Prometheus : โพรมีธีอุส การค้นหาต้นกำเนิดของมนุษย์ ที่นำไปสู่จุดจบของโลก



ได้มีโอกาสดูรอบสื่อเมื่อวานที่ผ่านมา กับหนังที่เหมือนกับว่าจะเป็นต้นกำเนิดของจักรวาลหนังชุด Alien ที่เคยโด่งดังเมื่อหลายปีที่ผ่านมา โดยตัวหนังเรื่องนี้มีเข้าฉายทั้งในระบบ 4DX เฉพาะที่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ , 3D , Imax 3D และระบบปกติ ซึ่งสามารถรับชมได้ตามกำลังทรัพย์ของแต่ละคนเลยทีเดียว


ทีมนักวิทยาศาสตร์และผู้สำรวจบนยานโพรมีธีอุส ไม่มีจุดหมายใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการเดินทางไปหาคำตอบในข้อสงสัยเกี่ยวกับ สิ่งมีชีวิตที่มีความลึกซึ้ง นักวิทยาศาสตร์หนุ่มมสาวผู้อัจฉริยะทั้งสอง ชอว์ และ ฮอลโลเวย์ ซึ่งมีแรงจูงใจตรงกันข้ามกันเป็นผู้นำการเดินทาง ชอว์เป็นผู้มีความศรัทธา เธออยากพบกับ “พระเจ้า” ในแบบที่ใกล้เคียงกับจินตนาการของเธอด้านศาสนาที่เก่าแก่ แต่หลังจากที่พวกเขาได้ขึ้นยาน โพรมีธีอุส ไปสู่ดวงดาวที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นผู้สร้างเหล่ามนุษยชาติขึ้นมา สิ่งที่พวกได้เจอกลับไม่ใช่ พระเจ้า อย่างที่พวกเขาหวังไว้ แต่มันกลับเป็น พระเจ้า ที่รอการเดินทางของพวกเขาเพื่อที่จะตื่นมาทำลายล้าง
Prometheus กำกับการแสดงโดยผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อตต์ ผู้กำกับที่โด่งดังมาจากหนัง ไซไฟ คลาสสิค มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Blade Runner หรือแม้แต่หนังไซไฟ สยองขวัญ ที่โด่งดังอย่าง Alien ภาคแรก โดยในปีนี้ผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อตต์ ก็ได้กลับมาพร้อมกับการชุมชีวิตหนังที่เคยตอกย้ำความมีคุณภาพของเขาอย่าง Alien มาทำเป็นภาคที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภาคต้นกับหนังที่มีชื่อว่า Prometheus ซึ่งหลายคำถามที่ผมคิดว่าหลายคนคงสงสัยกันแน่ๆคงหนีไม่พ้น ‘ถ้าหากไม่เคยดูหนังชุด Alien มาก่อนสักภาค จะสามารถดู Prometheus รู้เรื่องหรือไม่’ ซึ่งผมก็ต้องขอตอบไว้เลยว่า ‘ดูรู้เรื่องอย่างแน่นอน’ เพราะใน Prometheus มันเป็นเรื่องราวใหม่แทบทั้งหมด จะมีแค่บางจุดเท่านั้นที่ทำมาเพื่อเชื่อมโยงกับจักรวาลหนัง Alien ซึ่งถ้าหากใครอยากจะเข้าใจก็คงต้องตามดูมาก่อนหละ
และก่อนที่จะเข้าสู่รีวิว ผมก็ต้องขอบอกไว้เลยว่า Prometheus มันไม่ใช่หนัง แอ็คชั่น ไซไฟ อย่างที่คุณเห็นตัวอย่าง เพราะเอาเข้าจริงๆ Prometheus มันเป็นหนังแนว ดราม่า ไซไฟ ที่มีปนความสยองขวัญ อารมณ์หนังประมาณ Alien เข้ามาเป็นระยะๆ และสิ่งที่โดดเด่นควบคู่ไปกับเนื้อเรื่อง และ ซีจี อันทรงพลังของ Prometheus เลยคงหนีไม่พ้นด้านของ งานภาพ และ ระบบ 3D ที่ในเรื่องนี้ต้องขอบอกเลยว่า ‘น่าตื่นตา’ เพราะระบบ 3D ของ Prometheus เป็น 3D ที่สามารถทำให้คนดูมองเห็นทั้งความ ตื่น ลึก หนา บาง ของฉากในหนังได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อรวมกับงานภาพสุดอลังการของผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อตต์
