คุยกับ Will Champion และ Guy Berryman แห่ง Coldplay

        

HIGHLIGHTS:

  • บทสนทนาแบบ roundtable กับ Will Champion มือกลอง และ Guy Berryman มือเบส  สมาชิกวง Coldplay ก่อนขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ ‘COLDPLAY A HEAD FULL OF DREAMS TOUR’ ที่แฟนเพลงชาวไทยรอคอยมากว่า 14 ปี

7 เมษายน วันที่ชาวไทยสายบริทแทบทุกคนกาปฏิทินไว้ว่าจะมาปรากฏกายที่ราชมังคลากีฬาสถานเพื่อเป็นสักขีพยานในการแสดงอันเยี่ยมยอดของวง Coldplay

    บัตรถูกกระหน่ำซื้อตั้งแต่วันแรกๆ ของการเปิดขายแม้จะเปิดการแสดงในที่ที่มีความจุกว่าหกหมื่นที่นั่ง

    นั่นน่าจะเป็นหลักฐานที่ดีว่าการแสดงของพวกเขาเป็นที่เฝ้ารอของแฟนเพลงชาวไทยแค่ไหน ถึงแม้นี่จะไม่ใช่การมาเยือนครั้งแรกแต่มันก็เป็นการมาในช่วงที่พีคที่สุดของวง จึงเป็นโชคดีของพวกเราครับที่ได้ชมการแสดงในรูปแบบ Stadium Setting ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีระดับเทพเจ้า

    ตัวผมเองถึงแม้จะไม่ได้อินกับเพลงของพวกเขาในยุคหลัง แต่ก็ชื่นชอบเพลงยุคแรกมากพอจนรู้สึกดีใจอย่างยิ่งเมื่อทาง Warner Music Thailand ให้โอกาสไปร่วมสัมภาษณ์สมาชิกของวง 2 ท่านด้วยกัน นั่นก็คือคุณ Guy Berryman มือเบสที่หล่อลากดิน (ตามคำคร่ำครวญของสตรีผู้ร่วมสัมภาษณ์) และมือกลองที่น่ารักซึ่งเคยไปปรากฏตัวอยู่ในฉาก Red Wedding ของซีรีส์ Game of Thronesอย่างคุณ Will Champion


     เมื่อ rythm section (กลองกับเบส) หรือพูดง่ายๆ ก็คือกระดูกสันหลังของวงกำลังจะมานั่งให้ผมพูดคุยถึงประเทศไทย แน่นอนครับ โอกาสแบบนี้ ผมไม่ยอมพลาดเด็ดขาด!

     บ่ายสองโมงครึ่งคือเวลาที่คุณนุช ทีมงานของ Warner Music Thailand นัดผมให้ไปถึงจุดนัดพบ พร้อมกับแนะนำผู้ร่วมกลุ่มอีก 3 ท่านให้ได้รู้จัก เพราะการสัมภาษณ์ครั้งนี้จะเป็นการพูดคุยแบบ Round Table นั่นก็คือเข้าสัมภาษณ์พร้อมกัน 4 คนจาก 4 สำนักสื่อ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำใหัการสัมภาษณ์สนุกได้ก็คือความเข้าขานี่แหละครับ

    นับเป็นโชคดีที่อีก 3 ท่านที่ผมต้องสัมภาษณ์ร่วมคือคุณมิวส์ จาก a day BULLETIN ซึ่งรู้จักกันอยู่แล้ว, คุณกอล์ฟ จาก Billboard Magazine ซึ่งเคยได้เจอและทักทายกันในสายงานหลายต่อหลายครั้ง ส่วนอีกหนึ่งท่านคือคุณโน้ต Dudesweet ซึ่งเก่งและเป็นคนที่ผมนับถือในความเก่งอยู่แล้ว แล้วนี่ยังเป็นการกลับมาสัมภาษณ์ศิลปินเองของคุณโน้ตในรอบหลายปีอีกด้วย

