หลินชิงเสีย (Brigitte Lin) คัมแบ๊ค กับหนังสือเล่มแรก... และ 50 ปีแห่งความสวยของเธอ - บูรพาไม่แ้พ้



หลิน ชิงเสีย (Brigitte Lin) อดีตนางเอกสาวดาวค้างฟ้าแห่งวงการบันเทิงเอเชีย กลับมาอีกครั้งในมาดนักเขียน เปิดตัวหนังสือผลงานรวมเล่มบทความจากปลายปากกาของตัวเองที่มีชื่อว่า "ชวงหลี่ชวงไว่" หรือ "window of the window" ในงานเทศกาลหนังสือฮ่องกงครั้งที่ 22 โดยมีผู้ใหญ่ในวงการตบเท้ามาร่วมแสดงความยินดีมากมาย เจ้าตัวพ้อกลางงาน เป็นผู้หญิงสวยนั้นแสนเหนื่อย วาดฝันอายุ 60 จะเป็นนักเขียนเต็มตัว
หลังจากผันตัวไปทำหน้าที่แม่ศรีเรือนให้กับสามีนักธุรกิจตั้งแต่กลางปี 2537 ข่าวคราวของดาราสาวเจ้าบทบาทที่ประทับใจแฟนๆ มิรู้ลืมจากบทบาทของ "ตงฟังปู้ไป้" หรือ "บูรพาไม่แพ้" อย่าง หลิน ชิงเสีย ก็ค่อยๆ ห่างหายไปจากวงการบันเทิงจีน ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา เธอกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะนักเขียน โดยเปิดตัวหนังสือของเธอเองที่มีชื่อว่า "ชวงหลี่ชวงไว่" หรือ "window of the window" ในงานเทศกาลหนังสือฮ่องกง ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 20-26 ก.ค. 2554 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการ ฮ่องกง โดยในงานมีผู้ใหญ่ในวงการ อาทิ ฉีเคอะและภรรยาซือ หนานเซิง, หลี่เอ๋า(นักเขียนชื่อดัง), หลิน เอี้ยนหนี(นักเขียนชื่อดัง), ต่งเฉียว(นักเขียนและบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ apple daily) มาร่วมแสดงความยินดีอย่างคับคั่ง งานนี้ดึงดูดให้แฟนๆ ของหลินชิงเสียนับพันคนมาร่วมงานกันหนาตา จนฝ่ายจัดงานต้องเปิดฮอลล์ที่สามารถจุคนได้ 600 คนถึง 2 ห้องทว่ายังคงมีผู้ร่วมงานจำนวนหนึ่งที่ล้นออกมาด้านนอก
เปลี่ยนสถานภาพจากซุป'ตาร์แสนสวยไปเป็นนักเขียน
เมื่อ "หม่า เจียฮุย" พิธีกรในงานนี้กล่าวคำเชิญ "หลิน ชิงเสีย ซุปเปอร์สตาร์แสนสวย" ขึ้นมาบนเวที อดีตดาราสาวในชุดเดรสสีดำกลับยิ้มพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างใสว่า "โปรดอย่าเรียกฉันว่าสาวสวยอีกเลย เพราะการเป็นคนสวยเหนื่อยมาก แล้วตอนนี้ฉันก็ไม่ใช่ดาราใหญ่ แต่ว่าเป็นนักเขียนคนหนึ่ง"
สำหรับหนังสือเล่มนี้ เป็นการรวบเล่มบทความที่เธอเคยเขียน โดยส่วนตัวหลิน ชิงเสียเองยอมรับว่าเมื่อได้ทำงานเขียนหนังสือจึงทราบว่าการเป็นนักเขียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากนั้นเธอยังเปิดเผยความในใจว่า "ฉันถูกสื่อต่างๆ เขียนถึงมากว่า 30 ปีนับตั้งแต่เข้าวงการตอนอายุ 17 คราวนี้ฉันขอเขียนถ่ายทอดสิ่งที่ใจฉันคิดด้วยมือของฉันเอง และฉันเชื่อว่าเมื่อทุกคนได้อ่านงานของฉันจะถือว่าฉันเป็นเสมือนเพื่อนคนหนึ่ง"
หนังสือ "ชวงหลี่ชวงไว่" หรือ "window of the window" ได้แทรกภาพประกอบซึ่งเป็นภาพหลิน ชิงเสียสมัยยังเป็นสาวน้อยในชุดบิกินี่ รวมถึงรูปภาพส่วนตัวของเธอรวมแล้ว 200 ภาพ โดยที่มาของชื่อหนังสือนั้นเธอเล่าว่า "ชีวิตของฉันเหมือนความฝัน ฉันไม่เคยคาดคิดว่าจะมาเป็นดารา ปีนั้นฉันเรียนจบ(มัธยมปลาย) วางกระเป๋าหนังสือลง แต่ก็ต้องสะพายกระเป๋าเดินทางออกนอกหน้าต่างไปเผชิญโลก จวบจนกระทั่งฉันแต่งงานและกลับมายังฮ่องกง จึงเสมือนว่าฉันเดินทางกลับเข้ามาภายในหน้าต่างอีกครั้ง และนั่งเขียนเรื่องราวที่พานพบอยู่ข้างหน้าต่างบานนี้"
แฉฉีเคอะโหด ส่วนหว่องกาไวทำเธอแทบบ้า
อดีตดาราสาวชื่อดังได้ใช้ตัวหนังสือของเธอย้อนรำลึกถึงช่วงเวลาในสมัยที่เธอโลดแล่นอยู่ในวงการภาพยนตร์ ซึ่งหนึ่งในบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงคือพ่อมดแห่งเอเชีย ฉีเคอะ ผู้กำกับคู่บุญของเธอ โดยเนื้อหาตอนหนึ่งในหนังสือเล่าว่า "ฉีเคอะเป็นผู้กำกับที่เขัมงวดแต่ขณะเดียวกันก็โหดเหี้ยม ตอนที่ถ่ายทำเรื่อง "มังกรหยก หยกก้าหว่า"(พ.ศ.2536) อากาศหนาวมาก ด้านนอกฝนตก ขนาดนักแสดงตัวประกอบยังถอย ฉันจึงถามฉีเคอะว่าฝนตกขนาดนี้ยังจะถ่ายอยู่ไหม เข้าตอบว่าต่อให้มีมีดดาบฟันลงมาก็ต้องถ่ายต่อไป" นอกจากนี้เธอยังเอ่ยถึงหว่องกาไว ผู้กำกับชื่อดังด้วยว่า “เขาให้ฉันถ่ายหนังจนแทบจะเป็นบ้า”
ส่วนความใฝ่ฝันในบั้นปลายชีวิตนั้น หลิน ชิงเสียหวังว่า วันหนึ่งเมื่อเธออายุ 60 ปีจะกลายเป็นศิลปินนักเขียนผู้หนึ่ง

