งานนมัสการรอยพระบาทพลวง (เขาคิชฌกูฏ) ตำบลพลวง อำเภอคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี
เรียกได้ว่าทุก ๆ ปี ทันทีที่มีการเปิด งานนมัสการรอยพระบาทพลวง (เขาคิชฌกูฏ) ตำบลพลวง อำเภอคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ประชาชนจากทั่วสารทิศต่างหลั่งใหลไปสักการบูชากันทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งและปี 2556 นี้ได้เปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาขึ้นไปนมัสการตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ถึง 11 เมษายน เป็นระยะเวลา 2 เดือน
สำหรับทิวทัศน์บนยอดเขาคิชฌกูฏหรือเขาพระบาทนี้ เป็นปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา ที่นำมาผูกกับตำนานทางพระพุทธศาสนาโดยมีความเชื่อที่ว่าถ้าใครได้ขึ้นไปกราบสักการะรอยพระพุทธบาทพลวงบนยอดเขาพระบาทแล้วจะสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ที่ไปขอพรทุกคนก็จะประสบความสำเร็จดังพรที่ขอไว้ จึงทำให้มีผู้เลื่อมใสและศรัทธาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
โดยมีจุดเริ่มต้นเดินทางจากวัดพลวงไปตามถนนลูกรังที่ลาดชัดมากระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จากนั้นต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 1.2 กิโลเมตร ทั้งนี้ มีบริการรถสองแถวจากวัดพลวงถึงจุดสิ้นสุดทางรถ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ วัดกระทิง โทรศัพท์ , องค์การบริหารส่วนตำบลพลวง โทรศัพท์ และศูนย์กู้ชีพเทศบาลตำบลพลวง โทรศัพท์
และสำหรับใครที่อยากลองไปนมัสการรอยพระบาทพลวง (เขาคิชฌกูฏ) สักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน อย่างไร ก็ลองไปดูตัวอย่างจากบันทึกการเดินทางพร้อมรูปภาพที่ถ่ายทอดเรื่องราวดี ๆ ของ คุณ KiMaLdInHo สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม กันก่อนจ้า ...
กราบสวัสดีพี่น้องเพื่อนผองชาวพันทิปทุกท่านครับ
นี่เป็นรีวิวเวอร์ชั่นใหม่ของผมเลย แต่จะเป็นรีวิวที่บ้าน ๆ สุด ๆ เลยครับ เพราะมีไม่กี่รูปและงวดนี้เก็บข้อมูลมาฝากน้อยมากครับ
ตั้งใจจะไปอีกครั้ง และประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย จึงอยากนำเรื่องราวดี ๆ มาแบ่งปันครับ เพราะปีที่ผ่านมาผมเจอคลื่นมหาชนที่เยอะมาก จึงคิดว่าการเดินทางมาที่แสวงบุญแห่งนี้ เราควรรู้เขารู้เรา เพื่อจะได้มาแล้วสุขกายสบายใจและอิ่มบุญพูลสุขอย่างที่สุดครับ
เริ่มต้นเดินทางครับ ออกจากกรุงเทพฯ 8 โมงเช้า เดินทางด้วยมอเตอร์เวย์ ออกบ้านบึงแล้วยิงยาวไปเลยครับ พอขับไปจนบรรจบกับสุขุมวิทที่สามแยกแถว ๆ เขาชะเมา ก็พุ่งต่อไปจันทบุรีเลยครับ ขับไปเรื่อย ๆมาเรียง ๆ จะเจอสามแยกที่เลี้ยวไป อ.เขาคิชฌกูฏ จากนั้นก็ตามป้ายไปเลยครับ เดินทางสะดวกมาก ๆ หาไม่ยาก ๆ ระยะทางราว ๆ 250 กิโลเมตรครับ
(แผนที่อย่างละเอียดกดดู google map เอานะครับ ตรงไปตรงมาเลย)
เมื่อขับตามทางมาเรื่อย ๆ จนถึงวัดพลวง จะมีจุดจอดรถใหญ่ ๆ ที่ผมสังเกตเห็นสองจุดนะครับ อยากจอดตรงไหนก็ตามศรัทธาเลยครับ ถ้าไปวันธรรมดาผมแนะนำให้ไปจอดที่ลานจอดบริเวณวัดเลยครับ แต่ถ้าไปวันศุกร์หรือวันเสาร์ก็ไปวัดดวงเอาครับ
