ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ในงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ณ วัดอโศการาม
จากหนังสือธรรมะทะลุโลกของท่านพ่อลี ธัมมธโร
โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร
วัดป่าภูผาสูง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา
คนทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในโลก ส่วนมากล้วนตายไปกับความมืดบอด ตอนยังมีชีวิตก็หลงมัวเมาสนุกสนานเพลิดเพลินในการอยู่การกิน หัวเราะร้องไห้กันไป ตามแต่จะประสบสุขทุกข์ รักและชัง ปล่อยตัวปล่อยใจให้ชีวิตเดินไปตามยถากรรม โดยไม่สนใจที่จะคิดสร้างกรรมดีขึ้นด้วยจิตใจและเรี่ยวแรงตามกำลังสติปัญญาที่มี ปล่อยให้วันคืนล่วงไปเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ที่เขาเลี้ยงอย่างอ้วนพี แล้วก็นำไปสู่โรงฆ่า..ช่างน่าเวทนาเสียจริงๆ!
แล้วก็สรุปเอาเองว่า “เป็นเพราะโชคชะตา เป็นเพราะพรหมลิขิต”
ที่จริงเป็นเพราะการกระทำของตนนั้นเอง!
โคที่ถูกเขานำไปสู่โรงฆ่าไม่ใช่เป็นเพราะความที่เกิดมาเป็นโค แต่เป็นเพราะจิตดวงนี้ไม่ได้สร้างคุณงามดีไว้ในชาติปางก่อน เมื่อความดีน้อย จึงมาเกิดเป็นโค เป็นหมู หรือเป็นสัตว์อื่นๆ ในภพภูมิอื่นๆ ที่ตกต่ำ ถ้าความดีมากก็เกิดเป็นมนุษย์ เทวดาพรหม ความดีมากสุดได้ถึงวิมุตติพระนิพพานเป็นพระอรหันต์ในชาติปัจจุบัน
ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายจึงเวียนว่ายในห้วงน้ำคือการเทียวเกิดเทียวตายไม่มีที่สิ้นสุด
..เหมือนดวงอาทิตย์ ใครจะอ้อนวอนขอร้องให้คงอยู่กับที่ ย่อมเป็นไปไม่ได้
..เหมือนคนคร่ำครวญร้องไห้อ้อนวอนพระอาทิตย์ว่าอย่าอัสดงเลย..ผู้ร่ำไห้จักต้องมีน้ำตาเจิ่งนองเป็นสายเลือดและตายไปเปล่าๆ
..ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครหยุดยั้งการตายได้
พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกเท่านั้นที่สามารถหยุดการเกิดตายได้
ความตายสำหรับท่าน เป็นทางแห่งแสงสว่าง เพราะท่านตายอย่างสมประสงค์ ไปสู่แดนอันเกษมคือพระนิพพาน
นอกจากนี้ท่านยังสามารถรู้วันเกิดตาย เนื่องในอดีตซาติของท่านเองและคนอื่น
ความตายกับท่านเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากและซับซ้อนเลย
แต่สำหรับปุถุชนคนหนาปัญญาหยาบแล้ว ชีวิตหลังความตายเป็นชีวิตที่ลี้ลับ ยากที่ใครๆ จะสามารถไขปริศนาในมุมมืดนี้ได้
พอพูดถึงความตายต้องบอกให้หยุด! หยุด! อย่าได้พูดไม่อยากฟัง ฟังแล้วมันไม่สบายใจ ไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก บอกวันตายล่วงหน้าได้ถึง ๒ ปี
พระพุทธเจ้าตั้งแต่วันที่พระองค์ตรัสรู้มา ก็ทรงทราบแล้วว่าจะปรินิพพานในวันไหน แต่พระองค์เลือกที่จะบอกก่อนตาย ๓ เดือนแก่พระอานนท์วา “อานนท์อีก ๓ เดือนเราตถาคตจักปรินิพพาน”
แม้พระอรหันต์รูปอื่นๆ ท่านก็สามารถรู้วันตายล่วงหน้าได้เช่นกัน
สมัยปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺโต ก็ได้บอกล่วงหน้าแก่หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ว่า “อายุ ๘๐ ปี จะนิพพาน”
