เรื่องเล่าและมุมมองดี ๆ จากการใช้จักรยานในชีวิตประจำวัน
ท่ามกลางภาวะเร่งด่วนในช่วงเช้า... การเดินทางไปทำงานถือว่าเป็นการผจญภัยเล็ก ๆ ในแต่ละวันของมนุษย์หลายคนเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถส่วนตัวฝ่าการจราจรที่ติดขัดอย่างหนัก หรือว่าจะเป็นการช่วงชิงเก้าอี้ที่นั่งบนรถโดยสารทั้ง รถเมล์ร้อน รถเมล์แอร์ รถไฟฟ้า รถใต้ดิน ไม่เว้นแต่การยืนคอยไฟสัญญาณ "ว่าง" จากแท็กซี่โดยสาร ที่นาน ๆ ทีถึงจะมาให้เห็น หรือบางทีเห็นก็ไม่ได้ขึ้น...
แน่นอนความวุ่นวายในตอนเช้าของกรุงเทพฯ เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเราลองปรับ และเปลี่ยน ทั้งในแง่ทัศนคติ และพฤติกรรม เราก็อาจจะอยู่กับความวุ่นวายนี้ได้อย่างมีความสุข เฉกเช่น คุณ mekin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ขอเล่าเรื่องราวการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ จากการใช้รถยนต์สี่ล้อเป็นพาหนะ กลายเป็นรถสองล้อ แบบไม่ต้องเติมน้ำมัน อย่าง "จักรยาน" ในชีวิตประจำวันมาเกือบ 3 ปีแล้ว :)
ว่าแต่ว่า คุณ mekin เขาได้อะไรจากการขับขี่จักรยานบ้าง เราไปดูภาพสวย ๆ พร้อมข้อคิดดี ๆ กันดีกว่า...
ผมซื้อจักรยานคันนี้เมื่อเดือนเมษายน 53 เพื่อจะใช้แทนการขับรถไปทำงาน
ก่อนซื้อก็ศึกษาข้อมูลอยู่พอสมควร หลายคนว่าอันตราย... จะปั่นได้ซักกี่วัน... จักรยานคันละเป็นหมื่น.. บ้ารึเปล่า?
ความคิดตอนนั้นคือไม่ทนแล้วกับสภาพการจราจรที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ของกรุงเทพฯ
จัดไป...
ปั่นจากคอนโด 1 กม. มาขึ้นบีทีเอสอ่อนนุชตั้งแต่สมัยยังไม่มีส่วนต่อขยายแบริ่ง มาลงสะพานควายแล้วปั่นต่ออีกราว 3 กม. ก็ถึงที่ทำงาน เหงื่อยังไม่ทันซึมเลย
โชคดีอีกอย่างคือ ออกแต่เช้า แทบจะเป็นบีทีเอสเที่ยวแรก คนยังไม่เยอะ ใช้เวลาพอ ๆ กับตอนขับรถ แต่ที่ได้คือสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น กับเงินค่าน้ำมัน + ค่าทางด่วนที่เหลือในกระเป๋าวันละเกือบ 200 บาท
มองในแง่การลงทุน ผมคืนทุนตั้งแต่สี่ห้าเดือนแรกหลังจากปั่นไปทำงานร่วมกับใช้บีทีเอสทุกวัน
แต่ที่ได้อีกอย่างชนิดที่ไม่คาดคิดมาก่อนคือ "เวลา"
เวลาที่ได้กลับมาอยู่กับครอบครัวมากกว่าคนอื่น ๆ ที่ยังหงุดหงิดอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์
เวลาพักผ่อนที่มากขึ้น
และที่สำคัญคือ เวลาในการอ่านหนังสือ... ผมได้กลับมาอ่านหนังสืออีกมากมายหลังจากที่ได้แต่ซื้อ ๆ มาตอนงานสัปดาห์หนังสือเพื่อจะเอามากองให้ฝุ่นจับและหยากไย่อาศัย
เวลาบนบีทีเอสวันละราว 1 ชั่วโมง (ไป-กลับ) ทำให้ผมอ่านหนังสือได้หลายสิบเล่มภายในเวลา 1 ปี
ที่เหลือตอนนี้คือกำไรล้วน ๆ เสาร์-อาทิตย์ ก็ปั่นเที่ยวเรื่อยเปื่อย
ด้วยความสัตย์จริง... ผมอาจเป็นคนส่วนน้อยที่ไม่เคย up อุปกรณ์ใด ๆ
เดิม ๆ ทุกอย่าง เพิ่งจะมาเปลี่ยนบันไดตอนหน้าฝนเพราะบันไดเดิมลื่นมาก ๆ เกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง
ที่ไหนที่ไม่เคยไปสมัยขับรถ ก็ปั่นจักรยานไป
