจากการบริหารปล่อยให้ John Lasseter ดำเนินเอง ในขณะที่บริษัท Apple ที่เขาให้กำเนิดกำลังย่ำแย่เพราะต้องขายคอมพิวเตอร์ราคาแพง แข่งกับ PC compatible ที่ถูกกว่า แต่มีความสามารถใกล้เคียง Apple ขึ้นทุกทีด้วย Microsoft Windows.
Bill Gates กลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก เขาครอบงำธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ทั้งหมด และ Apple กำลังจะกลายเป็นเพียงเรื่องกล่าวขาน.
Apple จำเป็นต้องพัฒนา Mac OS ของตัวเองให้เหนือกว่า MS Windows แต่ Mac OS ออกแบบมานานด้วยเทคโนโลยีเก่า ๆ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองขนานใหญ่ Apple พยายามสร้างทีมพัฒนาเอง แต่ไม่มีโปรเจคไหนประสบความสำเร็จ.
มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะได้ระบบใหม่โดยเร็ว นั่นคือ ไปซื้อระบบที่ดีอยู่แล้วมาพัฒนาต่อ.
ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ที่น่าสนใจตอนนั้นก็มี be OS กับ NeXT step ที่มีจุดเด่นคนละอย่าง be OS มีความสามารถในด้าน multimedia เยี่ยมยอด แต่ NeXT step มีอะไรมากกว่าแค่ระบบปฏิบัติการ.
NeXT step มี Steve Jobs เป็นผู้บริหาร.
Apple ตัดสินใจซื้อ NeXT ทั้งบริษัท นั่นหมายความว่า Apple ได้ Steve Jobs มาร่วมเป็นผู้บริหาร และนั่นคือการกลับสู่อาณาจักรที่เขาเคยสร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่.
ผลประกอบการ Apple ยังไม่ดีขึ้น CEO ต้องลาออก และในทันที Board บริหารรู้ทันทีว่าไม่มีใครเหมาะสมกว่า Steve Jobs.
Jobs ตกลงรับตำแหน่ง CEO แต่ขอเป็นเพียง CEO ชั่วคราว.
วงการคอมพิวเตอร์ต่างพากันหันมามองว่านี่คือ Return of the King นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการพยายามฟื้นฟูบริษัท Apple.
แต่ผู้คนก็ยังสงสัย ในเมื่อ Microsoft ยังครอบงำวงการอยู่ Jobs แค่มันสมองของ Jobs จะสู้ได้หรือ.
งานแรกที่ Jobs ทำ สร้างความขุ่นเคืองให้กับบรรดาสาวกของ Apple เมื่อ Jobs ประกาศเพิ่มทุนบางส่วนมาสนับสนุนการเงิน แต่ทุน 150ล้านเหรียญนั้นได้มาจาก Microsoft ของ Bill Gates ซึ่งช๊อกวงการทั้งหมด Microsoft ครอบงำ Apple ได้ แล้วโลก it ยังจะมีใครจะมาสู้กับ Microsoft.
Bill Gates เป็นบุคคลที่เข้าใจได้ยาก เขาดูเป็นมนุษย์หน้าเงิน ทำวิถีทางในด้านธุรกิจเพื่อบีบคู่แข่ง ไม่คำนึงเรื่องจริยธรรม แต่เขาเอาทรัพย์สินกว่าครึ่งไปบริจาคเพื่อการกุศล.
Bill Gates ทำลายล้างคู่แข่งอย่างไม่ไว้หน้าไม่ว่าจะเป็น Netscape ที่ Gate ลงทุนแถม internet exploror ไปกับ Windows เพื่อกันไม่ให้คนใช้ netscape แต่ Bill Gate เอาเงินไปพยุง Apple คู่แข่งสำคัญที่สุดของตัวเอง มองได้หลายอย่าง Bill Gates ไม่เห็น Apple ในสายตา แต่บางคนก็มองว่า Bill Gates สร้างตัวเองขึ้นมาได้จากการลอกเลียนแนวคิดของ Apple สมัยที่ MS windows ยังพัฒนาไม่ถึงไหน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ Bill Gates ใช้ส่วนตัวก็เป็น Macintosh การยื่นมือมาช่วยเหลือ Apple อาจเป็นเพียงความชอบส่วนตัว.