ผมกระโดดอย่างไวมาถึงการเตรียมขึ้นเขาเลยนะครับ ก่อนอื่นต้องไปซื้อตั๋วขึ้นรถครับ โดยการขึ้นเขาคิชฌกูฏจะใช้บริการรถ 4WD 2 จังหวะนะครับ
1. จังหวะแรก คือ ตีนเขา - กลางเขา : รถที่วิ่งจังหวะนี้ก็จะวิ่งแค่จังหวะนี้เลยครับ 555+ โดยรถเหล่านี้จะเรียกว่าคิวล่างครับ พอขนคนจากวัดพลวงขึ้นมาก็จะมาฝากฝังกันไว้ที่จุดพักกลางเขาครับ จากนั้นรถจะวิ่งลงไปรับส่งคนจากวัดพลวงขึ้นลงไปเรื่อย ๆ
2. จังหวะสอง คือ กลางเขา - ยอดเขา (ลานพระสีวลี) : คนที่ขึ้นมาที่จุดกลางเขาเเล้ว ต้องซื้อตั๋วรถจังหวะสอง เพื่อไปสู่ยอดเขา หรือที่เรียกว่าลานพระสีวลีครับ อันเป็นจุดสุดท้ายของการนั่งรถ ก่อนจะก้าวสองเท้าสู่รอยพระพุทธบาทครับ
จากวิธีการขึ้นรถที่กล่าวมานี้ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าแค่การเดินทางจังหวะขึ้นลงรถทั้งสองช่วงแบบนี้ จะวุ่นวายโกลาหลขนาดไหน ลองนึกภาพมหาชน 5,000 – 6,000 คน ในคืนวันเสาร์ ที่เวียนวนอยู่ทั้งหมด 4 ตุ๊บ (ขึ้น 2 ลง 2) นี่ก็ลากเลือดแล้วครับ ยังไม่รวมฝูงชนที่เดินขึ้นจากลานพระสีวลีสู่รอยพระพุทธบาทอีกนะครับ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมบอกว่า ต้องรู้เขารู้เรามาก ๆ เลยในการมาที่นี่
ภาพด้านล่างเป็นจุดขึ้นรถจุดแรกครับ ครั้งนี้ผมไปถึงราว ๆ 12.00 น. ปรากฏว่าซื้อตั๋วปุ๊ปเดินไปขึ้นรถปั๊ป ไม่มีคิวเลยครับ ต่างกับปีที่แล้ว ไปถึงประมาณ 01.00 น. ของวันอาทิตย์ ลานบริเวณนี้ (รวมไปถึงทุกแห่งหนในวัดพลวง) เต็มไปด้วยฝูงชน ผมว่าไม่น่าต่ำกว่า 7000 คนครับ และเหตุการณ์ลักษณะนั้นต้องขึ้นเขาตามคิว แต่ครั้งนี้ผมไม่ต้องรอคิวเลยครับ (เดี๋ยวตอนท้ายจะสรุปเรื่องเวลาที่เหมาะสมให้อีกทีครับ)
ผมขอโบยบินจังหวะการขึ้นรถไปเลยนะครับ มาต่อกันที่การเดินเท้าเลยครับ ลานพระสีวลีอันเป็นจุดส่งรถจุดสุดท้าย นับจากนี้เราต้องเดินเท้าแล้วครับ บริเวณปากทางขึ้น มีไม้เท้าให้ใช้ครับ บริจาค 5 บาท
ระหว่างทางจะมีจุดให้เราบริจาคเพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดทางครับ วันที่ผมมานี่ถือว่าคนหลวมมาก ๆ ครับ เดินชิล ๆ และเดินขึ้นมาได้ราว ๆ 15 นาที (เวอร์ชั่นเดินชิล ๆ) จะมีจุดพักใหญ่เป็นจุดขายของและขายเครื่องดื่มต่าง ๆ ครับ หากหิวน้ำก็ดื่มจุดนี้ไปเลยครับ เพราะจากนี้ไปแล้วก็ยาวหน่อยนึง ไปเจอจุดกินน้ำกินท่าอีกทีก็ประตูสวรรค์ใกล้รอยพระพุทธบาทแล้วครับ แต่ระหว่างทางก็มีแคร่ไม้ให้นั่งบ้างประปรายครับ
พูดถึงเส้นทางเดินขึ้นรอยพระพุทธบาท ผมเห็นว่าช่วงที่เป็นไหล่เขา มีการขยายขนาดทางเดินออกไปให้กว้างขึ้นเกือบเท่าตัวเลยนะครับ เดาว่าเพิ่งต่อเติมใหม่ในปีนี้ เนื่องจากยังเห็นคนงานมาเก็บงานกันอยู่เลยครับ การเดินขึ้นทั่ว ๆ ไปถือว่าเบามาก ๆ เป็นการเดินเข้าที่มีขั้นบันไดที่ชัดเจนครับ สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปแล้ว ผมว่าการเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏจัดว่าเหนื่อยได้เหงื่อ แต่ไม่ทรมานครับ โดยทางที่ดูแอดเวนเจอร์หน่อยนึง จะเป็นทางจากรอยพระพุทธบาทไปลานพระอินทร์และผ้าแดงครับ ทางช่วงนี้เป็นทางป่า ดินอัดแน่นครับ
จากที่บอกไว้ครับ เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ จนผ่านประตูสวรรค์ก็เตรียมเฮได้เลย เพราะคุณใกล้จะมาถึงรอยพระพุทธบาทแล้วครับ ...
