Logan: ปิดฉากตำนานฮิวจ์ แจ็กแมนและวูล์ฟเวอรีนได้อย่างสง่างาม
HIGHLIGHTS:
- Logan เป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในฟรนไชส์หนัง X-Men ที่ฮิวจ์ แจ็กแมน (Hugh Jackman) นักแสดงผู้รับบทวูล์ฟเวอรีน และ แพทริก สจวร์ต (Patrick Stewart) ผู้รับบทชาร์ลส์ เซเวียร์ จะมาปรากฏตัว หลังสร้างตำนานมนุษย์กลายพันธ์ุมายาวนานกว่า 17 ปี
- มีการเปิดเผยว่า ฮิวจ์ แจ็กแมน ต้องการทำหนังเป็นเรตอาร์ (เลือดสาด) เขาจึงยอมลดค่าตัวของตัวเองลงมา ประกอบกับความสำเร็จด้านรายรับก่อนหน้านี้ของหนังฮีโร่เรตอาร์ Deadpool ทาง 20th Century Fox จึงกล้าที่จะสร้าง Logan ออกมาเป็นหนังเรตอาร์
หนังพาไปดูโลกปี 2029 ที่แทบไม่เหลือมนุษย์กลายพันธุ์อีกต่อไป 'โลแกน/วูล์ฟเวอรีน' (Hugh Jackman) สภาพร่างกายเหนื่อยล้าเต็มทน เขาหลบซ่อนตัวจากโลกกว้าง ทำงานขับรถลีมูซีนอยู่แถวชายแดนเม็กซิโกเพื่อหาเงินมาซื้อยาควบคุมอาการป่วยของ 'ชาร์ลส์ เซเวียร์' (Patrick Stewart) จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมาจ้างให้เขาขับรถไปส่ง 'ลอร่า/X-23' (Dafne Keen) ที่ชายแดนแคนาดา โดยที่เขารู้ดีว่าเด็กคนนี้กำลังจะสร้างความลำบากให้ชีวิตที่สงบสุขของเขา
สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดูหนัง
ฮิวจ์ แจ็กแมน และแพทริก สจวร์ต จะปรากฏตัวในหนังชุด X-Men เป็นครั้งสุดท้ายใน Logan
หนังอ้างอิงจากหนังสือนวนิยายภาพเรื่อง Old Man Logan ของมาร์ก มิลลาร์ (ผู้แต่ง Kick-Ass, Kingsman: The Secret Service)
สายใยความผูกพันระหว่าง Logan , Charles และ Laura
ภาพหนังสะท้อนสายใยของบุคคลทั้งสาม คือ โลแกน ชาลส์และลอร่า ความรักความห่วงใยระหว่างชาลส์และโลแกนที่อาจจะดูฮาร์ดคอร์ แต่ก็ผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น เพราะ ชาลส์ก็เปรียบเสมือนพ่อคนหนึ่งของโลแกน โลแกนเองก็ไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิต เมื่อลอร่าเข้ามาในชีวิตก็ทำให้โลแกนได้สัมผัสกับความรัก ความอบอุ่น มิตรภาพ ความห่วงใยที่แท้จริง (แม้ว่าทั้งสองจะดูฮาร์ดคอร์ไปหน่อย เพราะ นิสัยกับอดีตคล้ายกัน) หลังจากที่โลแกนผ่านความเหนื่อยล้ามาอย่างยาวนาน บอบช้ำกับหลายอย่างในชีวิต การมาของลอร่า ทำให้หัวใจของโลแกนได้กลับมาชื่นฉ่ำอีกครั้ง
"She's like you. Very much like you."
ในภาคนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนสุด คือ ร่างกายที่อิดโรยของโลแกน หลังจากที่เขาเริ่มแก่ เซลล์ต่างๆก็ไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็วเหมือนเดิม ประกอบกับ Adamantium เริ่มเป็นพิษกับร่างกาย ทำให้ร่างกายของเขาทรุดโทรม ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความโรยราของเขาสะท้อนออกมาอีกอย่าง คือ การมาของ X-24 มิวแทนท์ที่มีหน้าตา พลังกำลังเหมือนโลแกนทุกอย่าง สิ่งนี้ผมคิดว่าเป็นจุดที่ผู้กำกับจงใจสะท้อนให้หน้าตา รูปร่าง ความสามารถออกมาเหมือนโลแกนในวัยหนุ่มทุกอย่าง เพื่อเปรียบเทียบว่าโลแกนในวัยปัจจุบันถดถอยลงมากแค่ไหน รวมถึง X-24 ยังอาจจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความดุร้ายที่แฝงอยู่ภายในจิตใจของโลแกนด้วย ส่วนตัวร้ายของภาคนี้ Pierce (Boyd Holbrook) ที่ดูไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมาย แต่มาพร้อมกับกำลังคนที่มากกว่า โลแกนก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ เพราะ ร่างกายเขาเสื่อมถอยแล้วนั่นเอง
อีกประเด็น ก็คือ สภาพจิตใจของโลแกน จิตใจของโลแกนนั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากร่างกายที่บอบช้ำ หนังพยายามสะท้อนออกมาด้วยความทรุดโทรมทางอารมณ์ต่างๆ เช่น การติดเหล้า อารมณ์ที่ฉุนเฉียว ขี้โมโห เกลียดทุกสิ่งบนโลกและแม้กระทั่ง อยากจะฆ่าตัวตาย
“ Joey, there's no living with, with a killing. There's no going back from it. Right or wrong, it's a brand, a brand that sticks. There's no going back. Now you run on home to your mother and tell her, tell her everything's alright, and there aren't any more guns in the valley. ”
ฉาก Action มันส์ สมจริง เรียลและขยี้ใจ
นอกจาก Production หนัง ที่ทำได้ดีในบรรยากาศแบบคาวบอยแล้ว ฉากแอ็คชันเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนังสมจริง เนื่องจากหนังไม่เน้นการใช้ CG มากมาย ประเภทระเบิดถล่มทลาย แต่เน้นแอ็คชันสู้กันแบบตัวต่อตัว ซึ่งเป็นไปตามเนื้อหาหนังที่เน้นเรื่องไปที่การไล่ล่ากันมากกว่า หากหนังเลือกที่จะใช้ CG อย่างอลังการแล้ว ความเรียลหนังก็คงจะลดลงและโลแกนก็คงจะไม่ปิดตำนานได้อย่างสมบูรณ์แบบนี้
อย่างไรก็ตาม หนังค่อนข้างดาร์ก ฉากแอ็คชันมีความรุนแรง ใครที่ไม่ชอบเห็นเลือด เนื้อหลุด หัวแบะ พร้อมกับคำพูดที่หยาบคาย (F**ck ทั้งเรื่อง) ก็คงต้องระวังกันหน่อย แต่ส่วนตัวผมผมชอบสิ่งเหล่านี้ ผมว่าสิ่งพวกนี้ทำให้หนังเรียลขึ้น ดูเป็นไปตามโลกแห่งความเป็นจริง แล้วก็ข้อควรระวังอีกอย่างสำหรับการดู Logan ก็คือ ไม่ควรคาดหวังว่ามันจะสนุกแบบหนังฮีโร่มาก (ประเภทมันส์แบบ CG อลังการ ระเบิดตึกถล่มทลาย พระเอกหล่อๆหน่อย) เพราะ Logan เป็นหนังชีวิตดราม่าหนักๆที่ผสมแอ็คชันต่อสู้มากกว่า
ข้อเสีย : หนังก็พอมีช่องโหว่อยู่บ้างเป็นส่วนน้อยหรือสไตล์หนังบางส่วนที่ยังเป็นสูตรหนังฮีโร่อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับความยอดเยี่ยมโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าไม่ได้ส่งผลสำคัญต่อหนัง โดยรวมหนังยังยอดเยี่ยมอยู่ มีอีกจุดที่อาจจะเซ็งหน่อย ก็คือ ตัวร้ายรู้สึกว่าดูทื่อ ถ้าถูกออกแบบมาให้สมจริงกว่านี้หน่อยก็คงจะดี 555