 50 ปีแห่งความสวยของเธอ - บูรพาไม่แ้พ้
ช่วงปี70เป็นดาราขายดีเรียกว่าเป็นยุคทองของหลินชิงเสีย
เป็นที่น่าสังเกตุว่าหนังไต้หวันในยุคนั้น เน้นพลอตเรื่องเป็นแบบเมโลดราม่า คือโศกนาฏกรรมความรักเป็นหลัก ความรักที่มีอุปสรรค เริ่มเรื่องทุกอย่างสวยงาม หวานชื่น ด้วยความฝัน

หลินชิงเสียเป็นชาวไต้หวัน เริ่มเข้าวงการโดยมาแมวมองไปพบเธอ
ขณะเดินเล่นที่ย่านซีเหมินติง(เหมือนสยามบ้านเรา) 


หลังจากหลินชิงเสียงแสดงหนังที่ไต้หวันจนมีชื่อเสียงแล้ว
เธอจึงเบนมายังตลาดหนังของฮ่องกง




ในจังหวะเดียวกันนั้น ฉินเสียงหลิน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่ง ใน 4 ดารายอดนิยมในยุค 2 ฉิน 2 หลิน (ฉินฮั่น ฉินเสียงหลิน-หลินชิงเสีย หลินฟ่งเจียว ) ซึ่งแอบรักหลินชิงเสียมานานก็เปิดใจกับเธอและบินไปหมั้นกับเธอ