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Apple ฟื้นวิกฤติการเงินขึ้นมาได้ แต่ก้าวต่อไป ทำอย่างไรผู้คนจะหันมาใช้ Apple.
ผลิตภัณฑ์แรกที่ Jobs ทำ เขาเอาแนวคิดดั้งเดิมของ Macintosh เครื่องแรกมาใช้ ทำให้มันง่ายที่สุดสำหรับผู้คน เขาเอาจอภาพรวมไปกับคอมพิวเตอร์ ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สวยงาม มีสีสัน ใส่อุปกรณ์จำเป็นเช่น CD ROM Modem ลงไปในคอมพิวเตอร์ทั้งหมด แล้วเอาอะไรที่ไม่จำเป็นเช่น floppy disk drive ออกไป เปลี่ยน port เชื่อมต่ออุปกรณ์เป็น port สมัยใหม่ที่เรียกว่า USB แล้วถอดสิ่งเชื่อมต่อดั้งเดิมเช่น serial port และ pararell port ทิ้งไป รวมทั้งแบบ hitech แต่ราคาแพงเกินเหตุเช่น scsi ที่เคยเป็นมาตรฐานของแมคอินทอชทิ้งไปด้วย.
และด้วยเหตุนี้เอง iMac จึงกลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่สวยงาม ราคาไม่แพง และมีการ setup ที่ไม่ยุ่งยาก ในหนังโฆษณาแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เด็กนักเรียน แกะกล่องคอมพิวเตอร์มาวางบนโต๊ะ เสียบสายสองสามเส้นก็สามารถ connect internet ได้เลย ในขณะที่ PC แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะ set up เสร็จ.
ด้วยการออกแบบที่ยอดเยี่ยม การตลาดที่โดนใจ iMac กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของคนอยากจะมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้ต่ออินเตอร์เนต ซึ่งกำลังเป็นกระแสหลักของโลก it.
Steve Jobs กอบกู้ Apple ฟื้นจากวิกฤติได้อย่างน่ามหัศจรรย์ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่เขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำต่อ.
Steve Jobs ตอนที่สี่
Jobs เริ่มต้นเปลี่ยนแปลง Apple โดยใช้การ Design เป็นตัวนำ อีกทั้งตัว Mac OS เอง ถึงระบบจะเริ่มล้าสมัย แต่มันก็ยังใช้ง่าย set up ง่ายกว่า MS Windows.
แต่ก็ซุ่มปรับปรุง Next step ให้พร้อมขึ้นมาเป็น OS ใหม่ของ Macintosh.
OS ตัวใหม่นี้ใช้ชื่อว่า os X แฝงนัยยะหลายอย่างคือตัว X นั้นหมายถึงเลขสิบแบบโรมัน ซึ่งนั่นก็คือระบบปฏิบัติการรุ่นที่สิบของ Macintosh แต่มันก็หมายถึง X ที่เอามาจาก NeXT step เช่นเดียวกัน.
OS X รุ่นแรก ๆ ยังไม่สมบูรณ์มาก แต่เปิดตัวหวือหวาด้วย GUI ใหม่ที่ชื่อว่า Aqua ซึ่งอนุญาตให้ทำ Layer ใส บน desktop หน้าจอ ดูหรูหราน่าตื่นตาตื่นใจ.
แต่ในความเป็นจริง OS X รุ่นแรก ๆ ยังไม่ดีนัก แต่ Jobs ก็สามารถผลักดันจน OS X ขึ้นมาใช้แทน OS ตัวเดิม โดยที่ User เก่า ๆ ยอมรับในการเปลี่ยนแปลง.
หลังจาก Macintosh ฟื้นวิกฤติแล้ว คราวนี้ Jobs ก็เริ่มคิด product ใหม่ ๆ.
แต่ก็ซุ่มปรับปรุง Next step ให้พร้อมขึ้นมาเป็น OS ใหม่ของ Macintosh.