และที่ขาดไม่ได้เลยเลย ก็คือ Dafne Keen (Laura) และ Patrick Stewart (Charles) สำหรับ Dafne Keen ในบทลอร่า เธอแสดงได้ดีมากๆ ในภาพเด็กหญิงที่นิ่งเงียบ ไม่ยอมพูด ดื้อ ดุ อันตราย สะท้อนภาพของเด็กปิดตัวเอง อันเนื่องมาจากการโดนกระทำรุนแรงในอดีต แต่เมื่อเธอได้พบกับสิ่งสำคัญในชีวิตแล้วและเธอก็ต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป เธอก็น่าสงสารและน่าทรมานใจจริงๆ สำหรับการแสดงของ Dafne Keen ผมคิดว่าในอนาคตเธอจะต้องเป็นนักแสดงคุณภาพเยี่ยมอย่างแน่นอน ส่วน Patrick Stewart แสดงได้ดีเยี่ยมในฐานะบทบาทสุดท้ายของ Charles Xavier เช่นเดียวกับ Huge Jackman แม้ในภาคนี้ บทของเขาไม่เยอะมาก แต่คุณภาพการแสดงก็จัดได้ว่ายอดเยี่ยม ในลุคของชายแก่ที่หมดสภาพ เลอะเลือนบ้าง แต่ไม่ว่าจะเวลาใด เขาก็ยังเป็นห่วงและรักโลแกนอยู่เสมอ
มีอีกคนที่น่าประทับใจที่ผมว่าเล่นได้ดี แต่บทดันไม่เยอะ ก็คือ Stephen Merchant ในบท Caliban แม้ว่าจะบทน้อย แต่เขาก็แสดงออกมาได้ดีนะครับ (ดูไปดูมาก็คล้ายๆกับ War Boys ใน Mad Max 555)
บทสรุป: สิ่งที่ชอบที่สุดจากหนัง
1. ชอบการอ้างอิงถึง Shane หนังคาวบอยคลาสสิกปี 1953 ที่เล่าถึงครอบครัวชาวไร่สายรักสงบที่ถูกคาวบอยถือปืนมาข่มขู่ไล่ที่สวน ‘เชน’ เป็นคาวบอยต่างถิ่นที่บังเอิญผ่านมาเห็นเหตุการณ์และเขาก็พยายามช่วยชาวไร่ไกล่เกลี่ยและหลีกเลี่ยงความรุนแรงมาตลอด จนในที่สุดก็เหลือหนทางเดียวที่จะทำให้หมู่บ้านนี้สงบสุขคือต้องปราบพวกนักเลงเหล่านั้น ซึ่งพล็อตย่อยของ Shane คือความสัมพันธ์ระหว่างเชนกับลูกชาวไร่ที่มาติดพันคาวบอยต่างถิ่นเพราะว่าเขาสอนในสิ่งที่พ่อผู้รักสงบปฏิเสธมาตลอด และเป็นที่มาของบทสนทนาสั่งสอนถึงการใช้ความรุนแรงในฉากจบซึ่ง Logan หยิบมาอ้างอิงในหนังด้วย
2. การปรากฏตัวครั้งแรกของ 'ลอร่า' เพราะนัยยะหนึ่ง Logan ก็เป็นการส่งไม้ต่อจาก ฮิวจ์ แจ็กแมน ไปสู่คาแรกเตอร์ใหม่ ซึ่งลอร่าหรือ X-23 ถือว่ารับเอา DNA ความเป็นวูล์ฟเวอรีนมาเยอะมาก ไม่ใช่แค่กรงเล็บที่เหมือนกัน แต่ยังรวมถึงลักษณะนิสัยยียวนกวนประสาทและโทสะคลุ้มคลั่ง ซึ่งเป็นบุคลิกแบบแอนตี้ฮีโร่ที่ทำให้วูล์ฟเวอรีนประสบความสำเร็จมาแล้ว แต่ประเด็นคือหนังมันมาแนว road movie ที่ใช้การเดินทางให้ลูกค่อยๆ ซึมซับตัวตนของพ่อไป แต่วูล์ฟเวอรีนเวอร์ชันนี้กร้านโลกและมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจึงทำให้ทัศนคติที่ถ่ายทอดสู่ลอร่ามีความน่าสนใจว่าในภาคต่อๆ ไปจะหล่อหลอมเด็กคนนี้ออกมาในทิศทางไหน
3. ในที่สุดฉากแอ็กชันของวูล์ฟเวอรีนก็โหดรุนแรง ดิบเลือดสาดแบบเรตอาร์สักที ถึงแม้โปรดิวเซอร์จะปฏิเสธว่าสาเหตุที่ Logan จัดเต็มความรุนแรงเป็นหนังเรตอาร์ ไม่ใช่เพราะความสำเร็จของ Deadpool แต่เป็นความตั้งใจเดิม แต่เราเชื่อว่าลึกๆ ความสำเร็จด้านรายได้ของ Deadpool (หนังเรตอาร์ทำเงินสูงที่สุดในโลก) คืออิทธิพลที่ทำให้สตูดิโอกล้าที่จะปล่อยให้ Logan ถูกทำเป็นเรตอาร์ออกมา และมันคุ้มค่าจริงๆ ที่ได้ปล่อยให้วูล์ฟเวอรีนและลอร่าโชว์ของโหดๆ สมกับที่มีกรงเล็บแหลมคมแบบนี้