แต่ท้ายสุด หลินชิงเสียนั้นไม่สามารถหักใจลืมรักแรกนั้นได้ เธอจึงถอนหมั้นกับฉินเสียงหลินด้วยความเด็ดเดี่ยว การแต่งงานสำหรับเขาและเธอจึงไม่ได้มีขึ้นและปิดฉากลงแค่เพียงในภาพยนตร์เท่านั้น


ชีวิตรักของหลินชิงเสียและฉินฮั่น ยิ่งนานวันก็ยิ่งเป็นเสมือนหนังที่พวกเขาร่วมสวมบทบาทในการแสดง เมื่อความสัมพันธ์ทางใจนั้นถูกเปิดเผย และกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ (พระเอกฉินฮั่นมีภรรยาแล้ว) ในทศวรรษที่ 1 ของการครองความนิยม (1983)  ทั้งสองจึงต้องแยกตัวจากกัน หลินชิงเสียนั้นปลีกตัวไปใช้ชีวิตในอเมริกาเป็นเวลาร่วม 2 ปี

2 ปีกับการอยู่เพียงลำพังในต่างประเทศ ได้เปลี่ยนหลินชิงเสียที่อ่อนหวาน อ่อนแอ และเก็บความรู้สึกเช่นเดียวกับภาพลักษณ์ในบทหนังที่เธอแสดงไปสู่หลินชิงเสียคนใหม่ ที่มีความชัดเจน และเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

มาดนักฆ่า...ในผู้หญิงผมทอง ของหวังเจียเว่ย ผู้กำกับหนังแห่งอาเซียน
 

ฉีเคอะ คือเพื่อนสนิทอีกคนของเธอที่เขาชอบใช้หลินชิงเสียในหนังของเขา และทดลองให้เธอแสดงหนังด้วยคาแร็กเตอร์หลากหลาย ที่ติดตรึงใจและนับเป็นการปูพื้นภาพลักษณ์ของเธอสู่การเป็น บูรพาไม่แพ้ ในอีก 5-6 ปีต่อมา นั่นคือภาพลักษณ์และบทบาทของหลินชิงเสียที่มีลักษณะกึ่งหญิงกึ่งชาย กึ่งธรรมะ-กึ่งอธรรมใน เผ็ด สวย ดุ (The peking Opera )
การร่วมงานกับฉีเคอะในปลายทศวรรษที่ 2 ของการเข้าวงการ ในตอนปลายของปี 80 ทำให้หลินชิงเสียคือดาราไต้หวันเพียงไม่กี่คนที่สามารถข้ามเกาะมาสร้างชื่อเสียงเป้นที่ยอมรับในฮ่องกง เริ่มจาก Zu Wirrior ต่อเนื่องด้วย Pekking opera เผ็ด สวย ดุ ช่วยขยายฐานความนิยมในฮ่องกงให้เธออย่างท่วมท้น


และเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่าง หลินชิงเสีย และ จงฉู่หง แห่งดอกไม้กับนายกระจอก ทั้งสองคนเล่นหนังด้วยกันอย่างน่าประทับใจ 10 ปีหลังจากนั้นเมื่อหลินชิงเสียกำลังโด่งดังสุดโต่งกับบท บูรพาไม่แพ้ เธอได้พบจงฉู่หงอีกครั้งและทาบทามให้กลับวงการ แต่ดูเหมือน จงฉู่หง จะติดใจความเป็นศรีภรรยามากกว่า แฟนๆ จึงไม่มีโอกาสได้ชมบทบาทของเธออีกเลย
Red Dust คือภาพยนตร์เนื้อหาดีอีกเรื่องที่หลินชิงเสียได้รับรางวัลม้าทองคำ กับบทบาทที่ยอดเยี่ยม เธอสวมบทนักประพันธ์หญิงในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปักกิ่งซึ่งมีสามีคือ ฉินฮั่น และมีเพื่อนสนิทคือจางม่านอวี้ เมื่อไฟสงครามประทุจนถึงจุดแตกหักพวกเขาจึงตัดสินใจแอบหนีขึ้นรถไฟเพื่อไปสู่ฮ่องกง บังเอิญที่หลินชิงเสียและฉินฮั่นมีตั๋วรถไฟเพียงใบเดียว โดยที่สามีไม่รู้ว่าหลินชิงเสียได้มอบตั๋วรถไฟใบนั้นให้ฉินฮั่น ในช่วงจราจล เมื่อทุกอย่างสงบลง ฉินฮั่นกลับมาเพื่อตามหาหลินชิงเสียที่พลัดพรากกันกว่า 10 ปี เพื่อที่จะพบเพียงสถานที่แห่งความทรงจำ แต่ก็ไม่มีคนรักในความทรงจำ