     เราทั้ง 4 เดินตามน้องนุชไปด้านหลังของสนาม ขึ้นบันไดไป 4 ชั้น จนมาถึงจุดที่อยู่หลังเวที ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องรับรองหลายห้อง นุชแจ้งว่า Guy และ Will จะสลับกันเข้ามาทีละคน โดยมีเวลาให้สัมภาษณ์คนละ 15 นาที (หรือน้อยกว่านั้นตามแต่อารมณ์ของผู้จัดการวง) ไม่มีปัญหาครับ เราทั้ง 4 เตี๊ยมลำดับการถามไว้ก่อนคร่าวๆ และพูดคุยกันต่อเพลินๆ จน Guy Berryman มือเบสของวงเดินเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงที่โต๊ะ การสัมภาษณ์ก็ได้เริ่มต้นขึ้น


: การอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตและทำสิ่งเดิมๆ มากว่า 20 ปีทำให้คุณเบื่อบ้างหรือไม่
     : ไม่เคยครับ ไม่ใช่แค่ไม่เคยนะ ผมสนุกกับมันมากขึ้นทุกวัน จริงอยู่มันจะมีช่วงที่น่าเบื่อกับอะไรซ้ำๆ บ้าง แต่การเดินทางรอบโลกเพื่อเล่นดนตรีต่อหน้าคนดูที่รักเพลงของเรามันเป็นสิ่งที่น้อยคนจะมีโอกาสสัมผัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราได้เดินทางไปเล่นในประเทศที่เราไม่เคยไปมาก่อน และประเทศที่เราไม่ได้มาเยี่ยมเยียนเนิ่นนานแล้วอย่างประเทศไทย

: ยังตื่นเต้นทุกครั้งที่ขึ้นคอนเสิร์ตหรือเปล่า
     : แน่นอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เป็นความรู้สึกที่ไม่อยากให้มันหายไป ตื่นเต้นแต่ไม่ตื่นตูมเอาอย่างนี้ดีกว่า เราซ้อมกันเป๊ะ จนมั่นใจว่าจะไม่มีความผิดพลาดในด้านของดนตรี แต่เสียงโห่ร้องของแฟนๆ ยังทำให้ผมตื่นเต้นได้เสมอ

: มีสิ่งไหนที่ต้องทำเป็นประจำก่อนขึ้นและหลังลงจากเวทีไหม
     : ไม่มีครับ ใส่เสื้อใส่ผ้าแล้วลุย

: การเลือกเพลงที่จะเล่น
    
: โชคที่ดีเรามีเพลงมากพอที่จะเลือกได้อย่างสบายๆ ประเด็นหลักเลยก็คือเราจะเลือกเพลงที่แฟนๆ ต้องการฟังให้เยอะไว้ก่อน แน่นอนว่าบางครั้งเราก็ยัดเพลงที่ไม่ดังแต่เราอยากเล่นลงไปเป็นเพลงที่ 7-8 ในโชว์บ้าง คนอาจจะไม่รู้จักเท่ากับเพลงที่ถูกตัดเป็นซิงเกิล แต่ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะเล่นมันให้ดีจนคนกลับบ้านไปหยิบซีดีขึ้นมาเปิดฟังแล้วบ่นกับตัวเองว่า “พลาดเพลงนี้ไปได้ยังไงวะ?” แต่อย่างที่บอกครับ เราเล่นเพื่อแฟนๆ และเราเลือกเพลงเพื่อแฟนๆ
 