4. Logan คือการหาทางลงให้ ฮิวจ์ แจ็กแมน ได้อย่างสง่างาม ถ้าให้พูดตามตรงคือตัวละครวูล์ฟเวอรีนของเขาโดดเด่นเป็นที่จดจำยืนระยะมาได้ต่อเนื่องตลอด 17 ปี ตั้งแต่ X-Men (2000) ภาคแรกออกฉาย แต่หนัง X-Men แต่ละเรื่องที่เขาแสดงไม่ได้ดีงามอะไรขนาดนั้น (First Class ที่เรามองว่าดีที่สุดก็ไม่มี ฮิวจ์ แจ็กแมน) ยิ่งภาคเดี่ยวของเขาก่อนหน้านี้ก็อยู่ในข่ายควรลบออกจากสารบบด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่ เจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold) ทำ Logan ออกมาด้วยความกล้าฉีกแนว ผลลัพธ์จึงออกมาดีเช่นนี้ เราจึงพูดได้แค่ว่ามันคือรางวัลที่ ฮิวจ์ แจ็กแมนสมควรได้รับจริงๆ
สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดจากหนัง
เราชื่นชมความกล้าหาญของ 20th Century Fox และ เจมส์ แมนโกลด์ ที่กล้าเอาตัวละครวูล์ฟเวอรีน ซึ่งคนติดภาพว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่มาทำเป็นสไตล์คาวบอย แถมยังดึงตัวละครเหนือมนุษย์ลงมาเป็นปุถุชนคนธรรมดามากที่สุด ทั้งการไขว่คว้าหาความสงบในบั้นปลายชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก แต่การเล่าเรื่องกลับยังหลีกหนีไม่พ้นความจำเจและเชยแบบเดิมๆ
เราเรียนรู้อะไรจากหนัง
ไม่ว่าความรุนแรงที่ก่อขึ้นจะกระทำต่อคนดีหรือคนเลว มันมีผลลัพธ์ไม่ต่างกันคือเป็นตราประทับติดตัวเราไปตลอดกาล อย่างในหนังเรื่อง Shane จะเห็นว่าตัวเอกพยายามหลีกเลี่ยงความรุนแรงมาตลอด และการเสียสละของเขาคือการยอมใช้ความรุนแรงเพื่อให้เกิดความสงบสุข เขาแบกรับตราบาปติดตัวโดยไม่ให้ชาวไร่มาเกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้ความเป็นฮีโร่ของ Shane น่าจดจำตลอดกาล
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนัง
เจมส์ แมนโกลด์ ผู้กำกับ Logan เปิดเผยว่า ฮิวจ์ แจ็กแมนต้องการทำหนังเป็นเรตอาร์ เขาจึงยอมลดค่าตัวลงมา เมื่อรวมกับความสำเร็จด้านรายได้ของ Deadpool จึงเป็นการช่วยการันตีให้เหล่าโปรดิวเซอร์มั่นใจที่จะทำ Logan เป็นหนังเรตอาร์
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
แน่นอนว่าแฟน X-Men ทุกคนย่อมรอคอยการปิดไตรภาคของวูล์ฟเวอรีนอยู่แล้ว มันคือหนังสำหรับคนที่ผูกพันกับหนังชุด X-Men อย่างแท้จริง
ควรชวนใครไปดู
ลองชวนคนที่บ่นว่าเบื่อกับหนังซูเปอร์ฮีโร่แบบเดิมๆ ไปดูสิ อันที่จริงนอกจากคาแรกเตอร์มนุษย์กลายพันธุ์แล้ว หนังมันใกล้เคียงจะนับเป็นพวก road movie หรือว่าหนัง Western คาวบอยยุคคลาสสิกมากกว่าด้วยซ้ำ
ความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป
สำหรับคนที่ติดตามผูกพันกับหนังชุด X-Men นี่คือหนังที่ควรวางแผนเดินทางไปดูโดยเร็วที่สุด เพราะตามที่ได้กล่าวไว้ว่ามันคือการหาทางลงให้ ฮิวจ์ แจ็กแมน ได้อย่างสง่างามคู่ควรแก่การที่เขาแสดงบทบาทนี้มาตลอด 17 ปี
ส่วนคนทั่วไปที่ไม่ใช่แฟนหนัง X-Men เราคงต้องบอกว่า Logan ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดี สมมติคุณอยู่หน้าโรงหนังแล้วไม่รู้จะดูอะไร แต่อยากดูหนังแนวแอ็กชันดราม่า Logan ก็ยังถือว่าคุ้มค่าต่อราคาที่จ่ายไป
ขอ 3 พยางค์จากหนังเรื่องนี้
ปิด ได้ สวย
Post a Comment