ภาพจากซูซัน โดยฉีเคอะในปี 1983

เธอสวยยิ่งกว่า จางป๋อจือ อีกครับ


ในปี 1990 ฉีเคอะดัดแปลงนวนิยายลือชื่อ... "กระบี่เย้ยยุทธจักร" ของกิมย้งลงเป็นแผ่นฟิล์ม และตัดสินใจสร้างภาคต่อทันที ในชื่อ เดชคัมภีร์เทวดา 2 โดยเน้นบทบาทหลักระหว่างความสัมพันธ์ของ เหล็งฮู้ชง และ ตงฟางปุป้าย ซึ่งสวมบมโดย หลี่เหลียนเจี๋ย และหลินชิงเสีย ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่กว่าภาคแรกได้ปลุกหลินชิงเสียให้กลับมาผงาดขึ้นสู่ความเป็นซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งในวัย 40 กะรัต อีกครั้ง จนถึงกับมีผู้คร่ำหวอดในวงการออกปากวิจารณ์ว่า...

"ชะตาชีวิตของหลินชิงเสียนั้นแปลก ทุกครั้งที่ถึงจุดเปลี่ยนของยุคหนัง และดูเหมือนดวงเธอกำลังจะซบเซาลงด้วยกระแสที่เปลี่ยนแปลง เธอมักจะได้โอกาสในการเปลี่ยนน้ำใหม่และสร้างชื่อเสียงกลับมาได้เสมอ เหมือนแมวเก้าชีวิต"

...อย่างในต้นปี 80 ก็ได้แสดง Zu warrior ซึ่งทำให้เธอโด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง ในต้นปี 90 ก็เหมือนกัน เธอกลับได้แสดงใน Swordman 2 ...ทั้งเธอและฉีเคอะดูจะเกิดมาเพื่อส่งเสริมกันเป็นแน่แท้

เพียงชั่วข้ามคืน ชื่อเสียง และเงินทอง ก็เข้ามาหาเธออีกครั้ง และดูจะยิ่งใหญ่กว่ายุคเจิดจรัสเมื่อแรกเข้าวงการอีกหลายขุม


ยิ่งไปกว่านั้น หนังเรื่องนี้ยังดังตั้งแต่ยังไม่ได้ลงโรงฉายด้วยซ้ำ เพราะเกือบเป็นเหตุให้หลินชิงเสียต้องจบชีวิตใต้ทะเล ขณะถ่ายทำฉากหนึ่งซึ่งเธอจะต้องค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากทะเลขณะฝึกวิชา ในการถ่ายทำ หลินชิงเสียซึ่งต้องสวมวิกยาวจะถูกปล่อยลงในทะเลในตำแหน่งที่กำหนด แล้วเธอจะดำน้ำเพื่อขึ้นไปอยุ่บนพานลูกรอกเลื่อนขึ้นเหนือผิวน้ำ บังเอิญว่าขณะที่ลูกรอกกำลังเลื่อนขึ้นนั้น วิกผมได้เข้าไปพันกับลูกรอกและดึงเธอไว้ใต้ทะเลเป็นเวนานจนผิดสังเกตุ ท่ามกลางความตกใจ หลินชิงเสียก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมาเหนือผิวน้ำอย่างอ่อนแรง ทางทีมงานจึงกุลีกุจอเข้าช่วยนำส่งโรงพยาบาล

จากคำบอกเล่าของเธอ ในนาทีที่วิกผมติดกับสายพานเธอพยายามดึงวิกผมออกเพื่อจะว่ายขึ้นเหนือนน้ำ แต่บังเอิญว่าสายพานได้กินเนื้อผมในวิกและบางว่วนของผมจริงเข้าไปด้วย ในนาทีวิกฤตินั้น หลินชิงเสียกัดฟันกระชากผมจริงจนหลุดเป็นอิสระด้วยความเจ็บปวด 

หลักจากพักฟื้นเพียงค่ำตืนเดียว เธอก็ตัดสินใจเข้าฉากในวันรุ่งขึ้นด้วยสปิริตนักแสดง เพราะไม่อยากให้ทีมงานต้องถอนการเซ็ตและมาถ่ายทำใหม่

หลังการถ่ายทำลุล่วงไปด้วยความพอใจ เฉินเสี่ยวตง ผู้กำกับคิวบู๊ ยกย่องในสปิริตการแสดงของหลินชิงเสียอย่างชื่นชม


หลังจากนั้นร่วมปี ฉีเคอะก็รังสรรค์ "เดชคัมภีร์เทวดา 3 ...หมื่นปีมีข้าคนเดียว" และต้องรักข้าคนเดียว ครั้งนี้เขาได้นำ หวังจู่เสียนมาประกบกับหลินชิงเสียอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งคู่เคยร่วมงานกันใน Web of Dicipline ซ้ำยังให้ทั้งสองแสดงบทโรแมนซ์ร่วมกันอีกด้วย 

หวังจู่เสียน ก็เป็นอีกคนที่กล่าวชื่นชมหลินชิงเสียในความสวย ที่เคยเป็นขวัญใจเธอในวัยเด็ก 
ส่วนหลินชิงเสียนั้นก็มีความสนิทสนมกับหวังจู่เสียนมากทีเดียว เคยสังเกตุว่าเธอมักจะนั่งติดกับหวังจู่เสียนบ่อยๆ ขณะร่วมงาน กิจกรรมต่างๆ


แปดเทพอสูรมังกรฟ้า...กับ กงลี่ เชือดเฉือนกันทั้งพลังยุทธ์ หัวใจ และความสวย กับบทกึ่งมารกึ่งธรรมมะ

ในบท...หลี่ชิวสุ่ย/หลี่ชังไห่ 



และอีกบทของนางมารพิณพิฆาต อยากเห็นเธอดีดพิณมานานแล้วครับ สวยจริงๆ


ในปี 1992 เธอมีคิวหนังชนกันนับสิบเรื่อง และมีอีกหลายเรื่องที่ปฏิเสธไป ....นี่ก็อีกเรื่องที่โด่งดังในอเมริกา นางพญาผมขาว กำกับโดย หยูเหวินไถ้


ภาพถ่ายประกอบในอัลบั้มเพลง ที่ได้กลิ่นอายมาจาก เดชคัมภีร์เทวดา


และอีกภาพจาก พิณประกาศิต


หลังจากสร้างชื่อเสียงสู่จุดสูงสุดแห่งความเป็นซูเปอร์สตาร์ฮ่องกง และเอเซีย เธอก็ปิดฉากชีวิตมายาด้วยการแต่งงานกับผู้บริหาร Esprite ฮ่องกง ในปี 1994 ท่ามกลางความงงงันแกมดีใจของเหล่าสื่อมวลชน


และนี่คือคู่ชีวิตที่ไม่ใช่ ฉินฮั่น แต่เจ้าบ่าวของเธอคือมหาเศรษฐีชาวฮ่องกง มิสเตอร์ หลีฮั่วหยวน อดีตสามีผู้กำกับ-นางเอก จางอ้ายเจีย ที่แถมพ่วงลูกสาวติดมาด้วย นั่นเป็นการปิดฉากรักยาวนานและยืดเยื้อถึง 18 ปีของเธอและฉินฮั่น

การแต่งตัว และวิถีปฏิบัติของเธอดูสำรวมขึ้น เพราะต้องออกงานสังคมในฐานะภริยานักธุรกิจใหญ่