: อยากร่วมงานกับใครในอนาคต

     : อันนี้ยากแฮะ มีนักดนตรีหน้าใหม่เก่งๆ โผล่ขึ้นมาแทบทุกวัน อืม... ผมชอบทำงานกับ Brian Eno (โปรดิวเซอร์ระดับตำนาน) และอยากทำงานกับเขาอีกเรื่อยๆ Nile Rodgers มือกีต้าร์วง Chic ที่ไปเล่นให้กับ Daft Punk ก็เจ๋ง และการทำงานกับโปรดิวเซอร์สายอีเล็กทรอนิกส์อย่างพี่น้อง Disclosure ก็น่าสนใจ พวกเขาคือนักดนตรีที่เจ๋งที่สุดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมสามารถนั่งไล่ชื่อศิลปินที่อยากร่วมงานด้วยได้อีกทั้งคืนเลยนะ มีอีกเพียบ แต่สิ่งที่อยากทำต่อไปคืออะไรที่น้อยๆ ง่ายๆ ก็เลยว่าจะพักเรื่องการฟีเจอริงไว้ก่อน... ซึ่งไม่แน่ใจว่าเพื่อนร่วมวงจะเอาด้วยหรือเปล่า

: เป้าหมายต่อไปของวง
     : เราโชคดีมากๆ ที่ได้ทำฝันหลายๆ อย่างให้เป็นจริง เราได้รางวัลมากมาย เราได้เล่นเป็นวงเฮดไลน์ที่ Glastonbury ทุกอย่างมันมาจากการไม่ตั้งเป้าหมาย เพราะเรามาได้ไกลเกินที่เราคาดคิดเสมอ จากเพื่อนสมัยเด็กที่เล่นดนตรีกันง้องๆแง้งๆ จนมาได้เจอคริส เจอจอห์นนี เจอวิลล์ ได้ทัวร์รอบโลกและทำทุกอย่างที่ไม่กล้าแม้แต่จะฝัน มันมากพอแล้วครับ ผมเคยคิดนะว่า เอ... เราควรจะทำแบบนั้นแบบนี้ไหม เราควรจะออกอัลบั้มแนวนั้นแนวนี้ไหม แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราควรทำที่สุดก็คือ การทำเพลงต่อไปให้ดีโดยไม่ต้องไปกังวลอะไรมากมายกับอนาคต นี่แหละครับ เป้าหมายตลอดไปของพวกเรา


     จบจากการสัมภาษณ์หล่อๆ ของ Guy เราทั้งหมดลุกขึ้นจับมือขอบคุณและอวยพรให้เขาโชคดีในการแสดง

     แปลกดีครับที่วินาทีที่เขาเข้ามาในห้องครั้งแรกผมรู้สึกเกร็งจากผลงานและความสำเร็จมากมายที่จับต้องได้ของ Coldplay

    แต่ความเรียบง่ายและน้ำเสียงในการตอบคำถามของเขาทำให้ผู้สัมภาษณ์ผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าผ่อนคลายจนรอไม่ไหวทีเดียวที่จะได้เจอสมาชิกอีกคนหนึ่งของวง


    Will Champion เป็นมือกลองก็จริง แต่บนเวทีนั้นหน้าที่ของเขามีมากมาย ไม่ว่าจะร้องประสาน คอยเชียร์คนดู และเป็นคนที่คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมวงตลอดเวลา ภาพของมือกลองหน้าตาใจดีที่ตีกลองเพลงช้าได้ดุดันเป็นภาพจำภาพหนึ่งของวงๆ นี้

    พอเล่นโชว์ที่ไทยเสร็จพวกเขาต้องขึ้นเครื่องไปไต้หวันต่อทันที ตามด้วยเกาหลี ญี่ปุ่น ก่อนจะโยกทวีปไปฝั่งยุโรป และอเมริกาเหนือ ผมสังเกตได้ถึงความเหนื่อยล้า แต่ Will ก็เข้ามาในห้องพร้อมกับเสื้อที่ชุ่มเหงื่อและรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดยิ้มหนึ่งใน rock & roll

