เซียนหุ้นอัจฉริยะ 'สถาพร งามเรืองพงศ์'
อายุเพียง 25 ปี 'ฮง' เด็กหนุ่มที่พ่อแม่ค้าเสื้อยืดย่านพระราม 2 เล่นหุ้นตั้งแต่เรียนปี 1 'ม.กรุงเทพ' ปั่นเงินจาก 'หลักแสน' เพิ่มเป็น 'หลายสิบล้าน' ภายใน 7 ปี..ฝันอีก 'สิบปี' พอร์ตแตะ 300 ล้านบาท
"ฮง" สถาพร งามเรืองพงศ์ ชื่อนี้แทบไม่เป็นที่รู้จักในวงการตลาดหุ้น แต่ถ้าเอ่ยนามแฝง "ฮงแวลู" (Hongvalue) เซียนหุ้น "วัยรุ่น" รายนี้เป็นที่รู้จักอย่างดีในเว็บบอร์ด Thaivi.com ที่วันนี้เริ่มอัพเกรดตัวเองไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องหุ้นให้กับนักลงทุนกลุ่มเล็กๆ หลังชีวิตการลงทุนตลอด 7 ปีประสบความสำเร็จอย่างงดงามมีพอร์ตลงทุน "หลายสิบล้านบาท"
ตี๋หนุ่มวัยเพียง 25 ปีรายนี้เลือกเดินในอาชีพ "นักเล่นหุ้น" อย่างแน่วแน่ และกำลัง "ป็อปปูล่า" วัดความดังได้จากงานสัมมนาเล็กๆ ที่ฮงและก๊วนเพื่อนร่วมกันแชร์ประสบการณ์ในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ (ซับไพร์ม) ปี 2551 ที่เขาได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 10 เท่าตัวหากรู้จักเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐาน เปิดให้จองที่นั่งเข้าฟังบรรยายเพียงไม่กี่ชั่วโมงมีนักลงทุนรายเล็กรายใหญ่ แห่จองกันเต็ม 230 ที่นั่ง
หลังจบงานสัมมนามีคนตามทวิตเตอร์ของ Hongvalue เพิ่มขึ้นกว่า 100 คน เขายกตัวอย่างหุ้นที่เคยทำเงินเข้ากระเป๋าได้อย่าง “มหาศาล” ในช่วงหลังวิกฤติปี 2551 นั่นคือ หุ้นเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และหุ้นโพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) (PTL) รวมถึงหุ้นอีกหลายตัวที่ทะยานขึ้นอย่างมาก
ตี๋หนุ่มคุยว่าพอร์ตลงทุนของตัวเองเติบโตก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวง Value Investor มากขึ้นหลังสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี ขณะเดียวกันถ้าวัดตั้งแต่เริ่มลงทุนปี ภายในระยะเวลา 7 ปี พอร์ตลงทุนขยายตัวประมาณ 40-50 เท่า
"ฮง" เซียนหุ้นอัจฉริยะรายนี้เป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 3 คน เขาเล่าว่า พี่ชายคนโตปัจจุบันอายุ 33 ปีคนนี้ก็เล่นหุ้นเหมือนกันแต่มูลค่าพอร์ตลงทุนยังไม่ใหญ่ประมาณ 3 ล้านบาท พี่ชายจะเน้นดูเทคนิเคิลมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน ส่วนพี่สาวคนรองอายุ 29 ปี เรียนจบแพทย์ ปัจจุบันเดินทางไปศึกษาต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง สาขาช่องท้อง ที่สหรัฐอเมริกา
ฮงกล่าว่าครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยมีฐานะพอกินพอใช้ พ่อแม่ทำธุรกิจผลิตเสื้อยืดขายย่านถนนพระราม 2 มานานกว่า 20 ปี เพิ่งเลิกทำไปเมื่อต้นปี 2554 นี้เอง และหันไปปลูกต้นลีลาวดีขาย ชื่อว่า "สวนลีลาวดีภิรมย์" บนเนื้อที่ 33 ไร่ ย่านบางขุนเทียน
ประสบการณ์เล่นหุ้นครั้งแรกของฮงต้อง "แอบพ่อ" ที่ไม่อยากให้ลูกชายเข้าไปข้องแวะกับตลาดหุ้น โดยเริ่มลงทุนครั้งแรกในชีวิตเมื่อปลายปี 2547 ช่วงนั้นเรียนอยู่ปี 1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีเงินลงทุนก้อนแรก 100,000 บาท เป็นเงิน "แต๊ะเอีย" ที่เก็บสะสมมาจากญาติๆให้แต่ละปีรวมกับเงินเก็บ เงินเก็บก้อนนี้ถูกพ่อแม่บังคับให้เอาไปเข้าธนาคารกลัวลูกเอาไปซื้อเกมส์มาเล่น
สำหรับผู้ที่จุดประกายให้ฮงเข้าสู่ตลาดหุ้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมมาด้วยกัน เห็นเพื่อนซื้อหุ้น SHIN ที่ต้นทุนหุ้นละ 26-27 บาท ไปขายตอนราคา 40 บาท ได้กำไรประมาณ 50% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนจากคำแนะนำของญาติ ทำให้เด็กหนุ่มมีความฝันอยากได้กำไรอย่างเพื่อนคนนั้นบ้าง
แม้วันนี้พอร์ตลงทุนของฮงจะเติบโตขึ้นอย่างมากจากเมื่อ 7 ปีก่อน จากหลัก "แสนบาท" เป็นหลัก "สิบล้านบาท" แต่นั่นยังไม่ใช่เป้าหมาย
"ภายใน 10 ปีข้างหน้า ( ) ผมต้องการมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 300 ล้านบาท เติบโตให้ได้เฉลี่ยปีละ 20% นี่คือเป้าหมายของผม" สถาพร กล่าวกับทีมงาน กรุงเทพธุรกิจ BizWeek โดยมั่นใจว่าตัวเลขนี้ทำได้แน่นอน ทุกวันนี้ฮงเป็นนักลงทุน Full Time หลังค้นพบว่าการเล่นหุ้นเป็นทางเดินชีวิตที่มาถูกทาง
"แม้ผมจะอายุยังน้อยในสายตาใครต่อใคร แต่ก็ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติการเงิน (ซับไพร์ม) มาแล้ว เรียกได้ว่าผ่านมาแล้วทุกบรรยากาศ แล้วก็ทำได้ดีด้วย" เขาไม่ลืม "คุย"
ฮงจัดเป็น "เซียนหุ้นอัจฉริยะ" ที่จับทางตลาดหุ้นออกในเวลาอันรวดเร็ว เขารู้ว่าหุ้นแบบไหนจะขึ้นเยอะ และควรลงทุนสไตล์ไหนถ้าจับถูกตัว
"วันนี้ผมจับจุดถูกรู้ว่าจะลงทุนหุ้นสักหนึ่งตัว ต้องดูอะไรเป็นหลัก ถ้าผมจะพลาดก็ต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเท่านั้น เพราะเหตุการณ์แบบนั้นคงไม่มีใครตั้งตัวขายหุ้นทัน"
การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอายุยังน้อยฮงต้องศึกษาทำการบ้านอย่างหนัก เขาศึกษาแนวทางการวิเคราะห์หุ้นแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ ปีเตอร์ ลินช์ อย่างแตกฉาน ทั้ง 2 กูรูยังเป็น "ไอดอล" ที่ฮงฝันอยากเป็น
"ผมคิดว่าคำสอนที่สำคัญที่สุด การซื้อหุ้นคือการซื้อธุรกิจ ถ้าซื้อเพราะคิดว่าราคาหุ้นจะขึ้น รับรองไม่มีทางได้กำไร(รวย)"
ครั้งแรกที่เล่นหุ้นฮงไปเปิดพอร์ตกับบล.ธนชาต ใช้ชื่อตัวเองไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไป ต้องใช้ชื่อคุณแม่เป็นคนเปิดพอร์ต เวลาสั่งซื้อขายก็ให้ส่งจดหมายไปที่บ้านญาติเพื่อไม่ให้คุณพ่อรู้ เพราะพ่อมี "อคติ" กับตลาดหุ้นมองว่าการ “เล่นหุ้น” ไม่ต่างอะไรกับ “เล่นการพนัน” ในความเป็นจริงคุณแม่ก็ไม่ชอบให้เล่นหุ้น แต่ทนรบเร้าหาเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายไม่ไหว เมื่อเห็นความตั้งใจจริงแม่ก็เลยยอม
"ยอมรับตรงๆ ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องซื้อหุ้นกลุ่มไหน มีวิธีการลงทุนอย่างไร ดูไม่เป็นสักอย่าง ผมเริ่มต้นแสวงหาความรู้ตัวคนเดียว (ชวนเพื่อนแต่เขาไม่ไป) ผมไปนั่งฟังงานสัมมนาฟรีต่างๆ เมื่อก่อนโบรกเกอร์หลายแห่งจะชอบจัดอบรมดูงบการเงินวันเสาร์-อาทิตย์ รู้ว่าที่ไหนมีฟรีผมไปหมด"
เขาเล่าว่า บางงานไม่ให้เข้าเพราะไม่ใช่ลูกค้าเขา ก็ต้องหาเหตุผลสารพัดไปหลอกเจ้าหน้าที่หน้าห้องว่าขอเข้าไปฟังก่อนนะครับ..ถ้าโอเค! เดี๋ยวจะกลับมาเปิดพอร์ตด้วย แต่ก็มีบางงานที่ฮงถูกปฏิเสธกับเหตุผลตื้นๆ แต่เมื่อไปถึงแล้วเขาก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าไปฟังวิทยากรบรรยาย แถมยังเกาะติดนอกรอบไปขุดไปคุ้ยไขข้อข้องใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
"เมื่อก่อนผมเจ็บใจมาก ด้วยความที่เรายังเด็กอายุแค่ 20 ปี เวลาไปถามวิทยากรนอกรอบงานสัมมนาต่างๆ เขาเห็นเราเด็กก็มักไม่ยอมตอบ แต่จะหันไปตอบคำถามคนอื่นที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ตอนนั้นในหัวผมคิดว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม มันทรมานมากช่วงนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไร"
ฮงขวนขวายหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนอ่านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในใจเขาคิดว่าต้องอ่านหนังสือเยอะๆ ไปงานสัมมนามากๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเอง กว่าเขาจะได้ "วิชา" มาทำกำไรอย่างเป็นล่ำเป็นสันในตลาดหุ้นต้องใช้ความทุ่มเท ฮงยังค้นไม่พบความลับการลงทุน 1 ปีครึ่งผ่านไป การลงทุนของเขาไม่ได้กำไรเลยเพราะยังดูงบการเงินไม่เป็น และอ่านอนาคตธุรกิจไม่ออก ตอนนั้นฮงตัดสินใจซื้อหุ้น TTA ADVANC และ TPC
"เท่าที่จำได้ซื้อหุ้น ADVANC ราคา 95 บาท ขาย 105 บาท และซื้อหุ้น TPC ราคา 210 บาท ขายขาดทุน 190 บาท ส่วนหุ้น TTA จำราคาซื้อขายไม่ได้ เมื่อเริ่มดูงบการเงินเป็นนิดหน่อย พอรู้ว่าต้องเลือกบริษัทที่ไม่เป็นหนี้ และมีกระแสเงินสดเยอะๆ ก็เลยซื้อหุ้น CSL จำเหตุผลที่ซื้อและถือยาว 7-8 เดือนได้ว่าเป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 4 ครั้ง แถมมีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 8-10% ที่สำคัญเห็นว่าอนาคตกำไรจะเติบโตสูง ตอนนั้นซื้อมา 5-6 บาท พอขึ้นมา 9 บาทก็ขาย ถือเป็นหุ้นตัวแรกที่ได้กำไรเป็นเนื้อเป็นหนังจากการลงทุน"
เมื่อเริ่มเห็นผลงาน (กำไร) และความแน่วแน่ที่จะเดินในอาชีพ "นักเล่นหุ้น" แม่จึง "เพิ่มทุน" ให้อีกหลัก "แสนบาท" เพื่อนำไปลงทุนหุ้น CPALL จำนวน 100,000 หุ้น ต้นทุน 7 บาท พอปลายปี 2551 ก็ขายไปที่ราคา 11 บาท เพราะช่วงนั้นเกิดวิกฤติการเงินโลก (ซับไพร์ม) หุ้นทุกตัวลงหมด แต่หุ้น CPALL ไม่สะทกสะท้าน แต่ฮงกลัวเลยตัดทิ้งไปก่อน "ตอนนั้นผมกลัวติดยอดดอยแล้วลงไม่ได้"
หลังจากนั้นก็คิดจะนำเงินไปซื้อหุ้น PS แต่ภาวะเศรษฐกิจช่วงนั้นไม่ดี ฮงวิเคราะห์ว่าหุ้นพฤกษาจะไม่สามารถขายที่อยู่อาศัยได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจ "กำเงินสด" เกิน 5 แสนบาทไว้ในมือ
“ที่แม่ตัดสินใจให้เงินเพิ่มเพราะเห็นว่าผมจริงจังมาก เสาร์-อาทิตย์ไม่เคยอยู่บ้านไปอบรมเกี่ยวกับเรื่องหุ้นตลอด อีกเหตุผลหนึ่งแม่มองว่าที่ผมสนใจการลงทุน ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นสามารถคุยกับผู้ใหญ่รู้เรื่อง”
ความมุ่งมั่นศึกษางบการเงินอย่างจริงจัง ฮงเริ่มแตกฉานและมั่นใจในตัวเอง เขากำเงินสดไว้ในมือเพียง 2 เดือน ก็นำไปลงทุนต่อในหุ้น AP และ TOP แต่ยังไม่กล้าเล่นเต็มพอร์ต สาเหตุที่เลือกซื้อ TOP เพราะก่อนหน้านั้นไทยออยล์มีกำไรต่ำมากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงฮวบฮาบ และราคาน้ำมันก็ผกผันกับเงินดอลลาร์ เขาวิเคราะห์ว่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวราคาน้ำมันก็น่าจะขึ้น จึงคาดว่ากำไรของบริษัทจะต้องพลิกกลับมาดีขึ้นอย่างมาก