ผมขอข้ามการรีวิวบริเวณลานรอยพระพุทธบาทไปนะครับ อันนี้ฝากไว้สำหรับท่านใดที่อยากเห็นวิวมุมสูงของหินรูปบาตร ให้เดินต่อไปทางผ้าแดงครับ เดินไปราว ๆ 10 - 15 นาที (แบบคนหลวม ๆ) จะขึ้นไปพบกับจุดชมวิวครับ จากจุดชมวิว เดินแอดเวนเจอร์ราว ๆ 15 นาที (แบบคนหลวม ๆ) จะพบกับลานพระอินทร์ และจากลานนี้ไปผ้าแดงอีกร่วม 700 - 800 เมตรได้ครับ ได้ข่าวว่าเดินข้ามเขากันเลยทีเดียว
ขอจบการรีวิวเชิงรายละเอียดนะครับ บอกแล้วว่าสั้น ๆ จริง ๆ 555 ต่อไปผมจะขอมาแชร์ข้อมูลแบบ FAQs นะครับ คือ มันไม่ใช่ทฤษฎีหรือหลักการที่ตายตัว แต่ผมคิดว่ามันมีประโยชน์มาก ๆ สำหรับการเดินทางมาแสวงบุญ ณ ที่แห่งนี้ เพราะการเดินทางร่วม ๆ 250 กิโลเมตร แต่ไม่สามารถขึ้นไปนมัสการได้แบบที่ผมเผชิญเมื่อปีที่แล้ว มันเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจมาก ๆ ครับ
ขอเท้าความเล็กน้อยครับ ปีที่แล้วผมไปคืนวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันมหาชนแห่งสัปดาห์อยู่แล้ว แถมยังมีฝนตกโปรยปราย อันทำให้รถต้องหยุดวิ่งเป็นระยะ ๆ ครับ จากที่ไปรับคิวตอนแรกที่ไปถึง ต้องรอคิวรถประมาณ 400 คัน พอกลับมานอนรอในรถ ตื่นเช้ามาอีกทีไปเช็กคิว ยังเหลืออีก 340 คิวรถ และผู้จัดคิวรถประกาศยุติการโดยสารขึ้นเขาโดยไม่มีกำหนด เลยต้องโบกมือลากลับบ้านไปครับ...คิดว่าวันนั้นมีคนถอดใจไม่น้อยเหมือนกัน
ถาม : การเดินทางขึ้นเขาคิชฌกูฏมีกี่วิธี ค่าใช้จ่ายอย่างไร
ตอบ : มี 2 วิธีครับ คือเดินตั้งแต่แรกกับนั่งรถขึ้นไป แต่จากสภาพที่ผมไปดูแล้ว ไม่แนะนำให้เดินขึ้นไปอย่างแรงเลยครับ เพราะรถขับกันฉวัดเฉวียนทำเวลามาก ๆ โดยทางเดินกับทางรถวิ่งเป็นทางเดียวกัน มีโอกาสจะเกิดอุบัติเหตุกับตัวคุณเองและรถที่สัญจรได้สูงมากครับ ส่วนค่าใช้จ่ายการนั่งรถ จังหวะละ 50 บาท รวมเบ็ดเสร็จก็ท่านละ 200 บาทครับ (ขึ้น 2 ลง 2 แต่ละงวดจะแบ่งจ่าย ไม่สามารถจ่ายตูมเดียวได้ทั้งหมด 200 บาท เพราะมีเรื่องคิวรถมาเกี่ยวข้องนั่นเอง)
ถาม : ได้ข่าวว่าเส้นทางขึ้นเขาอันตรายมาก ?
