9.9.2014เปิดตัว iPhone 6,iPhone 6 Plus,apple watch อย่างเป็นทางการ
วันที่9.9.2014 เปิดตัวสินค้าครั้งใหญ่ของ Apple ได้มีการประกาศเปิดตัว iPhone iPhone 6,iPhone 6 Plus และApple Watchครับ
iPhone 6 หน้าจอ 4.7 นิ้วมาพร้อมกับความละเอียดหน้าจอ 1134×750 พิกเซล ที่ 326ppi ส่วน iPhone 6 Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว นั้นมาพร้อมกับความละเอียดหน้าจอ 1920×1080 พิกเซล ที่ 401 ppi
สเป็คคร่าวๆของ iPhone 6
- ซีพียูใหม่ Apple A8 (64 บิท)
- หน้าจอ 4.7 นิ้ว (1334×750 พิกเซล) Apple เรียกจอแบบนี้ว่า Retina HD
- กล้อง 8 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ขนาด 1.5 ไมครอน F/2.2 ระบบกันสั่นแบบซอฟต์แวร์ ถ่ายสโลโมชั่นได้สูงสุด 240fps
- ความจุ 16, 64, 128GB
- มีบารอมิเตอร์
- รองรับ LTE 20 คลื่นความถี่
- รองรับ LTE-A ละ VoLTE
- ระบบปฏิบัติการ iOS 8
- บาง 6.9 มิลลิเมตร
สเป็คคร่าวๆของ iPhone 6 Plus
- ซีพียูใหม่ Apple A8 (64 บิท)
- หน้าจอ 5.5 นิ้ว (1920×1080 พิกเซล) Apple เรียกจอแบบนี้ว่า Retina HD
- กล้อง 8 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ขนาด 1.5 ไมครอน F/2.2 ระบบกันสั่นแบบ OIS ถ่ายสโลโมชั่นได้สูงสุด 240fps
- ความจุ 16, 64, 128GB
- มีบารอมิเตอร์
- รองรับ LTE 20 คลื่นความถี่
- รองรับ LTE-A ละ VoLTE
- ระบบปฏิบัติการ iOS 8
- บาง 7.1 มิลลิเมตร
iPhone 6 Plus จะมีจุดแตกต่างจาก iPhone 6 ตรงที่ มีโหมดแสดงผลในแนวนอน (Landscape Mode)
เทียบขนาดหน้าจอ IPHONE 5S กับ IPHONE 6 และ IPHONE 6 PLUS
IPHONE 6 และ IPHONE 6 PLUS บางขึ้น
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับความบางเพรียวขึ้น โดย iPhone 6 นั้นบางเพียง 6.9 มิลลิเมตร ส่วน iPhone 6 Plus บางเพียง 7.1 มิลลิเมตร ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้บางกว่า iPhone 5s ทั้งสิ้นเลยครับ
ซีพียูใหม่ APPLE A8 – 64 BIT
Apple บอกว่าซีพียูใหม่ Apple A8 แบบ 64 บิทที่ใช้บน iPhone 6 ทั้งสองรุ่นนั้น มีประสิทธิภาพประมวลผลกราฟิกสูงกว่าเดิมถึง 50% และมีการเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ถึง 2 เท่าในขณะที่ตัวชิปมีขนาดเล็กลง 13% นอกจากนี้ยังแรงกว่า iPhone รุ่นแรกสุดถึง 50 เท่า
กล้อง 8 ล้านพิกเซล
กล้องของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ยังคงความละเอียดเดิมคือ 8 ล้านพิกเซล แต่เปลี่ยนเซนเซอร์ใหม่ มาพร้อมกับระบบโฟกัสใหม่ที่เรียกว่า Focus Pixel (phase detection แบบเดียวกับ DSLR) มีขนาดเซนเซอร์ 1.5 ไมครอน และรูรับแสงเปิดได้กว้างสุดที่ F/2.2 และส่วนที่แตกต่างกันของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ก็คือกล้องจะมีระบบกันสั่น OIS แค่บน iPhone 6 Plus
อุปกรณ์เสริม
อุปกรณ์เสริมของ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus คือเคสยางซิลิโคน และเคสหนัง
ราคาของ IPHONE 6 และ IPHONE 6 PLUS
iPhone 6 นั้นมีราคาเริ่มต้นที่ 16GB ราคา 199 เหรียญ (ราวๆ 6,000 บาท) แต่ราคานี้เป็นราคาแบบติดสัญญา 2 ปีครับ ยังไม่ใช่ราคาเครื่องเปล่า ส่วน iPhone 6 Plus นั้นมีราคาเริ่มต้นที่ 16GB ราคา 299 เหรียญ (ราวๆ 9,000 บาท) และเป็นราคาที่ติดสัญญา 2 ปี เช่นกัน
ราคาของ iPhone 6
- iPhon 6 ความจุ 16GB ราคา 199 เหรียญ (ราวๆ 6,000 บาท)
- iPhone 6 ความจุ 64 GB ราคา 299 เหรียญ (ราวๆ 9,000 บาท)
- iPhone 6 ความจุ 128 GB ราคา 399 เหรียญ (ราวๆ 12,000 บาท)