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เขียนใส่สมุดบันทึกว่า “๗๘ ปี อายุจะต้องสิ้นสุด”
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เขียนใส่สมุดบันทึกว่า “๗๘ ปี อายุจะต้องสิ้นสุด”
หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก บอกวันตายล่วงหน้าได้ถึง ๒ ปี
แม้ ท่านพระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระอาจารย์วัน อุตฺตโม พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร ก่อนจะรับนิมนต์แล้วประสบอุปัทวเหตุเครื่องบินตกมรณภาพที่ทุ่งรังสิต จังหวัดปทุมธานี นี้ก็ได้บอกเป็นนัยแก่สานุศิษย์ว่า “การเดินทางไปคราวนี้จะมิได้กลับมา”
ท่านพระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม
สำหรับ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร มีบทสนทนาเป็นเรื่องราวการบอกวันเวลาตายล่วงหน้าเป็นอย่างดี ผู้เขียนขอนำมาเล่าย่อๆ พอให้เข้าใจเลาๆ
...กลางคืนวันหนึ่ง หลังงานฉลองกึ่งพุทธกาลจบลง ณ กุฎีปุณณสถาน ที่วัดอโศการาม ท่านพ่อลียังร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า ท่านได้ปรารภกับ พระอาจารย์แดง ธมฺมรกฺขิโต ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ เรื่องอายุขัยคือการสิ้นสุดแห่งชีวิตว่า
“ท่านแดง อายุ ๕๕ ปี ผมต้องตาย ชีวิตถึงคราวสิ้นสุดให้ท่านอยู่ช่วยดูแลหมู่คณะที่วัดอโศฯ เมื่อผมตายไปแล้ว ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งพาอาศัยของหมู่เพื่อน” การกล่าวในครั้งนี้ ท่านกล่าวก่อนมรณภาพเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งมาถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่านพ่อลีได้ไปนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า ธนบุรี ท่านเรียกพระอาจารย์แดงมาหาแล้วกล่าวย้ำว่า
“เราอายุ ๕๕ จะลาตายแล้ว”
“ตายยังไงครับ ท่านพ่อ”
“ก็ตายขาดลมหายใจ นะสิถามได้ ก็เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือ”
“ผมลืมไปแล้ว แต่เมื่อท่านพ่อทักขึ้นผมก็จำได้ ทำไมท่านพ่อจะต้องตายด้วย ไม่ตายไม่ได้หรือ?”
“เราได้รับนิมนต์เขาแล้ว เสียดายที่จะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้นาน เกิดมาได้มีโอกาสช่วยพระศาสนาน้อยเหลือเกิน คิดแล้วก็ยังไม่อยากตายเลย เพราะเห็นแก่ประโยชน์คนอื่น ส่วนเราเองไม่สู้มีปัญหาในการเกิดการตาย”
“รับนิมนต์ใคร”
“รับนิมนต์เทวดา เขาอาราธนา”
“เขาอาราธนาไปทำไม”
“เขาอาราธนาไปสอนมนต์ให้”
“ไปสอนมนต์อะไรครับ ช่วยสอนให้ผมด้วย”
“มนต์ก็ไม่มีอะไรมาก พรหมวิหาร ๔ ของเรานี้แหละ แต่คนอื่นสอนมันไม่ขลัง ต้องให้เราสอนมันถึงขลัง เขาบอกอย่างนี้”
“ผมขออาราธนาท่านพ่อไว้ อย่าเพิ่งตายเลย”
“เราได้ตกลงรับอาราธนาเขาแล้ว อยู่ไมได้”
“ท่านพ่อครับ ไม่มีวิธีอื่นบ้างเลยหรือ ที่จะสามารถต่ออายุไปได้อีก”
ท่านพ่อลี ผู้ดำริในการสร้างพระธุตังคเจดีย์ ณ วัดอโศการาม
ท่านพ่อลีเล่าถึงรอยต่อแห่งชีวิตอันมีความเป็นความตายเป็นเครื่องเดิมพันว่า..
“วิธีนั้นมี แต่เรื่องมันผ่านเป็นอดีตไปแล้ว เราจะหวนกลับมาเป็นอย่างเดิมไม่ได้ หลักธรรมหลักความจริงท่านใช้ปัจจุบันเป็นเครื่องตัดสิน
พวกเธอจำได้ไหม? ในสมัยประชุมคณะกรรมการจะสร้างเจดีย์ และโบสถ์ เราปรารภให้สร้างพระเจดีย์เสียก่อน แต่ไม่มีลูกศิษย์คนใดกล้ารับงานนี้
บางคนเขาคิดเอาเองว่า ถ้าสร้างเสร็จแล้วเราจะหนีเข้าป่าบ้าง ตายบ้าง (เพราะท่านไม่ได้บอกพวกเขาถึงเหตุว่าการสร้างพระเจดีย์จะต่ออายุท่านได้)
กรรมการที่ประชุมมีความเห็นว่า สร้างโบสถ์ก่อน ก็เป็นอันตกลง ซึ่งเขาไม่รู้จักจุดลึกในชีวิตของเรา การที่จะมาแก้ในสิ่งที่ล่วงเลยมา มันก็สายเสียแล้วแล้ว”
ท่านพ่อลีกล่าวย้ำว่า “..ก็พวกเธอเกาไม่ตรงที่คัน ต่อให้มีโบสถ์ตั้ง ๒๐ หลัง ก็ไม่เท่ากับสร้างพระเจดีย์เพียงหนึ่งองค์..ท่านเอ๊ย!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมดหวังในชีวิตของท่านพ่ออีกต่อไป
พระอาจารย์แดงจึงเรียนท่านว่า “เมื่อตายไปแล้ว ก็ขอให้ท่านพ่อมาช่วยเหลือวัดอโศการาม”
ท่านพ่อลีก็หัวเราะ ฮึๆ ตอบวา “เราก็เป็นห่วงเหมือนกันคิดว่าจะคายอะไรไว้ให้เขากินกัน แต่ชีวิตก็จวนเสียแล้ว ก็ให้พวกยังอยู่หากินกันไป ถ้าไม่มีปัญญาก็ช่างมัน”
และได้เรียนถามท่านอีกว่า “ท่านพ่อมีคาถาอะไรดีๆ ก็สอนให้ผมด้วย”
ท่านพ่อลีตอบว่า “คาถานั้นมีอยู่ แต่สู้ใจเราไม่ได้ ให้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จคุณธรรม เมื่อเราทำความเพียรอย่างสูงสุด เสียสละชีวิตแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคน”
พระธุตังคเจดีย์ ณ วัดอโศการาม ในปัจจุบัน
นี้เป็นเพียงบทสนทนาสั้นๆ (ฉบับเต็มจะตีพิมพ์ในหนังสืองานฉลองพระธุตังคเจดีย์) แต่เต็มไปด้วยความหมายแห่งผู้ปฏิบัติธรรมได้เต็มขั้นเต็มภูมิ
ชีวิตพระอริยเจ้าจึงเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
ท่านไมได้นอนรอความตาย
ท่านทราบเรื่องความตาย
ตายแล้วไปไหน หลังจากตายจะไปทำอะไร
ได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน
และคำว่า “พระนิพพาน” เป็นอย่างไร สุขสบายดีไหม ท่านรู้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ต้องคิดหาคำตอบมาถกเถียงให้เมื่อยกราม
เพราะพระนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ท่านประสบพบเห็นเองอยู่
ท่านมีชีวิตอยู่ก็เป็น “สอุปาทิเสสนิพพาน”
ตายไปก็เป็น “อนุปาทิเสสนิพพาน”
สรีระร่างท่านพ่อลี ที่มรณภาพอย่างสงบ
เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๐๔ สิริอายุได้ ๕๕ ปี
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “พระนิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล แต่เป็นของรู้ได้เฉพาะตน”
“...ผู้บรรลุพระนิพพาน...จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่เดือดร้อน ถึงจะตายก็ไม่เศร้าโศก...เพราะมองเห็นที่หมายข้างหน้าแล้ว
...ความตายเรา (ตถาคต) ก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจ เราจักทอดทิ้งร่างกายนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ มีสติมั่น...เรารอท่าเวลาตายเหมือนคนรับจ้างทำงานเสร็จแล้ว รอรับค่าจ้าง...(เสร็จกิจพรหมจรรย์ รอตายไปอนุปาทิเสสนิพพาน)
ในเรื่องบางอย่างพวกเราผู้เป็นปุถุชนไม่รู้ แต่จะไปอวดเก่งกว่าท่านผู้รู้จริงไม่ได้ อย่างเรื่องท่านพ่อลี ถ้าบรรดาศิษย์เชื่อฟังท่านเสียหน่อย ท่านก็ยังจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังอย่างนี้
ในเรื่องแบบนี้มีหลักฐานยืนยันได้ ในสมัยพุทธกาล ก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงปลงพระชนมายุสังขาร...แล้วปรินิพพาน ถ้าเพียงพระอานนท์อาราธนานิมนต์ให้พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่โปรดเวไนยสัตว์ต่อไป พระพุทธองค์จะทรงห้ามเสียสองครั้ง ครั้งที่สามพระองค์จะทรงรับอาราธนานิมนต์..และทรงอยู่ต่อไปได้อีกถึง ๑๒๐ ปี เพราะทรงบำเพ็ญอิทธิบาทภาวนามาเป็นอย่างดี
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
ในสมัยปัจจุบัน ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง ในปี ๒๕๔๐ หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ท่านป่วยหนัก ผลที่หมอตรวจที่วัดป่าบ้านตาด ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ขอนแก่น ที่โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ
เป็นที่แน่นอนว่าท่านป่วยเป็น “โรคมะเร็งลำไส้” ขั้นสุดท้าย
หมอบอกว่า ท่านจะต้องตายก่อนเข้าพรรษาปีนั้นอย่างแน่นอน
ท่านได้นิมิตภาวนาในเรื่องนี้ก่อนแล้ว
แล้วต่อมาในปีเดียวกัน มีคนนิมนต์ให้ท่านอยู่ช่วยชาติบ้านเมือง
ท่านจึงประกาศตั้งโครงการช่วยชาติ..