ตอบ : ถ้าเป็นที่ท่องเที่ยวทั่วไป จัดว่าอันตรายมากครับ ทั้งชัน + เร็ว + ขับเปลี่ยนเลนไปมาซ้ายขวา แต่ดูแล้วคนขับชำนาญทางมาก น่าจะมีการฝึกความเข้าใจในเส้นทางและการเปลี่ยนเลนกันเป็นอย่างดีก่อนเปิดเขา ผมจึงคิดว่ากลัวได้ แต่อย่าไปวิตกจนเกินงามครับ ใครกลัวมากหรือมีผู้สูงวัยหรือเด็กเล็กก็ขอไปนั่งในรถครับ ที่ควรจะต้องดูแลเป็นพิเศษจริง ๆ แล้ว คือ ทรัพย์สินของท่าน ควรถือให้รัดกุม ในขณะเดียวกันก็ต้องมั่นใจว่ามือของท่านได้ยึดเกาะกับตัวรถอย่างมั่นคงแล้ว อะไรที่คิดว่ามีโอกาสปลิวสูง ให้เก็บใส่กระเป๋าให้หมดเลยครับ
ถาม : ควรไปช่วงไหนดี ?
ตอบ : ผมขอตอบด้วยประสบการณ์เพียง 2 ปี ที่ได้ไปเจอทั้งเฮและแห้ว ดังนี้...
1. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปถึงวัดพลวงตั้งแต่คืนวันศุกร์เวลา 21.00 น. ถึงเช้าวันอาทิตย์เวลา 08.00 น. เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่สืบเสาะมาแล้วพบว่าพีคมาก ๆ
2. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปช่วงวันหยุดยาว
3. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปช่วงวันพระ
4. ดูพยากรณ์อากาศก่อน
อ่านดูแล้วเหมือนไร้ทางเลือกมากเลยนะครับ อย่างกับว่าต้องไปแต่วันธรรมดาเท่านั้น แต่ที่ผมไปในปีนี้ คือ ออกเดินทางวันอาทิตย์ เวลาประมาณ 08.00 น. ได้ขึ้นรถที่วัดพลวงประมาณ 12.00 น. สภาพฝูงชนก็เป็นไปตามที่เห็นนะครับ สำหรับท่านใดที่ยังไม่เคยไป ผมบอกได้เลยว่านี่น้อยมากแล้ว (แถมเป็นวันอาทิตย์ด้วยนะ) ระหว่างทางที่นั่งรถเข้าวัดพลวง เจอแต่รถสวนออกมาครับ รถที่เข้าไปมีน้อยมาก ๆ ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนทำงานที่อยากไปนมัสการรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฏ ตามความคิดของผม คือ วันอาทิตย์ครับ ออกแต่เช้าเลย อาจจะกลับถึงกรุงเทพฯ ดึกหน่อย แต่น่าจะได้นอนไม่เกินเที่ยงคืนครับ ตื่นมาพอมีแรงไปทำงานไหว
ภาพด้านล่างนี้ คือ ลานจอดรถในวัดพลวง เมื่อผมลงมาจากเขา ตอนเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันอาทิตย์ครับ โดยตอนเที่ยงรถจะแน่นกว่านี้พอตัว แต่ยังหาที่จอดได้แบบไม่ยากนักครับ
ถาม : ถ้าไม่ไปเอง ไปยังไงดี ?
ตอบ : มีคิวรถตู้บริการจากอนุสาวรีย์/หมอชิต และที่อื่น ๆ ด้วยนะครับ แต่ผมไม่ได้ดูรายละเอียดมาก แต่ที่อยากแนะนำตัวโต ๆ เลย ก็คือ ขสมก. ครับ รายละเอียดตามนี้ … "เทศกาลสักการะรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี โดย ขสมก. เขต 1 อู่บางเขน เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ถึง 11 เมษายน 2556 โดยเดินรถทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันอังคาร และวันพฤหัสบดี ราคา 479 บาท (ราคานี้ยังไม่รวมค่ารถขึ้นลงเขาคิชฌกูฎอีก 200 บาท) รถออกเวลา 06.30 น. โดยจะนำท่านทำบุญไหว้พระที่ วัดเขาสุกิม (หลวงพ่อสมชาย) และกราบมนัสการสรีระสังขารพ่อท่านเขียน ที่วัดกระทิง ก่อนขึ้นเขาคิชฌกูฎ เปิดให้สำรองที่นั่ง ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2556 (ในวันและเวลาราชการ) ที่เบอร์โทร 0 2552 0885 – 6 และ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.polyboon.com/9wat"