จากแบบเสื้อห้าเรียบเท่ มาสู่ความหรูหราสง่าสงาม


ภาพถ่ายในปี 1995 เป็นปกนิตยสาร Marie Clair ฮ่องกง


กับกิ๊บผีเสื้อเพชร ประดับผมที่เธออกแบบ และจำหน่าย ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่องหนุ่งในอดีตที่เธอแสดง

ลูกสาวคนแรกที่คลอดประมาณปี 1995-6 ...อ้ายหลิน (สุดที่รักหลิน) ตั้งชื่อโดยสามี


ภาพถ่ายในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้


หลินชิงเสียนั้น แม้จะมีมุมส่วนตัวของความขี้เหงา แต่หลังจากที่เธอเลิกกับฉินฮั่น ใครๆ ต่างก็ทักว่าดูร่าเริง สนุกสนานขึ้น นั่นยังทำให้เธอมีเพื่อนนักแสดงที่สนิทสนมเพิ่มขึ้นอีกด้วย และในบรรดาคนเหล่านั้นได้แก่...เลสลี่จาง จางมั่นอวี้ กงลี่ ฉีเคอะ .....ดังนั้นข่าวการเสียชีวิตของเลสลี่จางจึงกระทบความรู้สึกของเธออย่างยิ่ง

ความเศร้าไม่ได้เกิดเพียงครั้งเดียว เพื่อนอีกคนในกลุ่ม...เหมยเยี่ยฟาง ก็มีอันมาจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วนอีกคน


ในช่วง 2-3 ปี ไล่เลี่ยกันนี้ คนที่เธอรักหลายคนได้จากไปอย่างชัวนิรันดร์ รวมทั้งคุณแม่ของเธอเองด้วย


50 ปี ของชีวิตนั้น เธอได้เผชิญหลายสิ่งหลายอย่าง จนเรียกได้ว่ารู้ซึ้งถึงชีวิตอย่างถ่องแท้ ในวันนี้ หลินชิงเสีย จึงขอแค่ใช้ชีวิตในมุมเล็กๆ เงียบๆ หลบเร้นสายตานับร้อยล้านคู่ที่เฝ้าคอยจับจ้องอย่างไม่เสียดาย ร่วม 10 ปี แล้วกับการไร้เงาบนแผ่นฟิล์ม


ได้เป็นตัวของตัวเอง


และได้เป็นเพียง แม่ของลูก ที่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง
....นี่แหละ  ชีวิตในวัยที่ 50 ปี ของ หลินชิงเสีย


ภาพนี้สมัยที่ยังอยู่ไต้หวันเทียบกับภาพปัจจุบัน คุณเห็นความแตกต่างมากแค่ไหน...


ประวัติของหลินชิงเสีย
ชื่อ : หลินชิงเสีย
       ชื่ออังกฤษ : บริจิต (Brigitte)
       เกิด : 3 พฤศจิกายน 1954
       ราศี : พิจิก
       อายุ : 51 ปี
       สถานที่เกิด : ไต้หวัน
       ครอบครัว : เป็นลูกคนที่ 2 ในบรรดาพี่น้อง 3 คน
       สูง : 165 ซ.ม.
       น้ำหนัก : 50 ก.ก.
       กรุ๊ปเลือด : โอ
       การศึกษา : Taiwan Chingling Girls' Secondry School, Tanjiang General Education College
       สถานภาพ : แต่งงานแล้วกับนักธุรกิจชาวฮ่องกง ปัจจุบันมีลูกด้วยกัน 2 คน
       เรื่องที่ยากจะลืม : ผลงานชิ้นแรกถูกห้ามฉาย
       สถานที่น่าเบื่อ : สถานีโทรทัศน์
       กีฬาที่ชอบที่สุด : ว่ายน้ำ
       สีที่ชอบที่สุด : ส้ม
       นักร้องที่ชื่นชอบที่สุด : บาร์บาร่า สไตน์แซนด์
       จุดเด่น : อดทน แรงเยอะ
       ภาพยนตร์ที่ชื่นชอบที่สุด : เดชคัมภีร์เทวดา ภาค ตงฟางปู้ป้าย

ที่มา : www.pantip.com, www.bike.net, www.hunsa.com 
          ข้อมูลบางส่วนจากนิตยสารซินเซียเล่ม 4


เรียบเรียงโดย ruengdd