ตอนนี้ย้ายมาอยู่บ้านแถวประเวศ ก็ยังจะใช้จักรยานต่อไปครับ ปั่นจากบ้านราว 2 กม. พับขึ้นแอร์พอร์ตลิงค์ทับช้าง แล้วไปต่อบีทีเอสพญาไท ลงสะพานควายแล้วปั่นตามเส้นทางเดิมไปที่ทำงาน
เพื่อนบอกว่าไหน ๆ ก็พญาไทแล้ว ปั่นยาวไปที่ทำงานเลยดิ แฮะ ๆ ขี้เกียจอาบน้ำอีกรอบอ่ะครับ เลยต่อบีทีเอสดีกว่า
จะมีช่วงนี้บางวันอากาศเย็นสบาย ๆ หรือหนาว ๆ หน่อยก็ปั่นจากพญาไทยิงยาวถึงที่ทำงานเลย ราว ๆ 6 - 7 กม. เหงือซึมเหมือนกัน
เคยปั่นไปคาราโอเกะกับเพื่อน ๆ แถวรัชดาฯ ด้วย อิอิ
ปั่นเจ้า "Titan" (ชื่อที่ตั้งให้) ได้ปีกว่า ๆ ในใจเริ่มร่ำร้อง สุดท้ายก็งอกเสือภูเขามาอีกคันจนได้
ราคาพอ ๆ กัน เป็นรุ่นวีเบรก ยางหน้าแคบ ปั่นในเมืองคล่องตัวดี ผมตั้งชื่อตามยี่ห้อเลย ล้อกับชื่อของรถพับคันเดิมด้วย
ปกติผมก็ชิดซ้ายสุดตลอดนะครับ แต่ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา โดยทั่วไปรถทุกประเภทบนท้องถนนจะค่อนข้างระวังจักรยานเป็นทุนอยู่แล้ว แต่เราเองก็ต้องระวังตัวด้วย
สัญญาณมือ, อุปกรณ์ความปลอดภัยต่าง ๆ - หมวก, กระจกมองหลัง, แว่นกันฝุ่น, ไฟหน้าไฟท้าย เป็นสิ่งที่ผมใช้ทุกครั้งเมื่อขึ้นอานจักรยาน
บางคนอาจมองว่าพวกนี้เวอร์ไปรึเปล่า? อุปกรณ์อะไรรุงรังจริง... แต่ตอนเราประสบอุบัติเหตุ คนพวกนี้ไม่ได้มารับรู้ด้วยนี่ครับ
คำถามไม่ไร้สาระหรอกครับ ยินดีครับหากผมจะพอให้คำตอบได้
ได้เสือภูเขามาแล้วก็เริ่มปั่นไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ ย้ายไมล์จาก Titan มาคันนี้แทน
สวนหลวง ร.๙
ใกล้ ๆ กัน
บึงหนองบอน
บางวันก็ปั่นไปเที่ยวงานวัด
บางวันก็เถลไถลตอนปั่นกลับจากที่ทำงาน
บางวันปั่นเช้า
บางวันปั่นเย็น
ปั่นในกรุงเทพฯ มากเข้าเริ่มคิดการณ์ใหญ่
หาตะแกรงหลังมาติด ซื้อกระเป๋ามาคู่ ฝึกปั่นให้บ่อยขึ้นเรื่อย ๆ
เปลี่ยนแฮนด์ใหม่ หาซื้อที่สูบลมพกพาพร้อมอุปกรณ์ปะยาง แล้วนัดแนะกับเพื่อนอีกคน
ปั่นจากเมืองหลวงช่วงหยุดสิบสองสิงหาปีที่แล้ว
จักรยานก็พาผมไปถึงเชียงใหม่ได้
แม้จะใช้เวลาถึง 5 วันก็ตาม
อีกสองเดือนกว่า ๆ ผมก็จะเป็นมนุษย์หลังอานครบ 3 ปีแล้ว ใจอยากให้คนปั่นจักรยานกันเยอะ ๆ นะครับ
เคยอ่านเจอว่า ที่โบโกตา พอเปลี่ยนเป็นเมืองจักรยานแล้ว อัตราการเกิดอาชญากรรมลดลงมากอย่างมีนัยสำคัญเลยทีเดียว
อ่านไปเรื่อย ๆ พบว่า คนปั่นจักรยานมีโอกาสได้เห็นหน้าเห็นตากัน.. ทักทายกัน.. ยิ้มแย้มให้กัน.. เกิดมิตรภาพให้แก่กัน.. ชีวิตเคลื่อนที่ช้าลง..
ความคิดที่จะทำร้ายทำลายกันก็ลดน้อยถอยลงไปด้วย
ผิดกับคนหลังพวงมาลัยที่ต่างคนต่างมีโลกสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ของตัวเอง หงุดหงิดและเครียดที่ออกจากกล่องสี่เหลี่ยมติดล้อนั่นไม่ได้ ขับรถผิดใจกันนิดเดียวก็ชักปืนขึ้นมาขู่กัน
ถึงวันนี้ ผมได้แต่คิดว่า "เอาเวลาไปทำอะไรอยู่วะกรู... รู้งี้ปั่นจักรยานมาตั้งนานแล้ว"
ได้เวลาปั่นจักรยานออกไปซื้อกับข้าวแล้วครับ หวังว่าคงมีคนออกมาปั่นจักรยานกันเยอะ ๆ แต่อย่าลืมเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัยด้วยนะครับ
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ mekin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
Post a Comment