ราคาของ iPhone 6 Plus
- iPhon 6 Plus ความจุ 16GB ราคา 299 เหรียญ (ราวๆ 9,000 บาท)
- iPhone 6 Plus ความจุ 64 GB ราคา 399 เหรียญ (ราวๆ 12,000 บาท)
- iPhone 6 Plus ความจุ 128 GB ราคา 499 เหรียญ (ราวๆ 15,000 บาท)
วันวางจำหน่าย
iPhone 6 และ iPhone 6 Plus จะเปิดให้สั่งจองในวันที่ 12 กันยายนนี้ และจะวางจำหน่ายในวันที่ 19 กันยายนใน 9 ประเทศแรก (ไม่มีประเทศไทย)
Apple Watch นาฬิกาอัจฉริยะ เปิดตัวแล้ว! มีให้เลือก 2 ขนาดหน้าจอ อัดแน่นด้วยฟีเจอร์คุณภาพ สามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้ วางจำหน่ายต้นปี 2015 ราคาหมื่นต้นๆ
ในงานอีเวนท์ Apple ที่นอกจากจะเปิดตัว iPhone 6 และ iPhone 6 Plus แล้ว ยังได้มีการเปิดตัว อุปกรณ์สวมใส่ อีกหนึ่งรุ่น ที่เรียกได้ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทั่วโลกจับตามองเลยก็ว่าได้ กับ Apple Watch หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ iWatch นั่นเอง
สำหรับดีไซน์ของ Apple Watch นั้น เมื่อมองภาพรวม อาจจะดูเหมือน นาฬิกาธรรมดาๆ แต่ถ้าเจาะลึกถึงฟีเจอร์ภายใน ต้องบอกว่า Smartwatch รุ่นนี้ มีดีไม่แพ้คู่แข่งเลยก็ว่าได้ มาดูกันครับว่า Apple Watch มีคุณสมบัติที่น่าสนใจอะไรกันบ้าง
Apple Watch มีให้เลือก 3 คอลเลคชั่น
เนื่องจากความชอบของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน ทำให้ Apple Watch มีให้เลือกทั้งหมด 3 คอลเลคชั่นครับ โดยแต่ละคอลเลคชั่น จะมีให้เลือก 2 ขนาดหน้าจอ พร้อมกับสายรัดข้อมือดีไซน์ต่างกัน ดังนี้
• Apple Watch : เป็นรุ่นปกติ ตัวเรือนทำจาก Stainless Steel กระจกหน้าจอแบบซัฟไฟร์
• Apple Watch Sport : ตัวเรือนทำมาจาก Anodised Aluminium กระจกหน้าจอแบบ Ion-X รุ่นนี้โดดเด่นที่สายนาฬิกา ที่มีสีสันสดใส
• Apple Watch Edition : ตัวเรือนเป็นทองคำ 18 กะรัต พร้อมกระจกหน้าจอแบบซัฟไฟร์ สายนาฬิกาแบบตัวล็อค
• Apple Watch Sport : ตัวเรือนทำมาจาก Anodised Aluminium กระจกหน้าจอแบบ Ion-X รุ่นนี้โดดเด่นที่สายนาฬิกา ที่มีสีสันสดใส
• Apple Watch Edition : ตัวเรือนเป็นทองคำ 18 กะรัต พร้อมกระจกหน้าจอแบบซัฟไฟร์ สายนาฬิกาแบบตัวล็อค
มีให้เลือก 2 ขนาดหน้าจอ
Apple Watch มีให้เลือก 2 ขนาดหน้าจอครับ แต่ในงานเปิดตัวนั้น ทางแอปเปิล ไม่ได้ระบุข้อมูลว่า แต่ละรุ่น มีขนาดหน้าจออยู่ที่กี่นิ้ว แต่กลับระบุว่า รุ่นหน้าจอเล็ก ความสูงอยู่ที่ 38 มิลลิเมตร ส่วนรุ่นหน้าจอใหญ่ ความสูงอยู่ที่ 42 มิลลิเมตร
ตัวเรือน มีให้เลือก 6 สี
Apple Watch แต่ละคอลเลคชั่น จะมีตัวเรือนให้เลือก 2 สี ตามความชอบ ซึ่งได้แก่
• Apple Watch ได้แก่ สี Stainless Steel กับ สี Space Black Stainless Steel
• Apple Watch Sport ได้แก่ สี Silver Aluminum กับ สี Space Gray Aluminum
• Apple Watch Edition ได้แก่ สี 18-Karat Yellow Gold และ สี 18-Karat Rose Gold
• Apple Watch Sport ได้แก่ สี Silver Aluminum กับ สี Space Gray Aluminum
• Apple Watch Edition ได้แก่ สี 18-Karat Yellow Gold และ สี 18-Karat Rose Gold
สายนาฬิกา มีให้เลือก 6 สไตล์
นอกจากตัวเรือนแล้ว สายนาฬิกา ก็ยังมีให้เลือกหลายแบบเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น สาย Link Bracelet, สาย Sport Band, สาย Leather Loop, สาย Classic Buckle, สาย Modern Buckle และ สาย Milanese Loop ที่สำคัญ สามารถเปลี่ยนสายได้ง่ายอีกด้วย
หน้าปัดกว่าล้านรูปแบบ!