พอก้าวเข้าสู่ไตรมาส 3 ปี 2552 ฮงเข้าเก็บหุ้น CPF ตัวนี้ทำให้เขารวยขึ้นอีกขั้น เขาทุ่มเล่นบัญชีเงินสด 100% และอัดมาร์จิ้นอีก 80% เพราะมองว่า CPF ต้องเป็นหุ้น "ป็อกเด้ง" แน่นอน
"ช่วงนั้นผมอัดมาร์จิ้นซื้อหุ้น CPF เต็มแม็ก เพราะกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2552 ออกมา 3,249 ล้านบาท มากกว่าทั้งปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิ 3,128 ล้านบาท ช่วงนั้นผมประเมินว่าทั้งปี 2552 หุ้น CPF น่าจะมีกำไรสุทธิ 9,000 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิวไฮครั้งใหม่ (CPF ประกาศกำไรสุทธิปี 2552 จำนวน 10,190 ล้านบาท) ผมมองว่าธุรกิจเกษตรกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นตามเศรษฐกิจที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว"
อีกอย่างตอนนั้นฮงเช็คราคาขายหมูและไก่เฉลี่ยของปี 2552 ไม่ได้น้อยกว่าปี 2551 แต่ต้นทุนอาหารสัตว์อย่างกากถั่วเหลืงกับข้าวโพดลดลง เพราะคนนำไปทำเป็นพลังงานทดแทนพอราคาน้ำมันตกต่ำความต้องการเอาไปทำพลังงานทดแทน (เอทานอล) หายหมด ซึ่ง CPF ก็รู้เลยตุนกากถั่วเหลืงกับข้าวโพดไว้ แบบนี้จะไม่ให้กำไรเยอะได้อย่างไร
เมื่อผ่านไป 1-2 เดือน ฮงขายหุ้น CPF ได้ราคา 9.60 บาท จากต้นทุนที่ซื้อมา 7.80 บาท เพราะราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 5 วันติดกัน เนื่องจากนักลงทุนคิดว่างบไตรมาส 3 ปี 2552 จะขยายตัวต่อเนื่อง ช่วงนั้นโบรกเกอร์เริ่มทยอยออกมาปรับราคาเป้าหมาย CPF แต่ฮงได้กำไรเข้ากระเป๋า 400,000-500,000 บาท มูลค่าพอร์ตลงทุนพุ่งขึ้นเป็น "หลักล้านบาท" แล้ว
"จากนั้นคุณแม่ก็เติมเงิน (เพิ่มทุน) ให้อีกครั้งหลัก "ล้านบาท" คราวนี้มีทุนเยอะทำให้พอร์ตลงทุนขยับเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว หลังจากกำไรหุ้น CPF ก็ไปเข้าหุ้น VNG ตอนนั้นอัดเต็มพอร์ต เพราะเห็นว่างบไตรมาส 4 ปี 2552 มีกำไรต่อหุ้น 0.27 บาท ราคาหุ้นวันนั้น 3 บาท ถ้าวนชัย กรุ๊ป สามารถรักษาระดับกำไรต่อหุ้นได้แบบนี้ เชื่อว่ากำไรต่อหุ้นทั้งปี 2553 จะยืน 1 บาท"
ฮงถือหุ้น VNG แค่ 3 เดือน ขายออกที่ราคา 5 บาท ได้กำไร 70% ทำให้มูลค่าพอร์ตลงทุนของเขาพุ่งขึ้นเป็นหลัก "สิบล้านบาท" เมื่อขายหุ้น VNG เกลี้ยงพอร์ต ก็โยกเงินไปซื้อหุ้น PTL ที่ราคา 7.50 บาท ช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 ทยอยสะสมก่อน 30% ของพอร์ต พอราคาหุ้นขึ้นมา 15 บาท คราวนี้อัดเต็ม 100% ของพอร์ต ใช้มาร์จิ้นซื้ออีก 60% รวมเป็น 160% แล้วไปขายออกในเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่ราคา 45 บาท
หุ้นโพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) คือจุดหักเหครั้งสำคัญทำให้ฮงรวยขึ้นมหาศาล "หลายเท่าตัว" พอร์ตของเขาขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น "หลายสิบล้านบาท" ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ฮงบอกกับทีมงานกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่าปัจจุบันมูลค่าพอร์ตของเขาเท่าไร แต่ขอไม่ให้เปิดเผยตัวเลขกับสาธารณะ
หลังจากที่ประสบความสำเร็จได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ฮงบอกว่าจากนั้นก็ซื้ออะไรไปเรื่อยเปื่อย เช่น หุ้น TVO และหุ้น STA ตอนที่ช้อนหุ้น TVO ราคาเฉลี่ย 27-29 บาท เพราะเห็นว่าราคาถั่วเหลืองในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,300 เซ็นต์ต่อบุชเชล ภายในเวลา 2 เดือน แต่ถือหุ้นตัวนี้ไม่ถึง 2 เดือน ก็ขายออกในราคา 31 บาทได้กำไรไม่เท่าไร
ส่วนหุ้น STA ซื้อมา 36 บาท เพราะเห็นว่าราคายางพาราทำจุดสูงสุดใหม่ แต่สุดท้ายก็ยอมขายขาดทุน 35 บาท เพราะราคาหุ้นไม่ขยับตัวตามราคายาง "ตัวไหนถือไว้ดูท่าจะไม่รุ่ง ผมจะขายทิ้ง"
จาก "ไอ้ตี๋หนุ่ม" หน้าละอ่อน ถามใครใครก็เมิน วันนี้กลายเป็น "เซียนฮง" อย่างเต็มภาคภูมิ เจ้าตัวก็เลย "ยืด" ได้ (ขอคุยหน่อย) บอกว่าที่จริงไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แค่รู้ว่าเล่นหุ้นแบบไหนแล้วได้กำไร หลังจากเป็นเศรษฐีย่อมๆ ภายในเวลาไม่กี่ปี วันนี้ครอบครัวแฮปปี้มากพ่อแม่เปลี่ยนทัศนคติแล้วว่าการเล่นหุ้น "ไม่ใช่การพนัน" แต่เป็น "การลงทุน" ที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า
"ผมจะขอยึดอาชีพนักลงทุนเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่คิดไปทำงานอย่างอื่น แต่ถ้ามีเงินตามเป้าหมายอาจแบ่งมาลงทุนทำอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า เท่านี้ชีวิตผมก็มีความสุขแล้ว"
เรื่องราวของ "ฮง" เซียนหุ้นอัจฉริยะยังไม่จบ เขามีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร..? สามารถปั่นเงินจาก "หลักแสน" เป็น "หลายสิบล้านบาท" ได้ อะไรคือความลับการทำกำไรในตลาดหุ้นที่เด็กหนุ่มค้นพบ..คอยติดตาม
Tags : สถาพร งามเรืองพงศ์
ธุรกิจ : BizWeek