ที่แนะนำเพราะได้ข่าวว่าไปกับขสมก. ได้คิวเร็วพิเศษ จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบโดยตรง ใครไปใช้บริการมาช่วยมายืนยันอีกเสียงนะครับ แถมได้ไปเที่ยววัดสุกิมอีกที่หนึ่งด้วยครับ เลิศทีเดียว
คิดไม่ออกแล้วครับ หากมีอะไรเพิ่มเติม หรือท่านใดอยากเสนอแนะอะไรเพิ่ม ก็สามารถมาแจกแจงกันได้นะครับ ส่วนตัวผมถ้านึกอะไรออกจะเอามาบอกต่อครับ สุดท้ายนี้...ผมขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อำนวยอวยพรทุกท่านมีแต่ความสุข ความเจริญครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ KiMaLdInHo สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
สำหรับทิวทัศน์บนยอดเขาคิชฌกูฏหรือเขาพระบาทนี้ เป็นปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา ที่นำมาผูกกับตำนานทางพระพุทธศาสนาโดยมีความเชื่อที่ว่าถ้าใครได้ขึ้นไปกราบสักการะรอยพระพุทธบาทพลวงบนยอดเขาพระบาทแล้วจะสามารถขอพรได้หนึ่งข้อ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ที่ไปขอพรทุกคนก็จะประสบความสำเร็จดังพรที่ขอไว้ จึงทำให้มีผู้เลื่อมใสและศรัทธาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
โดยมีจุดเริ่มต้นเดินทางจากวัดพลวงไปตามถนนลูกรังที่ลาดชัดมากระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร จากนั้นต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 1.2 กิโลเมตร ทั้งนี้ มีบริการรถสองแถวจากวัดพลวงถึงจุดสิ้นสุดทางรถ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ วัดกระทิง โทรศัพท์ , องค์การบริหารส่วนตำบลพลวง โทรศัพท์ และศูนย์กู้ชีพเทศบาลตำบลพลวง โทรศัพท์
และสำหรับใครที่อยากลองไปนมัสการรอยพระบาทพลวง (เขาคิชฌกูฏ) สักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน อย่างไร ก็ลองไปดูตัวอย่างจากบันทึกการเดินทางพร้อมรูปภาพที่ถ่ายทอดเรื่องราวดี ๆ ของ คุณ KiMaLdInHo สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม กันก่อนจ้า ...
กราบสวัสดีพี่น้องเพื่อนผองชาวพันทิปทุกท่านครับ
นี่เป็นรีวิวเวอร์ชั่นใหม่ของผมเลย แต่จะเป็นรีวิวที่บ้าน ๆ สุด ๆ เลยครับ เพราะมีไม่กี่รูปและงวดนี้เก็บข้อมูลมาฝากน้อยมากครับ
ตั้งใจจะไปอีกครั้ง และประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย จึงอยากนำเรื่องราวดี ๆ มาแบ่งปันครับ เพราะปีที่ผ่านมาผมเจอคลื่นมหาชนที่เยอะมาก จึงคิดว่าการเดินทางมาที่แสวงบุญแห่งนี้ เราควรรู้เขารู้เรา เพื่อจะได้มาแล้วสุขกายสบายใจและอิ่มบุญพูลสุขอย่างที่สุดครับ
เริ่มต้นเดินทางครับ ออกจากกรุงเทพฯ 8 โมงเช้า เดินทางด้วยมอเตอร์เวย์ ออกบ้านบึงแล้วยิงยาวไปเลยครับ พอขับไปจนบรรจบกับสุขุมวิทที่สามแยกแถว ๆ เขาชะเมา ก็พุ่งต่อไปจันทบุรีเลยครับ ขับไปเรื่อย ๆมาเรียง ๆ จะเจอสามแยกที่เลี้ยวไป อ.เขาคิชฌกูฏ จากนั้นก็ตามป้ายไปเลยครับ เดินทางสะดวกมาก ๆ หาไม่ยาก ๆ ระยะทางราว ๆ 250 กิโลเมตรครับ
(แผนที่อย่างละเอียดกดดู google map เอานะครับ ตรงไปตรงมาเลย)
เมื่อขับตามทางมาเรื่อย ๆ จนถึงวัดพลวง จะมีจุดจอดรถใหญ่ ๆ ที่ผมสังเกตเห็นสองจุดนะครับ อยากจอดตรงไหนก็ตามศรัทธาเลยครับ ถ้าไปวันธรรมดาผมแนะนำให้ไปจอดที่ลานจอดบริเวณวัดเลยครับ แต่ถ้าไปวันศุกร์หรือวันเสาร์ก็ไปวัดดวงเอาครับ