OS ตัวใหม่นี้ใช้ชื่อว่า os X แฝงนัยยะหลายอย่างคือตัว X นั้นหมายถึงเลขสิบแบบโรมัน ซึ่งนั่นก็คือระบบปฏิบัติการรุ่นที่สิบของ Macintosh แต่มันก็หมายถึง X ที่เอามาจาก NeXT step เช่นเดียวกัน.
OS X รุ่นแรก ๆ ยังไม่สมบูรณ์มาก แต่เปิดตัวหวือหวาด้วย GUI ใหม่ที่ชื่อว่า Aqua ซึ่งอนุญาตให้ทำ Layer ใส บน desktop หน้าจอ ดูหรูหราน่าตื่นตาตื่นใจ.
แต่ในความเป็นจริง OS X รุ่นแรก ๆ ยังไม่ดีนัก แต่ Jobs ก็สามารถผลักดันจน OS X ขึ้นมาใช้แทน OS ตัวเดิม โดยที่ User เก่า ๆ ยอมรับในการเปลี่ยนแปลง.
หลังจาก Macintosh ฟื้นวิกฤติแล้ว คราวนี้ Jobs ก็เริ่มคิด product ใหม่ ๆ.
ในโลกเสียงเพลง กำลังเกิดสื่อตัวใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นนั่นคือ MP3.
MP3 ใช้งานง่าย ดาวน์โหลดได้ฟรีทางอินเตอร์เนต อีกทั้งยังมีเครื่องเล่นมากมายที่รองรับระบบนี้ แต่ว่าส่วนใหญ่ MP3 นั้นเป็นไฟล์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์.
Jobs ออกแบบเครื่องเล่น MP3 ในนาม Apple ซึ่งไม่ใช่นวตกรรมใหม่เพราะบริษัทในไต้หวันผลิตเครื่องเล่น MP3 แบบพกพามามากมายแล้ว แต่ยังไม่แพร่หลายนักโดยเฉพาะในอเมริกาเพราะไฟล์เพลงส่วนใหญ่นั้นผิดกฏหมาย.
ตอนนั้นการดาวน์โหลด MP3 ส่วนใหญ่จะผ่านทางเครือข่าย Napster ซึ่งเป็นการแลกเปลียนกันฟรี ๆ.
Steve Jobs มองเห็นว่า MP3 นั้นสามารถทำให้ถูกกฎหมายได้ เขาเลยสร้าง Hardware iPod ออกมาและเกื้อหนุนด้วย Software iTunes ที่ทำให้ใครก็สามารถซื้อไฟล์ MP3 ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย.
iPod เปิดตัวอย่างเงียบ ๆ ไม่หวือหวา เครื่องรุ่นแรก ๆ ใช้ได้แต่บน Mac เท่านั้น แต่พอเริ่มวางตลาดไประยะหนึ่ง กระแสปากต่อปากก็มากขึ้น บางกลุ่มถึงขนาดจำลอง iTunes ไปใช้บน Windows เพื่อให้สามารถต่อกับ iPod ได้.
และเมื่อ Jobs ออก iPod รุ่นใหม่ที่สามารถใช้งานบน Windows ได้ คราวนี้ iPod สามารถจับกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างกว้างขวางขึ้น iTunes ทำสถิติดาวน์โหลดเพลงแบบถล่มทลาย iPod กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของสังคมคนทันสมัย แม้จะมีเครื่องลอกเลียนแบบมากมายมี ฟีเจอร์ต่าง ๆ เยอะกว่า iPod แต่ราคาถูกกว่า แต่คนก็ยังใช้ iPod มากที่สุดเพราะ iPod มีดีไซน์สวยกว่า มีระบบการใช้งาน touch wheel ที่ยอดเยี่ยม และมี iTunes ที่เหนือชั้น.
แล้ว iPod ก็ทำยอดขายสูงกว่า Sony Walkman ที่เป็นเจ้าตลาดมากว่ายี่สิบปี เอาชนะแม้แต่ในญี่ปุ่น บ้านเกิดของ Sony เอง.
ส่วน iTunes ก็กลายเป็นผู้จัดจำหน่ายเพลงแถวหน้าไปด้วยเช่นกัน.