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"ฮง" สถาพร งามเรืองพงศ์ ชื่อนี้แทบไม่เป็นที่รู้จักในวงการตลาดหุ้น แต่ถ้าเอ่ยนามแฝง "ฮงแวลู" (Hongvalue) เซียนหุ้น "วัยรุ่น" รายนี้เป็นที่รู้จักอย่างดีในเว็บบอร์ด Thaivi.com ที่วันนี้เริ่มอัพเกรดตัวเองไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องหุ้นให้กับนักลงทุนกลุ่มเล็กๆ หลังชีวิตการลงทุนตลอด 7 ปีประสบความสำเร็จอย่างงดงามมีพอร์ตลงทุน "หลายสิบล้านบาท"
ตี๋หนุ่มวัยเพียง 25 ปีรายนี้เลือกเดินในอาชีพ "นักเล่นหุ้น" อย่างแน่วแน่ และกำลัง "ป็อปปูล่า" วัดความดังได้จากงานสัมมนาเล็กๆ ที่ฮงและก๊วนเพื่อนร่วมกันแชร์ประสบการณ์ในช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจ (ซับไพร์ม) ปี 2551 ที่เขาได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 10 เท่าตัวหากรู้จักเลือกลงทุนหุ้นพื้นฐาน เปิดให้จองที่นั่งเข้าฟังบรรยายเพียงไม่กี่ชั่วโมงมีนักลงทุนรายเล็กรายใหญ่ แห่จองกันเต็ม 230 ที่นั่ง
หลังจบงานสัมมนามีคนตามทวิตเตอร์ของ Hongvalue เพิ่มขึ้นกว่า 100 คน เขายกตัวอย่างหุ้นที่เคยทำเงินเข้ากระเป๋าได้อย่าง “มหาศาล” ในช่วงหลังวิกฤติปี 2551 นั่นคือ หุ้นเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และหุ้นโพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) (PTL) รวมถึงหุ้นอีกหลายตัวที่ทะยานขึ้นอย่างมาก
ตี๋หนุ่มคุยว่าพอร์ตลงทุนของตัวเองเติบโตก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวง Value Investor มากขึ้นหลังสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 20 เท่า ภายในระยะเวลา 2 ปี ขณะเดียวกันถ้าวัดตั้งแต่เริ่มลงทุนปี ภายในระยะเวลา 7 ปี พอร์ตลงทุนขยายตัวประมาณ 40-50 เท่า
"ฮง" เซียนหุ้นอัจฉริยะรายนี้เป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 3 คน เขาเล่าว่า พี่ชายคนโตปัจจุบันอายุ 33 ปีคนนี้ก็เล่นหุ้นเหมือนกันแต่มูลค่าพอร์ตลงทุนยังไม่ใหญ่ประมาณ 3 ล้านบาท พี่ชายจะเน้นดูเทคนิเคิลมากกว่าปัจจัยพื้นฐาน ส่วนพี่สาวคนรองอายุ 29 ปี เรียนจบแพทย์ ปัจจุบันเดินทางไปศึกษาต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง สาขาช่องท้อง ที่สหรัฐอเมริกา
ฮงกล่าว่าครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยมีฐานะพอกินพอใช้ พ่อแม่ทำธุรกิจผลิตเสื้อยืดขายย่านถนนพระราม 2 มานานกว่า 20 ปี เพิ่งเลิกทำไปเมื่อต้นปี 2554 นี้เอง และหันไปปลูกต้นลีลาวดีขาย ชื่อว่า "สวนลีลาวดีภิรมย์" บนเนื้อที่ 33 ไร่ ย่านบางขุนเทียน
ประสบการณ์เล่นหุ้นครั้งแรกของฮงต้อง "แอบพ่อ" ที่ไม่อยากให้ลูกชายเข้าไปข้องแวะกับตลาดหุ้น โดยเริ่มลงทุนครั้งแรกในชีวิตเมื่อปลายปี 2547 ช่วงนั้นเรียนอยู่ปี 1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีเงินลงทุนก้อนแรก 100,000 บาท เป็นเงิน "แต๊ะเอีย" ที่เก็บสะสมมาจากญาติๆให้แต่ละปีรวมกับเงินเก็บ เงินเก็บก้อนนี้ถูกพ่อแม่บังคับให้เอาไปเข้าธนาคารกลัวลูกเอาไปซื้อเกมส์มาเล่น
สำหรับผู้ที่จุดประกายให้ฮงเข้าสู่ตลาดหุ้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมมาด้วยกัน เห็นเพื่อนซื้อหุ้น SHIN ที่ต้นทุนหุ้นละ 26-27 บาท ไปขายตอนราคา 40 บาท ได้กำไรประมาณ 50% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนจากคำแนะนำของญาติ ทำให้เด็กหนุ่มมีความฝันอยากได้กำไรอย่างเพื่อนคนนั้นบ้าง
แม้วันนี้พอร์ตลงทุนของฮงจะเติบโตขึ้นอย่างมากจากเมื่อ 7 ปีก่อน จากหลัก "แสนบาท" เป็นหลัก "สิบล้านบาท" แต่นั่นยังไม่ใช่เป้าหมาย
"ภายใน 10 ปีข้างหน้า ( ) ผมต้องการมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 300 ล้านบาท เติบโตให้ได้เฉลี่ยปีละ 20% นี่คือเป้าหมายของผม" สถาพร กล่าวกับทีมงาน กรุงเทพธุรกิจ BizWeek โดยมั่นใจว่าตัวเลขนี้ทำได้แน่นอน ทุกวันนี้ฮงเป็นนักลงทุน Full Time หลังค้นพบว่าการเล่นหุ้นเป็นทางเดินชีวิตที่มาถูกทาง
"แม้ผมจะอายุยังน้อยในสายตาใครต่อใคร แต่ก็ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติการเงิน (ซับไพร์ม) มาแล้ว เรียกได้ว่าผ่านมาแล้วทุกบรรยากาศ แล้วก็ทำได้ดีด้วย" เขาไม่ลืม "คุย"
ฮงจัดเป็น "เซียนหุ้นอัจฉริยะ" ที่จับทางตลาดหุ้นออกในเวลาอันรวดเร็ว เขารู้ว่าหุ้นแบบไหนจะขึ้นเยอะ และควรลงทุนสไตล์ไหนถ้าจับถูกตัว
"วันนี้ผมจับจุดถูกรู้ว่าจะลงทุนหุ้นสักหนึ่งตัว ต้องดูอะไรเป็นหลัก ถ้าผมจะพลาดก็ต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเท่านั้น เพราะเหตุการณ์แบบนั้นคงไม่มีใครตั้งตัวขายหุ้นทัน"
การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอายุยังน้อยฮงต้องศึกษาทำการบ้านอย่างหนัก เขาศึกษาแนวทางการวิเคราะห์หุ้นแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ และ ปีเตอร์ ลินช์ อย่างแตกฉาน ทั้ง 2 กูรูยังเป็น "ไอดอล" ที่ฮงฝันอยากเป็น
"ผมคิดว่าคำสอนที่สำคัญที่สุด การซื้อหุ้นคือการซื้อธุรกิจ ถ้าซื้อเพราะคิดว่าราคาหุ้นจะขึ้น รับรองไม่มีทางได้กำไร(รวย)"