ไม่ได้อ่านผิดหรอกครับ เพราะ Apple Watch มีอินเทอร์เฟสของหน้าปัด ให้เลือกมากมายกว่าล้านรูปแบบ ซึ่งมีทั้งแบบ ดีไซน์ดั้งเดิม ไปจนถึงแบบตัวการ์ตูน และภาพกราฟฟิค นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนสี, เลือกลาย และองค์ประกอบอื่นๆ ได้อีกมากมาย
Digital Crown เม็ดมะยมไฮเทค
แม้ว่า Apple Watch จะมาพร้อมกับหน้าจอแบบสัมผัส แต่ก็มีขนาดเล็กเกินไป ซึ่งการใช้นิ้ว Pinch to Zoom จะบดบังหน้าจอไปเสียหมด ด้วยเหตุนี้ แอปเปิล จึงได้พัฒนา Digital Crown หรือเม็ดมะยม ขึ้นมา ซึ่งจะช่วยทำให้การใช้งาน Apple Watch ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่ง Digital Crown นี้ สามารถหมุนได้เพื่อแทนการซูมเข้าและออก หรือใช้เพื่อเลื่อนหน้าจอขึ้นลง
นอกจากนี้ ยังเปรียบเสมือนปุ่ม Home อีกด้วย การกด เม็ดมะยม 1 ครั้ง จะกลับเข้าสู่หน้า Homescreen แต่ถ้ากด 2 ครั้ง จะเป็นการแสดงหน้าปัดนาฬิกา
Digital Touch ส่งใจไปให้ผู้ใช้ Apple Watch ด้วยกัน
ด้านล่างเม็ดมะยม จะมีปุ่มที่เรียกว่า Digital Touch เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกับผู้ที่ใช้ Apple Watch ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การวาดภาพ, Walkie-Talkie คุยสลับกันไปมา, Tap แตะเพื่อสะกิด หรือ Heartbeat ส่งจังหวะการเต้นของหัวใจ ด้วยการใช้ 2 นิ้วกดลงไปบนหน้าจอ
Apple Watch สามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้
อีกหนึ่งคุณสมบัติบน Apple Watch ก็คือ สามารถรับส่งข้อความ (ด้วยการใช้คำสั่งเสียงแทนการพิมพ์), รองรับการใช้งานโทรศัพท์ ด้วยการใช้ไมโครโฟนที่มีอยู่ในตัว หรือจะโอนสายไปยัง iPhone เพื่อให้คุยได้นานขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถโอนสายจาก Apple Watch ไปยัง Speaker phone บนรถยนต์ หรือหูฟัง Bluetooth ได้ และสุดท้าย เปิดอ่านอีเมลได้ครับ
ชาร์จแบตเตอรี่ได้ง่ายขึ้น ด้วยที่ชาร์จแบบ MagSafe
สำหรับที่ชาร์จของ Apple Watch นั้น แอปเปิลได้ออกแบบด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี MagSafe เข้ากับการชาร์จแบบเหนี่ยวนำ (inductive charging) เพียงแค่ถือหัวต่อไว้ใกล้ๆ ด้านหลังของนาฬิกา แล้วแม่เหล็กก็จะดูดให้ติดเข้าที่โดยอัตโนมัติให้เอง ซึ่งสามารถใช้งานได้ง่าย แม้จะอยู่ในที่มืด
ไม่ต้องใช้ iPhone 6 ก็เชื่อมต่อ Apple Watch ได้
Apple Watch รองรับบน iPhone ที่มี Bluetooth LE ครับ ซึ่งได้แก่ iPhone 5, iPhone 5C, iPhone 5S และ iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus ที่เพิ่งเปิดตัวไปด้วยเช่นกัน
ราคาและวันวางจำหน่าย Apple Watch
สำหรับราคา Apple Watch ในสหรัฐฯ เริ่มที่ $349 คิดเป็นเงินไทยราวๆ 12,000 บาท แต่ใครที่อยากได้ คงต้องอดใจกันอีกสักหน่อย เพราะ Apple Watch วางจำหน่ายต้นปี 2015 ทั้ง 3 โมเดล Apple Watch, Apple Watch Sport และ Apple Watch Edition งานนี้ มีเวลาให้เก็บเงินกันยาวๆ ครับ
---------------------------------------
ข้อมูลโดย : techmoblog.com,Whatphone.tv,appdisqus.com,apple.com
ข้อมูลโดย : techmoblog.com,Whatphone.tv,appdisqus.com,apple.com
เรียบเรียง : Ruengdd.com
Post a Comment