โรคได้หายเป็นปลิดทิ้งเพราะอานิสงส์นั้นเท่าทุกวันนี้
แล้วท่านได้ยาดีอะไรมารักษา?
ก็ตอบได้ว่า เป็นยาวิเศษที่เทวดานำมาถวายโดยบันดาลผ่านทางมนุษย์เป็นผู้ประกอบ
ยาเทวดาเป็นยาแบบไหนหนอ
ผู้เขียนขอไขปริศนาที่หลวงตาได้เล่าเฉพาะที่โรงน้ำร้อนวัดปาบ้านตาด ต้นปี ๒๕๕o นี้เอง
คือตามปกติท่านจะไม่เล่าเรื่องลึกลับลี้เร้นเหล่านี้ เพราะท่านว่าเป็นปัจจัตตัง รู้เห็นเฉพาะตน การนำออกมาเผยแผ่บางคนอาจไม่เข้าใจ เกิดการตำหนิลบหลู่เป็นการก่อกรรมแก่เขาได้
ท่านเล่าว่า คราวหนึ่งท่านอยู่ในป่าลึกเพียงรูปเดียว เร่งความเพียรภาวนาอดอาหารเป็นเวลาหลายวัน ร่างกายซูบซีดผอมเหลือง เรี่ยวแรงหดหาย เหลือแต่ใจอันดวงเด่น มีพลังมหาศาลข้างใน หมุนไปด้วยธรรมจักรตลอดวันคืน แต่พลังกายเหนื่อยล้าเต็มที
ขณะที่ท่านเดินจงกรมพิจารณาธรรมบางประการในยามค่ำคืน เทพธิดาตนหนึ่งได้ปรากฏกายเข้ามานั่งกราบไหว้ข้างบริเวณทางจงกรม เฝ้ารักษาอยู่โดยตลอดด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
แล้วนางเทพธิดาจึงกราบเรียนท่านว่า
“...เขาเคยเป็นแม่ของท่านในอดีตชาติ เกี่ยวข้องกันมานาน
บัดนี้ได้มาเจอกัน ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นท่านซูบผอมซีดเซียวก็อยากมาช่วยเหลือด้วยการถวายอาหารทิพย์ อันจะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าสดชื่นขึ้น ขอให้ท่านเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าในอดีตชาติที่เคยเป็นแม่เป็นลูก โปรดเมตตารับอาหารทิพย์เถิด”
หลวงตาท่านตอบว่า “...เวลานี้เป็นเวลาวิกาลโภชน์ (เลยเที่ยง) รับภัตตาหารไม่ได้”
“อาหารนี้ไม่มีสี ไม่มีรส เป็นอาหารวิเศษไม่ต้องกินด้วยปาก เพียงไล้ไปตามร่างกาย การไล้นั้นก็ไม่ต้องถูกเนื้อต้องตัว..ก็ถือว่าได้ดื่มด่ำรสของทิพย์แล้ว” นางเทพธิดากล่าวสาธยาย
“แม้ถึงกระนั้นก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเจตนานั้นแหละเป็นตัวกรรมคือการกระทำ....