ครั้งแรกที่เล่นหุ้นฮงไปเปิดพอร์ตกับบล.ธนชาต ใช้ชื่อตัวเองไม่ได้เพราะยังเด็กเกินไป ต้องใช้ชื่อคุณแม่เป็นคนเปิดพอร์ต เวลาสั่งซื้อขายก็ให้ส่งจดหมายไปที่บ้านญาติเพื่อไม่ให้คุณพ่อรู้ เพราะพ่อมี "อคติ" กับตลาดหุ้นมองว่าการ “เล่นหุ้น” ไม่ต่างอะไรกับ “เล่นการพนัน” ในความเป็นจริงคุณแม่ก็ไม่ชอบให้เล่นหุ้น แต่ทนรบเร้าหาเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายไม่ไหว เมื่อเห็นความตั้งใจจริงแม่ก็เลยยอม
"ยอมรับตรงๆ ตอนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องซื้อหุ้นกลุ่มไหน มีวิธีการลงทุนอย่างไร ดูไม่เป็นสักอย่าง ผมเริ่มต้นแสวงหาความรู้ตัวคนเดียว (ชวนเพื่อนแต่เขาไม่ไป) ผมไปนั่งฟังงานสัมมนาฟรีต่างๆ เมื่อก่อนโบรกเกอร์หลายแห่งจะชอบจัดอบรมดูงบการเงินวันเสาร์-อาทิตย์ รู้ว่าที่ไหนมีฟรีผมไปหมด"
เขาเล่าว่า บางงานไม่ให้เข้าเพราะไม่ใช่ลูกค้าเขา ก็ต้องหาเหตุผลสารพัดไปหลอกเจ้าหน้าที่หน้าห้องว่าขอเข้าไปฟังก่อนนะครับ..ถ้าโอเค! เดี๋ยวจะกลับมาเปิดพอร์ตด้วย แต่ก็มีบางงานที่ฮงถูกปฏิเสธกับเหตุผลตื้นๆ แต่เมื่อไปถึงแล้วเขาก็พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้าไปฟังวิทยากรบรรยาย แถมยังเกาะติดนอกรอบไปขุดไปคุ้ยไขข้อข้องใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
"เมื่อก่อนผมเจ็บใจมาก ด้วยความที่เรายังเด็กอายุแค่ 20 ปี เวลาไปถามวิทยากรนอกรอบงานสัมมนาต่างๆ เขาเห็นเราเด็กก็มักไม่ยอมตอบ แต่จะหันไปตอบคำถามคนอื่นที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ตอนนั้นในหัวผมคิดว่าโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม มันทรมานมากช่วงนั้น ไม่รู้จะทำอย่างไร"
ฮงขวนขวายหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนอ่านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในใจเขาคิดว่าต้องอ่านหนังสือเยอะๆ ไปงานสัมมนามากๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเอง กว่าเขาจะได้ "วิชา" มาทำกำไรอย่างเป็นล่ำเป็นสันในตลาดหุ้นต้องใช้ความทุ่มเท ฮงยังค้นไม่พบความลับการลงทุน 1 ปีครึ่งผ่านไป การลงทุนของเขาไม่ได้กำไรเลยเพราะยังดูงบการเงินไม่เป็น และอ่านอนาคตธุรกิจไม่ออก ตอนนั้นฮงตัดสินใจซื้อหุ้น TTA ADVANC และ TPC
"เท่าที่จำได้ซื้อหุ้น ADVANC ราคา 95 บาท ขาย 105 บาท และซื้อหุ้น TPC ราคา 210 บาท ขายขาดทุน 190 บาท ส่วนหุ้น TTA จำราคาซื้อขายไม่ได้ เมื่อเริ่มดูงบการเงินเป็นนิดหน่อย พอรู้ว่าต้องเลือกบริษัทที่ไม่เป็นหนี้ และมีกระแสเงินสดเยอะๆ ก็เลยซื้อหุ้น CSL จำเหตุผลที่ซื้อและถือยาว 7-8 เดือนได้ว่าเป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลปีละ 4 ครั้ง แถมมีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 8-10% ที่สำคัญเห็นว่าอนาคตกำไรจะเติบโตสูง ตอนนั้นซื้อมา 5-6 บาท พอขึ้นมา 9 บาทก็ขาย ถือเป็นหุ้นตัวแรกที่ได้กำไรเป็นเนื้อเป็นหนังจากการลงทุน"
เมื่อเริ่มเห็นผลงาน (กำไร) และความแน่วแน่ที่จะเดินในอาชีพ "นักเล่นหุ้น" แม่จึง "เพิ่มทุน" ให้อีกหลัก "แสนบาท" เพื่อนำไปลงทุนหุ้น CPALL จำนวน 100,000 หุ้น ต้นทุน 7 บาท พอปลายปี 2551 ก็ขายไปที่ราคา 11 บาท เพราะช่วงนั้นเกิดวิกฤติการเงินโลก (ซับไพร์ม) หุ้นทุกตัวลงหมด แต่หุ้น CPALL ไม่สะทกสะท้าน แต่ฮงกลัวเลยตัดทิ้งไปก่อน "ตอนนั้นผมกลัวติดยอดดอยแล้วลงไม่ได้"
หลังจากนั้นก็คิดจะนำเงินไปซื้อหุ้น PS แต่ภาวะเศรษฐกิจช่วงนั้นไม่ดี ฮงวิเคราะห์ว่าหุ้นพฤกษาจะไม่สามารถขายที่อยู่อาศัยได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจ "กำเงินสด" เกิน 5 แสนบาทไว้ในมือ
“ที่แม่ตัดสินใจให้เงินเพิ่มเพราะเห็นว่าผมจริงจังมาก เสาร์-อาทิตย์ไม่เคยอยู่บ้านไปอบรมเกี่ยวกับเรื่องหุ้นตลอด อีกเหตุผลหนึ่งแม่มองว่าที่ผมสนใจการลงทุน ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นสามารถคุยกับผู้ใหญ่รู้เรื่อง”
ความมุ่งมั่นศึกษางบการเงินอย่างจริงจัง ฮงเริ่มแตกฉานและมั่นใจในตัวเอง เขากำเงินสดไว้ในมือเพียง 2 เดือน ก็นำไปลงทุนต่อในหุ้น AP และ TOP แต่ยังไม่กล้าเล่นเต็มพอร์ต สาเหตุที่เลือกซื้อ TOP เพราะก่อนหน้านั้นไทยออยล์มีกำไรต่ำมากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงฮวบฮาบ และราคาน้ำมันก็ผกผันกับเงินดอลลาร์ เขาวิเคราะห์ว่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนตัวราคาน้ำมันก็น่าจะขึ้น จึงคาดว่ากำไรของบริษัทจะต้องพลิกกลับมาดีขึ้นอย่างมาก
พอก้าวเข้าสู่ไตรมาส 3 ปี 2552 ฮงเข้าเก็บหุ้น CPF ตัวนี้ทำให้เขารวยขึ้นอีกขั้น เขาทุ่มเล่นบัญชีเงินสด 100% และอัดมาร์จิ้นอีก 80% เพราะมองว่า CPF ต้องเป็นหุ้น "ป็อกเด้ง" แน่นอน