Apple ไม่ใช่แค่พ้นวิกฤต แต่ว่ากลับมาอย่างยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นบริษัทผลิต personal computer เจ้าเก่าแก่ที่สุด แต่ก็กลับเป็นบริษัทที่รูปลักษณ์ทันสมัยที่สุด ในขณะที่ IBM PC ยักษ์ใหญ่ในอดีตกลับต้องขายกิจการ PC ทั้งหมดให้กับ Lenovo ของประเทศจีน.
นั่นเพียงเพราะ Apple เปลี่ยนประธานคณะผู้บริหารกลับมาเป็นคนเดิมที่ชื่อ Steve Jobs.
MP3 ใช้งานง่าย ดาวน์โหลดได้ฟรีทางอินเตอร์เนต อีกทั้งยังมีเครื่องเล่นมากมายที่รองรับระบบนี้ แต่ว่าส่วนใหญ่ MP3 นั้นเป็นไฟล์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์.
Jobs ออกแบบเครื่องเล่น MP3 ในนาม Apple ซึ่งไม่ใช่นวตกรรมใหม่เพราะบริษัทในไต้หวันผลิตเครื่องเล่น MP3 แบบพกพามามากมายแล้ว แต่ยังไม่แพร่หลายนักโดยเฉพาะในอเมริกาเพราะไฟล์เพลงส่วนใหญ่นั้นผิดกฏหมาย.
ตอนนั้นการดาวน์โหลด MP3 ส่วนใหญ่จะผ่านทางเครือข่าย Napster ซึ่งเป็นการแลกเปลียนกันฟรี ๆ.
Steve Jobs มองเห็นว่า MP3 นั้นสามารถทำให้ถูกกฎหมายได้ เขาเลยสร้าง Hardware iPod ออกมาและเกื้อหนุนด้วย Software iTunes ที่ทำให้ใครก็สามารถซื้อไฟล์ MP3 ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย.
iPod เปิดตัวอย่างเงียบ ๆ ไม่หวือหวา เครื่องรุ่นแรก ๆ ใช้ได้แต่บน Mac เท่านั้น แต่พอเริ่มวางตลาดไประยะหนึ่ง กระแสปากต่อปากก็มากขึ้น บางกลุ่มถึงขนาดจำลอง iTunes ไปใช้บน Windows เพื่อให้สามารถต่อกับ iPod ได้.
และเมื่อ Jobs ออก iPod รุ่นใหม่ที่สามารถใช้งานบน Windows ได้ คราวนี้ iPod สามารถจับกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างกว้างขวางขึ้น iTunes ทำสถิติดาวน์โหลดเพลงแบบถล่มทลาย iPod กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของสังคมคนทันสมัย แม้จะมีเครื่องลอกเลียนแบบมากมายมี ฟีเจอร์ต่าง ๆ เยอะกว่า iPod แต่ราคาถูกกว่า แต่คนก็ยังใช้ iPod มากที่สุดเพราะ iPod มีดีไซน์สวยกว่า มีระบบการใช้งาน touch wheel ที่ยอดเยี่ยม และมี iTunes ที่เหนือชั้น.
แล้ว iPod ก็ทำยอดขายสูงกว่า Sony Walkman ที่เป็นเจ้าตลาดมากว่ายี่สิบปี เอาชนะแม้แต่ในญี่ปุ่น บ้านเกิดของ Sony เอง.
ส่วน iTunes ก็กลายเป็นผู้จัดจำหน่ายเพลงแถวหน้าไปด้วยเช่นกัน.
Apple ไม่ใช่แค่พ้นวิกฤต แต่ว่ากลับมาอย่างยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นบริษัทผลิต personal computer เจ้าเก่าแก่ที่สุด แต่ก็กลับเป็นบริษัทที่รูปลักษณ์ทันสมัยที่สุด ในขณะที่ IBM PC ยักษ์ใหญ่ในอดีตกลับต้องขายกิจการ PC ทั้งหมดให้กับ Lenovo ของประเทศจีน.
นั่นเพียงเพราะ Apple เปลี่ยนประธานคณะผู้บริหารกลับมาเป็นคนเดิมที่ชื่อ Steve Jobs.
Credit : Youtube.com,คมชัดลึก, Little tiger
เรียบเรียง : http://www.ruengdd.com/
Post a Comment