ผมกระโดดอย่างไวมาถึงการเตรียมขึ้นเขาเลยนะครับ ก่อนอื่นต้องไปซื้อตั๋วขึ้นรถครับ โดยการขึ้นเขาคิชฌกูฏจะใช้บริการรถ 4WD 2 จังหวะนะครับ
1. จังหวะแรก คือ ตีนเขา - กลางเขา : รถที่วิ่งจังหวะนี้ก็จะวิ่งแค่จังหวะนี้เลยครับ 555+ โดยรถเหล่านี้จะเรียกว่าคิวล่างครับ พอขนคนจากวัดพลวงขึ้นมาก็จะมาฝากฝังกันไว้ที่จุดพักกลางเขาครับ จากนั้นรถจะวิ่งลงไปรับส่งคนจากวัดพลวงขึ้นลงไปเรื่อย ๆ
2. จังหวะสอง คือ กลางเขา - ยอดเขา (ลานพระสีวลี) : คนที่ขึ้นมาที่จุดกลางเขาเเล้ว ต้องซื้อตั๋วรถจังหวะสอง เพื่อไปสู่ยอดเขา หรือที่เรียกว่าลานพระสีวลีครับ อันเป็นจุดสุดท้ายของการนั่งรถ ก่อนจะก้าวสองเท้าสู่รอยพระพุทธบาทครับ
จากวิธีการขึ้นรถที่กล่าวมานี้ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าแค่การเดินทางจังหวะขึ้นลงรถทั้งสองช่วงแบบนี้ จะวุ่นวายโกลาหลขนาดไหน ลองนึกภาพมหาชน 5,000 – 6,000 คน ในคืนวันเสาร์ ที่เวียนวนอยู่ทั้งหมด 4 ตุ๊บ (ขึ้น 2 ลง 2) นี่ก็ลากเลือดแล้วครับ ยังไม่รวมฝูงชนที่เดินขึ้นจากลานพระสีวลีสู่รอยพระพุทธบาทอีกนะครับ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ผมบอกว่า ต้องรู้เขารู้เรามาก ๆ เลยในการมาที่นี่
ภาพด้านล่างเป็นจุดขึ้นรถจุดแรกครับ ครั้งนี้ผมไปถึงราว ๆ 12.00 น. ปรากฏว่าซื้อตั๋วปุ๊ปเดินไปขึ้นรถปั๊ป ไม่มีคิวเลยครับ ต่างกับปีที่แล้ว ไปถึงประมาณ 01.00 น. ของวันอาทิตย์ ลานบริเวณนี้ (รวมไปถึงทุกแห่งหนในวัดพลวง) เต็มไปด้วยฝูงชน ผมว่าไม่น่าต่ำกว่า 7000 คนครับ และเหตุการณ์ลักษณะนั้นต้องขึ้นเขาตามคิว แต่ครั้งนี้ผมไม่ต้องรอคิวเลยครับ (เดี๋ยวตอนท้ายจะสรุปเรื่องเวลาที่เหมาะสมให้อีกทีครับ)
ผมขอโบยบินจังหวะการขึ้นรถไปเลยนะครับ มาต่อกันที่การเดินเท้าเลยครับ ลานพระสีวลีอันเป็นจุดส่งรถจุดสุดท้าย นับจากนี้เราต้องเดินเท้าแล้วครับ บริเวณปากทางขึ้น มีไม้เท้าให้ใช้ครับ บริจาค 5 บาท
ระหว่างทางจะมีจุดให้เราบริจาคเพื่อความเป็นสิริมงคลตลอดทางครับ วันที่ผมมานี่ถือว่าคนหลวมมาก ๆ ครับ เดินชิล ๆ และเดินขึ้นมาได้ราว ๆ 15 นาที (เวอร์ชั่นเดินชิล ๆ) จะมีจุดพักใหญ่เป็นจุดขายของและขายเครื่องดื่มต่าง ๆ ครับ หากหิวน้ำก็ดื่มจุดนี้ไปเลยครับ เพราะจากนี้ไปแล้วก็ยาวหน่อยนึง ไปเจอจุดกินน้ำกินท่าอีกทีก็ประตูสวรรค์ใกล้รอยพระพุทธบาทแล้วครับ แต่ระหว่างทางก็มีแคร่ไม้ให้นั่งบ้างประปรายครับ
พูดถึงเส้นทางเดินขึ้นรอยพระพุทธบาท ผมเห็นว่าช่วงที่เป็นไหล่เขา มีการขยายขนาดทางเดินออกไปให้กว้างขึ้นเกือบเท่าตัวเลยนะครับ เดาว่าเพิ่งต่อเติมใหม่ในปีนี้ เนื่องจากยังเห็นคนงานมาเก็บงานกันอยู่เลยครับ การเดินขึ้นทั่ว ๆ ไปถือว่าเบามาก ๆ เป็นการเดินเข้าที่มีขั้นบันไดที่ชัดเจนครับ สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปแล้ว ผมว่าการเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏจัดว่าเหนื่อยได้เหงื่อ แต่ไม่ทรมานครับ โดยทางที่ดูแอดเวนเจอร์หน่อยนึง จะเป็นทางจากรอยพระพุทธบาทไปลานพระอินทร์และผ้าแดงครับ ทางช่วงนี้เป็นทางป่า ดินอัดแน่นครับ
จากที่บอกไว้ครับ เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ จนผ่านประตูสวรรค์ก็เตรียมเฮได้เลย เพราะคุณใกล้จะมาถึงรอยพระพุทธบาทแล้วครับ ...