"ช่วงนั้นผมอัดมาร์จิ้นซื้อหุ้น CPF เต็มแม็ก เพราะกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2552 ออกมา 3,249 ล้านบาท มากกว่าทั้งปี 2551 ที่มีกำไรสุทธิ 3,128 ล้านบาท ช่วงนั้นผมประเมินว่าทั้งปี 2552 หุ้น CPF น่าจะมีกำไรสุทธิ 9,000 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิวไฮครั้งใหม่ (CPF ประกาศกำไรสุทธิปี 2552 จำนวน 10,190 ล้านบาท) ผมมองว่าธุรกิจเกษตรกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นตามเศรษฐกิจที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว"
อีกอย่างตอนนั้นฮงเช็คราคาขายหมูและไก่เฉลี่ยของปี 2552 ไม่ได้น้อยกว่าปี 2551 แต่ต้นทุนอาหารสัตว์อย่างกากถั่วเหลืงกับข้าวโพดลดลง เพราะคนนำไปทำเป็นพลังงานทดแทนพอราคาน้ำมันตกต่ำความต้องการเอาไปทำพลังงานทดแทน (เอทานอล) หายหมด ซึ่ง CPF ก็รู้เลยตุนกากถั่วเหลืงกับข้าวโพดไว้ แบบนี้จะไม่ให้กำไรเยอะได้อย่างไร
เมื่อผ่านไป 1-2 เดือน ฮงขายหุ้น CPF ได้ราคา 9.60 บาท จากต้นทุนที่ซื้อมา 7.80 บาท เพราะราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 5 วันติดกัน เนื่องจากนักลงทุนคิดว่างบไตรมาส 3 ปี 2552 จะขยายตัวต่อเนื่อง ช่วงนั้นโบรกเกอร์เริ่มทยอยออกมาปรับราคาเป้าหมาย CPF แต่ฮงได้กำไรเข้ากระเป๋า 400,000-500,000 บาท มูลค่าพอร์ตลงทุนพุ่งขึ้นเป็น "หลักล้านบาท" แล้ว
"จากนั้นคุณแม่ก็เติมเงิน (เพิ่มทุน) ให้อีกครั้งหลัก "ล้านบาท" คราวนี้มีทุนเยอะทำให้พอร์ตลงทุนขยับเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว หลังจากกำไรหุ้น CPF ก็ไปเข้าหุ้น VNG ตอนนั้นอัดเต็มพอร์ต เพราะเห็นว่างบไตรมาส 4 ปี 2552 มีกำไรต่อหุ้น 0.27 บาท ราคาหุ้นวันนั้น 3 บาท ถ้าวนชัย กรุ๊ป สามารถรักษาระดับกำไรต่อหุ้นได้แบบนี้ เชื่อว่ากำไรต่อหุ้นทั้งปี 2553 จะยืน 1 บาท"
ฮงถือหุ้น VNG แค่ 3 เดือน ขายออกที่ราคา 5 บาท ได้กำไร 70% ทำให้มูลค่าพอร์ตลงทุนของเขาพุ่งขึ้นเป็นหลัก "สิบล้านบาท" เมื่อขายหุ้น VNG เกลี้ยงพอร์ต ก็โยกเงินไปซื้อหุ้น PTL ที่ราคา 7.50 บาท ช่วงเดือนพฤษภาคม 2553 ทยอยสะสมก่อน 30% ของพอร์ต พอราคาหุ้นขึ้นมา 15 บาท คราวนี้อัดเต็ม 100% ของพอร์ต ใช้มาร์จิ้นซื้ออีก 60% รวมเป็น 160% แล้วไปขายออกในเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่ราคา 45 บาท
หุ้นโพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) คือจุดหักเหครั้งสำคัญทำให้ฮงรวยขึ้นมหาศาล "หลายเท่าตัว" พอร์ตของเขาขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น "หลายสิบล้านบาท" ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ฮงบอกกับทีมงานกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ว่าปัจจุบันมูลค่าพอร์ตของเขาเท่าไร แต่ขอไม่ให้เปิดเผยตัวเลขกับสาธารณะ
หลังจากที่ประสบความสำเร็จได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ฮงบอกว่าจากนั้นก็ซื้ออะไรไปเรื่อยเปื่อย เช่น หุ้น TVO และหุ้น STA ตอนที่ช้อนหุ้น TVO ราคาเฉลี่ย 27-29 บาท เพราะเห็นว่าราคาถั่วเหลืองในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,300 เซ็นต์ต่อบุชเชล ภายในเวลา 2 เดือน แต่ถือหุ้นตัวนี้ไม่ถึง 2 เดือน ก็ขายออกในราคา 31 บาทได้กำไรไม่เท่าไร
ส่วนหุ้น STA ซื้อมา 36 บาท เพราะเห็นว่าราคายางพาราทำจุดสูงสุดใหม่ แต่สุดท้ายก็ยอมขายขาดทุน 35 บาท เพราะราคาหุ้นไม่ขยับตัวตามราคายาง "ตัวไหนถือไว้ดูท่าจะไม่รุ่ง ผมจะขายทิ้ง"
จาก "ไอ้ตี๋หนุ่ม" หน้าละอ่อน ถามใครใครก็เมิน วันนี้กลายเป็น "เซียนฮง" อย่างเต็มภาคภูมิ เจ้าตัวก็เลย "ยืด" ได้ (ขอคุยหน่อย) บอกว่าที่จริงไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แค่รู้ว่าเล่นหุ้นแบบไหนแล้วได้กำไร หลังจากเป็นเศรษฐีย่อมๆ ภายในเวลาไม่กี่ปี วันนี้ครอบครัวแฮปปี้มากพ่อแม่เปลี่ยนทัศนคติแล้วว่าการเล่นหุ้น "ไม่ใช่การพนัน" แต่เป็น "การลงทุน" ที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า
"ผมจะขอยึดอาชีพนักลงทุนเลี้ยงตัวเองไปเรื่อยๆ ไม่คิดไปทำงานอย่างอื่น แต่ถ้ามีเงินตามเป้าหมายอาจแบ่งมาลงทุนทำอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า เท่านี้ชีวิตผมก็มีความสุขแล้ว"
เรื่องราวของ "ฮง" เซียนหุ้นอัจฉริยะยังไม่จบ เขามีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร..? สามารถปั่นเงินจาก "หลักแสน" เป็น "หลายสิบล้านบาท" ได้ อะไรคือความลับการทำกำไรในตลาดหุ้นที่เด็กหนุ่มค้นพบ..คอยติดตาม
Tags : สถาพร งามเรืองพงศ์
ธุรกิจ : BizWeek
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ฮง นลท.เลือดใหม่ไฟแรง กับแนวทาง Fund Flow
ก้าวแรกของการลงทุนแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคนช้าและบางคนเร็ว
แต่สุดท้าย คือ มีเป้าหมายเดียวกันที่ต้องการประสบความสำเร็จในแวดวงตลาดทุน
และวันนี้ Management's Lifestyle จะพาไปร่วมพูดคุยกับนักลงทุนเลือดใหม่ไฟแรง
อายุเพียง 24 ปี กับ สถาพร งามเรืองพงศ์ หรือ ฮง กับแนวทางวิเคราะห์
Fund Flow หนทางสู่ชัยชนะ
ฮง เด็กหนุ่มวัย 24 ปี ผู้ที่เคยมีความฝันอยากเป็นนักธุรกิจพัฒนาโครงการ
อสังหาริมทรัพย์ ทำบ้านเดี่ยว-คอนโด แต่ด้วยเสน่ห์ของวงการตลาดหุ้นที่เย้ายวนด้วย