แม้เป็นอาหารทิพย์ก็ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถึงไม่มีใครเห็นเราก็รู้อยู่แก่ใจ ใจนี่แหละเป็นตัวพาสร้างเวรสร้างกรรม มิใช่อวัยวะอื่นใด”
เมื่อหลวงตาท่านพูดจบ ก็ก้าวเดินจงกรมต่อไป ท่ามกลางความเงียบในไพรสณฑ์ นางเทพธิดาก็นั่งเฝ้าอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมเคลื่อนร่างที่เบาเหมือนปุยนุ่นไปไหน เพ่งมองท่านด้วยความห่วงใยและภูมิใจที่มีพระลูกชายเป็นพระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อความพ้นทุกข์
แล้วนางจึงกราบเรียนท่านว่า “พรุ่งนี้เช้าจะนำอาหารทิพย์มาถวายใหม่”
พอรุ่งเช้านางเทพธิดาได้มานั่งรออยู่หน้ากุฏิหลังน้อยมุงด้วยหญ้า กิริยาแช่มช้อยงดงาม หาสตรีใดในโลกเหมือนหรือเพียงเทียบเทียมมิมีได้
สตรีที่เขาว่าสวยที่สุดในโลกเป็นนางงามจักรวาลเมื่อเทียบกับนางเทพธิดาแล้วก็เหมือนลิงโก๊กตัวหนึ่งเท่านั้น
น่าขำจริงๆ โลกมนุษย์เอย..
เมื่อพระหลวงตาเห็นดังนั้นจึงถามนางว่า...การที่เธอมานั่งอยู่หน้ากุฏิเราตั้งแต่เช้าเช่นนี้ ใครมาเห็นเข้า เดี๋ยวจะเข้าใจผิดเอาได้ ว่าพระอยู่กับผู้หญิงสองต่อสอง ข้อครหาต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ นางตอบว่า
“ท่านไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น ไม่มีใครสามารถเห็นฉันได้..นอกจากท่านเท่านั้น นี่เป็นเทพเนรมิตเพื่อมาถวายอาหารทิพย์แก่ท่านได้ง่ายขึ้นเท่านั้น”
“ถวาย ก็ถวายมาสิ” หลวงตาตวาดนางเทพธิดาหน่อยๆ
นางจึงบอกให้ท่านนั่งนิ่งๆ ครู่หนึ่ง การถวายอาหารทิพย์ก็เป็นอันเริ่มขึ้นและจบลง
ร่างกายของท่านกระปรี้กระเปร่าอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนปลาขาดน้ำแล้วพลันได้น้ำ
เหมือนคนหิวกระหายมานานวัน พลันมาเจอบ่อน้ำอันใสสะอาด
ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณที่ซีดเซียวกลับผุดผ่อง หายเมื่อย หายหิว
ปฏิบัติภาวนาต่อไปได้อีกหลายวันโดยไม่ต้องมีอาหารตกท้อง..อยู่เย็นสบายคลายความทุกข์กังวล
นี่คืออาหารเทวดา ยาเทวดาก็คงทำนองนี้เหมือนกัน
เพราะนั่นเป็นของวิเศษ ที่มนุษย์ผู้ศีลน้อย ธรรมน้อยจะไม่มีวันได้พบพานเป็นอันขาด เว้นแต่ในนิทานหลอกเด็กเท่านั้น!!
ท่านพ่อลีเองก็เคยรับอาหารบิณฑบาตจากเทวดาที่ดอยขะม้อ จังหวัดลำพูน ท่านผู้สนใจโปรดติดตามจากหนังสือเล่มใหญ่ในวาระฉลองพระธุตังคเจดีย์ ที่วัดอโศการาม ก็แล้วกัน
นี่แหละท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกเป็นที่อัศจรรย์อย่างหาที่สุดมิได้ ท่านเป็นผู้นำจิตวิญญาณและชีวิตจิตใจของเราผู้ศรัทธาทั้งหลาย
เหมือนโคนำจ่าฝูงที่นำพวกเราผู้พยายามเพื่อธรรมเป็นเครื่องพ้นทุกข์ ว่ายตัดกระแสน้ำคือกิเลสอันเชี่ยวกราก อันเป็นห้วงน้ำใหญ่มีอันตรายมาก ข้ามขึ้นถึงฝั่งอันราบเรียบเป็นภูมิภาคน่ารื่นรมย์ เกษมสำราญไม่มีเวรภัย ถึงเมือง“อุดมบุรี” (อุดมธรรม) และ “นิพพานนคร” โดยปลอดภัยฯ
พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร วัดป่าภูผาสูง จ.นครราชสีมา
.............................................................
คัดลอกมาจาก :: |
Post a Comment