ผมขอข้ามการรีวิวบริเวณลานรอยพระพุทธบาทไปนะครับ อันนี้ฝากไว้สำหรับท่านใดที่อยากเห็นวิวมุมสูงของหินรูปบาตร ให้เดินต่อไปทางผ้าแดงครับ เดินไปราว ๆ 10 - 15 นาที (แบบคนหลวม ๆ) จะขึ้นไปพบกับจุดชมวิวครับ จากจุดชมวิว เดินแอดเวนเจอร์ราว ๆ 15 นาที (แบบคนหลวม ๆ) จะพบกับลานพระอินทร์ และจากลานนี้ไปผ้าแดงอีกร่วม 700 - 800 เมตรได้ครับ ได้ข่าวว่าเดินข้ามเขากันเลยทีเดียว
ขอจบการรีวิวเชิงรายละเอียดนะครับ บอกแล้วว่าสั้น ๆ จริง ๆ 555 ต่อไปผมจะขอมาแชร์ข้อมูลแบบ FAQs นะครับ คือ มันไม่ใช่ทฤษฎีหรือหลักการที่ตายตัว แต่ผมคิดว่ามันมีประโยชน์มาก ๆ สำหรับการเดินทางมาแสวงบุญ ณ ที่แห่งนี้ เพราะการเดินทางร่วม ๆ 250 กิโลเมตร แต่ไม่สามารถขึ้นไปนมัสการได้แบบที่ผมเผชิญเมื่อปีที่แล้ว มันเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจมาก ๆ ครับ
ขอเท้าความเล็กน้อยครับ ปีที่แล้วผมไปคืนวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันมหาชนแห่งสัปดาห์อยู่แล้ว แถมยังมีฝนตกโปรยปราย อันทำให้รถต้องหยุดวิ่งเป็นระยะ ๆ ครับ จากที่ไปรับคิวตอนแรกที่ไปถึง ต้องรอคิวรถประมาณ 400 คัน พอกลับมานอนรอในรถ ตื่นเช้ามาอีกทีไปเช็กคิว ยังเหลืออีก 340 คิวรถ และผู้จัดคิวรถประกาศยุติการโดยสารขึ้นเขาโดยไม่มีกำหนด เลยต้องโบกมือลากลับบ้านไปครับ...คิดว่าวันนั้นมีคนถอดใจไม่น้อยเหมือนกัน
ถาม : การเดินทางขึ้นเขาคิชฌกูฏมีกี่วิธี ค่าใช้จ่ายอย่างไร
ตอบ : มี 2 วิธีครับ คือเดินตั้งแต่แรกกับนั่งรถขึ้นไป แต่จากสภาพที่ผมไปดูแล้ว ไม่แนะนำให้เดินขึ้นไปอย่างแรงเลยครับ เพราะรถขับกันฉวัดเฉวียนทำเวลามาก ๆ โดยทางเดินกับทางรถวิ่งเป็นทางเดียวกัน มีโอกาสจะเกิดอุบัติเหตุกับตัวคุณเองและรถที่สัญจรได้สูงมากครับ ส่วนค่าใช้จ่ายการนั่งรถ จังหวะละ 50 บาท รวมเบ็ดเสร็จก็ท่านละ 200 บาทครับ (ขึ้น 2 ลง 2 แต่ละงวดจะแบ่งจ่าย ไม่สามารถจ่ายตูมเดียวได้ทั้งหมด 200 บาท เพราะมีเรื่องคิวรถมาเกี่ยวข้องนั่นเอง)
ถาม : ได้ข่าวว่าเส้นทางขึ้นเขาอันตรายมาก ?
ตอบ : ถ้าเป็นที่ท่องเที่ยวทั่วไป จัดว่าอันตรายมากครับ ทั้งชัน + เร็ว + ขับเปลี่ยนเลนไปมาซ้ายขวา แต่ดูแล้วคนขับชำนาญทางมาก น่าจะมีการฝึกความเข้าใจในเส้นทางและการเปลี่ยนเลนกันเป็นอย่างดีก่อนเปิดเขา ผมจึงคิดว่ากลัวได้ แต่อย่าไปวิตกจนเกินงามครับ ใครกลัวมากหรือมีผู้สูงวัยหรือเด็กเล็กก็ขอไปนั่งในรถครับ ที่ควรจะต้องดูแลเป็นพิเศษจริง ๆ แล้ว คือ ทรัพย์สินของท่าน ควรถือให้รัดกุม ในขณะเดียวกันก็ต้องมั่นใจว่ามือของท่านได้ยึดเกาะกับตัวรถอย่างมั่นคงแล้ว อะไรที่คิดว่ามีโอกาสปลิวสูง ให้เก็บใส่กระเป๋าให้หมดเลยครับ
ถาม : ควรไปช่วงไหนดี ?