ผลตอบแทน ทำให้เขาเบนเข็มเข้าสู่ถนนแห่งการลงทุน ฮง เริ่มลงทุนเมื่อปี 2547
ตอนเรียนปี 1 ที่ม.กรุงเทพ ด้วยอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น หลังจากเพื่อนได้เล่า
ประสบการณ์ในตลาดทุนที่ประสบความสำเร็จได้กำไรมาค่อนข้างมาก โดยเพื่อนของ
เขา ได้ลงทุนในปี 2546 ในกลุ่มสื่อสารอย่าง SHIN-ADVANC ซึ่งตอนนั้นตลาดหุ้น
ไทยอยู่ในภาวะกระทิงดุ แต่ก้าวแรกของการลงทุนของ ฮง กลับไม่ประสบความ
สำเร็จอย่างที่วาดฝันไว้ กลายเป็นแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ เพราะยังศึกษาตลาดไม่ดี
พอและขาดประสบการณ์ ทำให้ปีนั้นเขาขาดทุน 10%
สำหรับเงินลงทุนก้อนแรกของ ฮง เริ่มที่ 100,000 บาท จากเงินสะสมของ
ตัวเอง ความล้มเหลวในปีแรกของการลงทุนที่ขาดทุน 10% เพราะการลงทุนที่อิง
หนังสือพิมพ์ โดยจะดูเฉพาะที่นักวิเคราะห์เชียร์ และจากการผิดพลาดในการลงทุน
ครั้งนี้ ทำให้เขากลับมาคิดทบทวนใหม่ และได้รู้ว่าหุ้นที่นักวิเคราะห์เชียร์เป็นหุ้นที่
ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากแล้ว
'เพื่อนบอกว่าเล่นหุ้นแล้วง่าย แต่จริงๆ มันไม่ง่าย คือ เวลาเราเข้ามาใน
ตลาดหุ้นใหม่ๆ แล้วได้กำไร มักจะคิดไปเองว่าเก่ง แต่ความเป็นจริงแล้วภายใต้
ตลาดฯ ขาขึ้น หุ้นส่วนใหญ่มันขึ้นหมด แต่เราไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่มีการบริหาร
ความเสี่ยงว่า เวลาราคาหุ้นขึ้นเราจะต้องตั้งจุดรักษากำไรไว้เท่าไหร่ ถ้าเกิดว่าราคา
หุ้นตัวนี้ประกาศงบออกมา แล้วไม่เป็นอย่างที่คิด ควรขายหุ้นออกไปเท่าไหร่ ตอนเข้า
มาใหม่ๆ เราอาจไม่คิดเรื่องนี้เลย อาจจะลุยอย่างเดียว แบบบู้ล้างผลาญ ทำให้ไม่
ประสบความสำเร็จ'
เขาเล่าว่า หลังจากที่เริ่มเข้ามาคลุกคลีในตลาดหุ้นมากขึ้น มีความรู้สึกว่า
เป็นวงการที่มีเสน่ห์ คือ มีความเป็นเป็นอิสระในตัวเอง ถ้าเราคิดว่าภาพเศรษฐกิจไม่
ดี เราสามารถขายหุ้นทิ้งได้หมด ไม่เหมือนการทำธุรกิจที่เราไม่สามารถขายธุรกิจของ
เราได้ง่ายๆ แม้ว่าเราจะรู้ว่า เศรษฐกิจมันจะเป็นขาลง สมัยเรียนเวลาว่างหลังจากการ
เรียน ก็จะพยายามไขว่คว้าหาความรู้เรื่องการลงทุนเพิ่มเติม ทั้งอ่าน Research ไป
งานสัมมนาต่างๆ รวมถึง SET IN THE CITY-Money Expo
'ลงทุนมาเกือบ 5 ปีแล้ว ซึ่งตอนนี้เงินลงทุนหลักล้านบาท และคิดว่าอีกสี่
ห้าปีจะระดับสิบล้านบาท โดยคิดอย่าง Conservative เพราะว่าปีนี้หุ้นดี ทำให้ได้
กำไร 105% ปีก่อนขาดทุน 15% ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้ระดับถึง 100% ซึ่งจุดที่ประสบ
ความสำเร็จในแง่ของนักลงทุน อยากได้เงินปันผลปีละประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งตรง
นี้เราถือว่าเรา Success แล้ว'
หลังจากที่เรียนรู้ และสั่งสมประสบการณ์มาสักระยะหนึ่ง ทำให้มุมมองการ
ลงทุนของเขา มีมุมมองที่เปลี่ยนไป โดยเน้นลงทุนหุ้นปัจจัยพื้นฐาน โดยดู Fund
Flow ของต่างประเทศเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาลงทุน เพราะเชื่อว่าสิ่งที่
กำหนดราคาหุ้นไม่ได้มีแค่ปัจจัยพื้นฐาน แต่ขึ้นอยู่กับกระแสเงินที่มีการโยกเข้ามา
ด้วยที่จะมีผลต่อราคาหุ้น
แนวคิดเรื่อง Fund Flow จะเป็นการวิเคราะห์แนวทางการไหลของเงิน ตั้ง
สมมติว่า ผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น แสดงว่ามีเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตร ก็จะ
เป็นแนวโน้มที่ดีของหุ้น ซึ่งในปีที่แล้วเขาขายหุ้นที่ดัชนีฯ 590 จุด เพราะตัว LIBOR
อัตราการกู้ยืมระหว่างธนาคารพุ่งขึ้น แสดงว่าคนไม่กล้าปล่อยกู้ ก็เลยคิดว่าจะมีปัญหา
เงินตรึงตัว แล้วจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยทำให้ปรับตัวลดลง
'ผมคิดว่า ราคาหุ้นมันเป็นการเล่นกับพื้นฐานธุรกิจ กระแสเงินและความ
คาดหวังของผู้คน ผมเลยคิดว่าวิชา Fund Flow, Finance, จิตวิทยา เป็นส่วนหลักที่
ผมใช้ลงทุน ซึ่งการตลาดจะเป็นเรื่องการลงทุนระยะยาว ผมคิดว่า คนที่ใช้การตลาด
ในการเล่นหุ้นจะเป็นการลงทุนระยะยาวมากกว่า'
เขาบอกว่า กลุ่มที่ชอบพิเศษ คือ กลุ่มอสังหาฯ เพราะต้นปีนี้หุ้นอสังหาฯ
ให้เงินปันผลมากกว่า 10% หลายตัว และราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าซาก ซึ่งมันไม่เคย
เกิดขึ้นในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ยังชอบกลุ่มพลังงาน ปลายปีก่อนหุ้นโรงกลั่นมีเรื่อง
Stock Loss จากราคาน้ำมันดิบมาก แต่ต้นปีราคาน้ำมันเริ่มขึ้นมา ก็เลยเข้าไปซื้อหุ้น
โรงกลั่น เพราะคิดว่ากำไรจะพลิกกลับได้
'ผมได้เงินจากครอบครัวที่ให้มาเพิ่มอีก 500,000 บาท เพื่อมาลงทุน หุ้นที่
ซื้อตั้งแต่ต้นปี คือ TOP-CPF และก็ให้ Capital Gain มหาศาล ถือเป็นหุ้นที่ภูมิใจที่
สุด และสาเหตุที่เลือกซื้อ เพราะปีที่แล้ว TOP มีกำไรต่ำมาก จากราคาน้ำมัน Q4/52
ปรับลดลงเยอะ และราคาน้ำมันก็ผกผันกับเงินดอลลาร์ ซึ่งเราดูว่าเงินดอลลาร์มีแนว
โน้มอ่อนตัว ราคาน้ำมันเลยน่าจะขึ้น จึงคาดว่ากำไรของบริษัทน่าจะพลิกกลับมาดีขึ้น