: เปรียบเทียบอัลบั้มชุดล่าสุดกับงานยุคแรกๆ ของวง
     : ต่างกันแน่นอนครับ เป็นเป้าหมายหลักของเราด้วยซ้ำที่จะทำให้ทุกๆ อัลบั้มมีความแตกต่าง ไม่ว่าจะแง่ของซาวนด์ดนตรี การเรียบเรียง อุปกรณ์ดนตรีที่ใช้ แต่หลักๆ ผมว่ามาจากการเลือกโปรดิวเซอร์ครับ เพราะแต่ละคนจะมีความถนัดที่ไม่เหมือนกัน ล่าสุดพวกเราทำงานกับ Stargate พวกเขาเป็นทีมโปรดิวเซอร์จากนอร์เวย์ ที่มีแนวคิดทางดนตรีแตกต่างจากพวกเรา แต่ก็เข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาดใจ เพลงของพวกเราป๊อปมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีรายละเอียดดนตรีที่ซับซ้อน มันสนุกมาก ที่ได้ทำงานกับคนใหม่ๆ ที่มีมุมมองใหม่ๆ มันทำให้เราเรียนรู้ได้ตลอดเวลา บางทีก็มีการใช้ drum machine แทนที่จะให้ผมตีเว้ย งงๆ เหมือนกัน แต่ก็ลองดู (หัวเราะ)

: ฟังเพลงอะไรบ้างในทุกวันนี้ ได้มีโอกาสฟังเพลงจากศิลปินหน้าใหม่บ้างไหม
     : แน่นอน ผมว่ามันเจ๋งมากที่เราสามารถยัดประวัติศาสตร์ดนตรี 50 ปี ลงในมือถือของเราเพื่อที่จะเลือกมันขึ้นมาฟังเมื่อไหร่ก็ได้ ผมยังคงฟังเพลงเก่าที่เคยชื่นชอบสมัยเด็กอยู่เสมอ แต่ทุกวันนี้มันยากที่จะหลีกเลี่ยงผลงานใหม่ๆ เพราะมันอยู่ในทุกสื่อที่เราเสพ งานของ James Blake ยอดเยี่ยมมากๆ อัลบั้มชื่อ Skeleton Tree ของ Nick Cave ก็เป็นอัลบั้มที่สุดยอด... เอาเข้าจริง ผมให้ลูกผมแนะนำครับ (หัวเราะ) อะไรก็ตามที่ลูกผมบอกให้ฟังผมก็จะไปหามาฟัง “พ่อๆ ลองฟังคนนี้ซิ” ผมก็จะ อะไรนะ? คนไหนนะ? อ่ะๆ ลองดู เฮ้ย! โคตรดี! เพราะฉะนั้น ลูกผมคือที่ปรึกษาด้านดนตรีชั้นดีครับ

: ฟังเพลงของตัวเองบ้างไหม
     : โอ้ ไม่ๆๆ แต่ลูกผมชอบเปิดในบ้านเสียงดัง ซึ่งข้างบ้านคงคิดว่าผมหลงตัวเองมากๆ ฮ่าาา แต่ส่วนตัวแล้วไม่ครับ ผมไม่ฟังเพลงของวงตัวเองเท่าไหร่นักหลังจากที่ทำมันเสร็จ อาจจะมีบ้างที่เอามิกซ์แรกของเพลงกลับมาถามความเห็นลูกๆ ที่บ้านว่าชอบไหม

: เป้าหมายต่อไปของวง
     : มันสนุกดีที่ทุกวันนี้เราสามารถทำทุกอย่างที่เราอยากจะทำในฐานะวงดนตรีวงหนึ่งได้หมดแล้ว เราได้ร่วมงานกับคนเก่งๆ มากมาย แต่สุดท้ายแล้วผมว่าการที่เราทั้ง 4 คนซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กได้ร่วมเล่นดนตรีด้วยกัน ทัวร์ด้วยกัน สนุกด้วยกันมาตลอด 20 ปีคือสิ่งที่พวกเราฟินที่สุด มันอาจจะเป็นคำตอบที่เลี่ยนไปนิดแต่มันคือเรื่องจริง นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมและเพื่อนๆ

Photo: BEC – TERO Entertainment และ Warner Music (Thailand)
เครดิต: Momentum