ผลลัพธุ์ที่ออกมาของหนังจึงค่อนข้างน่าพอใจ และมีฉากให้คนดูได้ร้อง ว้าว เป็นระยะมากพอสมควร แถมสิ่งที่ผมชอบไม่แพ้กันใน Prometheus นอกจากงานด้านภาพ และ ระบบ 3D ที่ค่อนข้างอลังการแล้ว คงหนีไม่พ้นด้านของ เนื้อเรื่อง และ ตัวบท ของหนัง ซึ่งถึงแม้ เส้นเรื่อง ของ Prometheus อาจจะออกมาค่อนข้างเบาบาง และ หาทางออกง่ายตามที่หลายคนว่าก็จริง แต่ในระหว่างการเดินทางหาคำตอบการกำเนิดของ มนุษยชาติ ใน Prometheus ผมกลับชอบสิ่งที่ผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อตต์ ใส่เข้ามาไปพร้อมๆกับฉากระทึกขวัญ และสิ่งนั้นคือประเด็นเกี่ยวกับ ‘สันดานมนุษย์’ ที่ Prometheus ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่ามนุษย์เราจะผ่านไปกี่สิบปี หรือแม้แต่ เทคโนโลยี ของเราจะก้าวไปไกลมากเพียงใด แต่สิ่งที่มนุษย์ไม่ก้าวไปไกลเลยคงเป็นด้านของ ‘สันดาน’ ที่ยังติดตัวมนุษย์ไป
เพราะถึงแม้ Prometheus อาจจะไม่ได้แสดงถึงความเห็นแก่ตัว และ สันดานดิบ ของมนุษย์ได้ดีเท่า Alien แต่หลายๆประเด็นที่ผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อตต์ ใส่เข้ามาเพื่อเสียดสีความเป็นมนุษย์ก็ยังถือว่าเป็นประเด็นที่เจ็บแสบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านของ ความอยากรู้อยากเห็น ที่ไม่เคยรู้จบของมนุษย์ หรือแม้แต่การที่มนุษย์ชอบพูดประชด ประชัน โดยที่ไม่สนใจความรู้สึกของคนที่ตนพูดด้วย ที่ประเด็นเหล่านี้นอกจากผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อตต์ จะสามารถใส่เข้ามาได้อย่างไม่รู้สึกว่ายัดเยียดแล้ว หนำซ้ำมันยังสามารถผสมผสานไปกับ ฉากระทึกขวัญ ที่มีกลิ่นไออารมณ์ความเป็น Alien ในภาคแรกได้อย่างค่อนข้างลงตัวอีกด้วยนะ
แถมสิ่งที่ต้องขอชมผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก๊อตต์ อีกอย่างคงหนีไม่พ้นการที่เขาสามารถสร้างเนื้อเรื่อง Prometheus มาเพื่อไขความลับเกี่ยวกับจักรวาลในหนังชุด Alien ให้กับแฟนพันธุ์แท้ได้อย่างลงตัว แถมหนำซ้ำในด้านตอนจบของหนังยังสามารถมีเนื้อเรื่องที่สามารถสร้างภาคต่อได้อย่างง่ายดายอีกด้วย โดยถ้าหากใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังชุด Alien มาตั้งแต่ภาคแรก ผมคิดว่า Prometheus อาจจะไม่ใช่หนังที่เติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของ Alien ภาคแรกได้ดีมากนัก แต่อย่างน้อยหนังก็ยังสามารถใส่อารมณ์ พร้อมกับ กลิ่นไอ ความคลาสสิค และ ลูกเล่นเก่าๆจาก Alien ภาคแรก โดยมาดัดแปลงให้มันดูเก๋ไก๋ขึ้น
และสิ่งที่ต้องขอชมไม่แพ้ด้านของ งานสร้าง , 3D และประเด็น พร้อมกับอารมณ์ความสยองขวัญของหนังเลยคงหนีไม่พ้น การแสดง ที่ใน Prometheus ก็ถือว่าขนนักแสดงคุณภาพมามากมายไม่ว่าจะเป็น ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์, ชาร์ลิช เทอรอน, นูมิ ราเพซ หรือแม้แต่ กาย เพียร์ซ โดยทุกคนสามารถรับหน้าที่ตัวละครของตัวเองได้อย่างมีชั้นเชิง และ น่าสนใจ แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ที่หลังจากเพิ่งโชว์บทชายติดเซ็กห์ใน Shame ไปเมื่อต้นปี ในปีนี้เขาก็ได้รับบทเป็น หุ่นยนต์ ที่สามารถแสดงทั้งสีหน้า และ แววตา ออกมาได้ค่อนข้างเหมือน หุ่นยนต์ เป็นอย่างมาก โดยถึงแม้ว่าบทหุ่นยนต์ เดวิด ของ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ น่าจะไม่ได้ส่งให้เขาได้ชิงออสการ์อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ กลายเป็นนักแสดงชายขวัญใจผมไปอีกคนแล้ว
ซึ่งโดยสรุปแล้วถึงแม้ Prometheus อาจจะมีเส้นเรื่องที่เบาบาง และ หาทางออกในตอนจบง่ายเกินไป แต่ระหว่างการเดินทางไปสู่ตอนจบ ผมกลับชอบเรื่องราวของการกัดจิก สันดานมนุษย์ พร้อมไปกับงานด้านภาพที่ค่อนข้างอลังการ และสามารถผสมผสานไปกับอารมณ์สยองขวัญแนว Alien ได้อย่างลงตัวเลยหละ
เรื่องนี้ผมให้ 9/10 ครับ
โดย ลูกอบรสเขียด
Credit : mthai.com,Youtube.com
เรียบเรียง : ruengdd.com,เรื่องดีดี.com