อย่างมาก
เขาเล่าว่า ช่วงแรกของการลงทุนก็ลงทุนตามสไตล์ของตัวเอง แต่หลังจาก
นั้นก็ได้มีโอกาสรู้จักคุณนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ (สุมาอี้) ซึ่งนับถือเขาเป็นอาจารย์
โดยกลยุทธ์ของสุมาอี้ คือ จะเน้นลงทุนหุ้นเติบโต ประมาณ 4 - 5 ตัว ตัวละ 20 -
25% ของพอร์ต และไม่สนใจการแกว่งตัวของราคาหุ้นระยะสั้น เพราะหุ้นที่เติบโต
ระยะสั้นราคาหุ้นจะผันผวน แต่ระยะยาวถ้ามีการกระจายความเสี่ยงหุ้นทั้งพอร์ตจะเติบ
โต หลักการลงทุนที่ได้รับมาจากเขา ผมชอบอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ 1. มุมมองใดๆ
จะยังไม่มีค่า ถ้ามุมมองในตลาดไม่เห็นด้วยกับคุณ และ 2. ถ้าคิดว่ามีสัญญาณร้าย
อย่าเถียง อย่าถาม ให้หนีไว้ก่อน
อีกคนที่นับถือ คือ คุณวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล บล.ทิสโก้ เพราะเขาเคยทำ
งานกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ แล้วเขาจะมีมุมมองเรื่อง Fund Flow ค่อนข้างดี ซึ่งหนังสือ
ที่เขาเขียนเป็นหนังสือในดวงใจของผม คือ มันนี่เกม นอกจากนี้ผมติดตามเวลาที่
เขียน Research หรือเวลาที่เขามีอบรมหรือสัมมนาผมก็จะตามไปฟัง
'การเล่นหุ้นของลูกศิษย์กับอาจารย์จะไม่ค่อยเหมือนกัน โดยอาจารย์จะ
เน้นเติบโตต่อเนื่อง แต่ผมจะเล่นหุ้นที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์กำไรไว้ต่ำกว่า
ที่ผมคิด แต่พองบการเงินออกแล้วมีการปรับประมาณการกำไรขึ้น ช่วงที่ปรับ
ประมาณการราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งผมจะไม่ได้สนใจคุณภาพธุรกิจมาก แต่
ผมจะสนใจว่าต้นทุนหุ้นที่ผมถืออยู่ คือ คนควรจะคาดหวังมันต่ำ ผมถึงจะมี
Downside น้อย และ Upside เยอะ'
ฮง ให้มุมมองจากนี้ถึงสิ้นปีว่า Fund Flow น่าจะเริ่มชะลอ เพราะผลตอบ
แทนของตลาดหุ้นเทียบกับผลตอบแทนของพันธบัตร ตอนนี้อยู่ในระดับที่ไม่จูงใจให้
โยกย้ายเม็ดเงินเข้ามา เพราะมันเริ่มน้อย คิดว่าจะมีการขายหุ้นปรับพอร์ตแล้วไปซื้อ
พันธบัตร ส่วนทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปีหน้า น่าจะเล่นยาก เพราะว่าไตรมาส 1
2 Book Value ของ SET อยู่ที่ 1 เท่า ซึ่งถูกเท่ากับสมัยต้มยำกุ้ง
แต่ตอนนี้ Book Value เกือบ 2 เท่า และปีหน้าอัตราดอกเบี้ยน่าจะขาขึ้น
เพราะเงินเฟ้อเริ่มกลับมา ซึ่งดอกเบี้ยแต่ละที่ต่ำมาก ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้น ปกติ P/E
ของตลาดหุ้นจะลดลง เพราะมีเงินส่วนหนึ่งออกจากตลาดหุ้น และการอัดฉีดเงิน
ของอเมริกาปีหน้าก็น่าจะหมด ทำให้สภาพคล่องน้อยลง และปีหน้ามีความเสี่ยงว่าจีดี
พีจะกลับไปถดถอยอีก คือ ปกติเวลาเกิดวิกฤตรอบก่อนจะติดลบ 3 4 ไตรมาส
แล้วกลับมาเป็นบวก และจะกลับไปติดลบใหม่อีกครั้ง เรียกว่า Double Dip ซึ่งช่วงที่
บวกเพราะกระตุ้นด้วยการอัดฉีดเงิน แต่พอกระตุ้นเยอะแล้วกระสุนหมด กำลังซื้อของ
คนยังไม่กลับมา จีดีพีก็จะติดลบใหม่ ซึ่งมองว่าเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสำหรับปีหน้า
สำหรับปรัชญาในการลงทุนของผมนั้นมองว่า 1. หุ้นทุกตัวจะมีวันของมัน 2.
ธุรกิจที่ไม่ดีอาจเป็นการลงทุนที่ดี 3. มุมมองใดๆ จะไม่มีค่าถ้าตลาดไม่เห็นด้วย 4. ถ้า
เห็นสัญญาณอันตรายให้หนีทันที 5. ก่อนเข้าซื้อหุ้นต้องตอบให้ได้ว่าคนในตลาดฯ
คาดหวังสูงหรือต่ำ ถ้าคนในตลาดคาดหวังสูงจะลงทุนไม่เต็มที่ และอยากแนะนำนัก
ลงทุนมือใหม่ว่าถ้าพอร์ต 1 ล้านบาท ในช่วง 1- 2 ปีให้ลงทุน แค่ 1 แสนบาทก่อน
และอ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน และอบรมเรื่องหุ้น การประเมินมูลค่าหุ้น
จากนั้น จึงค่อยลงทุนเต็มวงเงิน เพราะหากขาดทุนเงินที่ได้คืนมาอาจใช้เวลานาน
สำหรับ ฮง นอกเหนือจากบทบาทนักลงทุนแล้ว เขายังทำหน้าที่ดูแลบริหาร
งานที่บ้าน ซึ่งทำโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูป โดยทำมากว่า 10 ปี ภายใต้แบรนด์ของตัว
เองชื่อ BASINI และ NASA จับกลุ่มลูกค้าเป็นเสื้อผ้าผู้ชาย เสื้อยืดโปโล โดย
จำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ธุรกิจครอบครัวของฮงยังมีธุรกิจขายต้นไม้
ลีลาวดี ชื่อสวน ลีลาภิรมย์ อยู่ ซอยเทียนทะเล บางขุนเทียน อีกด้วย ใครสนใจหรือ
อยากเจอเจ้าตัวก็แวะเวียนไปได้ และเมื่อถามถึงเจ้าของหัวใจ ฮง ตอบว่า ตอนนี้
หัวใจยังว่าง ซึ่งสเปกของเขา ชอบผู้หญิงหวานและเรียบร้อย
แม้ว่า ฮง จะอายุน้อย แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียร และไม่ย่อท้อต่อ
อุปสรรค ที่สำคัญเขามักเอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียนในการปรับปรุงแก้ไข เพื่อ
เป็นแนวทางชี้นำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งคงต้องจับตาดูว่า หนุ่มผู้นี้ จะเดินทางไปสู่ฝันที่
ตั้งใจไว้ได้หรือไม่ และหากใครต้องการคุยกับเขาสามารถไปคุยได้ที่ Blog
http://hongvalue.wordpress.com/
By : พัทธนันท์ เปี่ยมสมบรูณ์
eFinanceThai.com
Post a Comment