ตอบ : ผมขอตอบด้วยประสบการณ์เพียง 2 ปี ที่ได้ไปเจอทั้งเฮและแห้ว ดังนี้...
1. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปถึงวัดพลวงตั้งแต่คืนวันศุกร์เวลา 21.00 น. ถึงเช้าวันอาทิตย์เวลา 08.00 น. เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่สืบเสาะมาแล้วพบว่าพีคมาก ๆ
2. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปช่วงวันหยุดยาว
3. หลีกเลี่ยงการเดินทางไปช่วงวันพระ
4. ดูพยากรณ์อากาศก่อน
อ่านดูแล้วเหมือนไร้ทางเลือกมากเลยนะครับ อย่างกับว่าต้องไปแต่วันธรรมดาเท่านั้น แต่ที่ผมไปในปีนี้ คือ ออกเดินทางวันอาทิตย์ เวลาประมาณ 08.00 น. ได้ขึ้นรถที่วัดพลวงประมาณ 12.00 น. สภาพฝูงชนก็เป็นไปตามที่เห็นนะครับ สำหรับท่านใดที่ยังไม่เคยไป ผมบอกได้เลยว่านี่น้อยมากแล้ว (แถมเป็นวันอาทิตย์ด้วยนะ) ระหว่างทางที่นั่งรถเข้าวัดพลวง เจอแต่รถสวนออกมาครับ รถที่เข้าไปมีน้อยมาก ๆ ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนทำงานที่อยากไปนมัสการรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฏ ตามความคิดของผม คือ วันอาทิตย์ครับ ออกแต่เช้าเลย อาจจะกลับถึงกรุงเทพฯ ดึกหน่อย แต่น่าจะได้นอนไม่เกินเที่ยงคืนครับ ตื่นมาพอมีแรงไปทำงานไหว
ภาพด้านล่างนี้ คือ ลานจอดรถในวัดพลวง เมื่อผมลงมาจากเขา ตอนเวลาประมาณ 15.00 น. ของวันอาทิตย์ครับ โดยตอนเที่ยงรถจะแน่นกว่านี้พอตัว แต่ยังหาที่จอดได้แบบไม่ยากนักครับ
ถาม : ถ้าไม่ไปเอง ไปยังไงดี ?
ตอบ : มีคิวรถตู้บริการจากอนุสาวรีย์/หมอชิต และที่อื่น ๆ ด้วยนะครับ แต่ผมไม่ได้ดูรายละเอียดมาก แต่ที่อยากแนะนำตัวโต ๆ เลย ก็คือ ขสมก. ครับ รายละเอียดตามนี้ … "เทศกาลสักการะรอยพระพุทธบาท เขาคิชฌกูฎ จังหวัดจันทบุรี โดย ขสมก. เขต 1 อู่บางเขน เปิดบริการตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ถึง 11 เมษายน 2556 โดยเดินรถทุกวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันอังคาร และวันพฤหัสบดี ราคา 479 บาท (ราคานี้ยังไม่รวมค่ารถขึ้นลงเขาคิชฌกูฎอีก 200 บาท) รถออกเวลา 06.30 น. โดยจะนำท่านทำบุญไหว้พระที่ วัดเขาสุกิม (หลวงพ่อสมชาย) และกราบมนัสการสรีระสังขารพ่อท่านเขียน ที่วัดกระทิง ก่อนขึ้นเขาคิชฌกูฎ เปิดให้สำรองที่นั่ง ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2556 (ในวันและเวลาราชการ) ที่เบอร์โทร 0 2552 0885 – 6 และ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.polyboon.com/9wat"
ที่แนะนำเพราะได้ข่าวว่าไปกับขสมก. ได้คิวเร็วพิเศษ จริงเท็จอย่างไรไม่ทราบโดยตรง ใครไปใช้บริการมาช่วยมายืนยันอีกเสียงนะครับ แถมได้ไปเที่ยววัดสุกิมอีกที่หนึ่งด้วยครับ เลิศทีเดียว
คิดไม่ออกแล้วครับ หากมีอะไรเพิ่มเติม หรือท่านใดอยากเสนอแนะอะไรเพิ่ม ก็สามารถมาแจกแจงกันได้นะครับ ส่วนตัวผมถ้านึกอะไรออกจะเอามาบอกต่อครับ สุดท้ายนี้...ผมขออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อำนวยอวยพรทุกท่านมีแต่ความสุข ความเจริญครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ KiMaLdInHo สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
Post a Comment