อีืกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ โดย น้าเน๊ก

คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 
1 ปี เท่ากับ 365 วัน 
แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน 
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที 
ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์ 
อุแม่เจ้า........แสดงว่า 
เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง 
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา 
แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน 
เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก... 
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย 
และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ 


แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข 
ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน 
เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง 
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู 
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก 
พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป โอ๊ย..... กลุ้ม 
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน 
น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ 
ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี 
แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน 
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ 
อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ! 
อุแม่เจ้าเทค 2 
คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง 
สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!! 
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู 
กางปฏิทินออกกว้าง ๆ 
เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้ 
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว 
นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่ 
เราไม่ค่อยได้มองมัน 
เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี 
แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน 
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น ...... 
คำนวณเองบ้างซิว้อยย..... 
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ 
ผลลัพธ์ที่ได้ 
เราจะทำยังไงกับมันดี ..... 
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ 
นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้ 
เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน ' 
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ 
ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ 
ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน 
เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่า กูจะเป็นอะไรดี 
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น
ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ
รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า 

และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด 
ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย 
บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล 
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี 
อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ 
ลองคิดแบบนี้บ้าง 
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย 
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ 
ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ 
ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย 
แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก 

ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง 
รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล 


....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน 
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด 
ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น 
แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง 
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน......... 
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ...... 
แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน 
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด 
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก 
ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ 
อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก 
รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ 
เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่ 
โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา